Review: Midsommar (Ari Aster, 2019) รีวิวโดย Form Corleone

Midsommar (Ari Aster, 2019) คะแนน B+ (9/10)


"เทศกาลสยองขวัญ" ผลงานลำดับที่สองของผู้กำกับ อารี แอสเตอร์ จากภาพยนตร์ Hereditary หนังเล่าเรื่องราวของกลุ่มเพื่อนที่เดินทางไปร่วมกิจกรรมเทศกาลลึกลับช่วงฤดูร้อน ในพื้นที่ห่างไกลความเจริญประเทศสวีเดน โดยกิจกรรมทั้งหมดใช้เวลากว่า 9 วันเต็ม ภายใต้บรรยากาศที่ไม่รู้ว่ากลางวันหรือกลางคืนเพราะดินแดนแถบนี้พระอาทิตย์แทบที่จะไม่ตกดินเลย หนังใช้ความพิสดารแปลกหูและแปลกตาค่อย ๆ พาเราที่เป็นคนดูไปร่วมสัมผัสและนั่งสังเกตเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จนเมื่อพิธีกรรมต่าง ๆ ดำเนินไปตามขั้นตอน สมาชิกใหม่ของพิธีกรรมนี้ค่อย ๆ หายไปทีละคน และดูเหมือนว่าจะถอนตัวไม่ได้เสียแล้ว ซึ่งหนังก็พาเราไปพบจุดจบเขย่าขวัญที่คาดเดาไม่ได้


สิ่งที่ Midsommar เลือกมาเป็นพล็อตหลักอาจไม่ได้แปลกใหม่ด้วยบริบทของสิ่งที่ตัวละครพบเจอ ทั้งสภาพแวดล้อมหรือบรรยากาศ หนังแนวนี้ไม่ได้ใหม่สำหรับคนดู แต่สิ่งที่ทำให้ Midsommar โดดเด่นด้วยตัวของมันเองคือการจัดวางตำแหน่งที่ทาง และเลือกใช้โลเคชั่นในการบอกเล่าสิ่งที่ต้องการสื่อสาร แม้ว่าข้อความที่ส่งมาถึงคนดูจะเต็มไปด้วยสัญลักษณ์ชวนตีความหรือกระทั่งเหตุการณ์ที่ตัวละครเลือกกระทำล้วนชวนให้ตั้งคำถาม ว่าทำไมและเกิดอะไรขึ้น พิธีกรรมที่ถูกจัดวางไว้ต้องการสื่อสารอะไร และมีประโยชน์อะไร พื้นที่และที่ทางที่หนังจัดไว้จึงเป็นความแปลกใหม่ในพล็อตเรื่องที่ไม่แปลกนัก แน่นอนว่า อารี แอสเตอร์ ใช้ความจำเจของเรื่องเล่าแบบนี้มานำเสนอในทิศทางที่ให้อารมณ์ร่วมแปลกออกไป


สิ่งที่น่าชื่นชมคือความกล้าและท้าทายขนบแบบแผนของหนังแนวนี้ ความบ้าบิ่นในการพาตัวเองไปผนวกเข้ากับสถานที่ที่หนังเลือกใช้ โดยไม่พึ่งพาความมืดแต่ใช้ความสว่างของหนังเล่นกับความกลัวและคุมโทนของเราคล้อยตามไปกับสิ่งต่าง ๆ ภายในเรื่อง บรรยากาศของหนังตลอดเรื่องจึงอบอวนไปด้วยความร่าเริงแจ่มใสวิ่งบนทุ่งลาเวนเดอร์ ความอบอุ่นของสังคม ดอกไม้ ความงามของทุ่งหญ้า บ้านเรือนสิ่งก่อสร้าง ทั้งหมดชวนเพ้อฝันและน่าอยู่น่าอาศัย ทั้งหมดทั้งมวล ทำให้เราไม่ต้องรู้สึกหวาดหวั่นว่าจะเจออะไรในความมืด เพราะความน่ากลัวของหนังเกิดขึ้นท่ามกลางแสงแดด แน่นอนว่า หนังให้ภาพเด่นชัดถึงความโหดเหี้ยม ทารุณ แบบตรงไปตรงมาและไม่มีม่านของความมืดให้จินตนาการมาปิดกั้นโสตประสาทของเราขณะรับชม


อารมณ์หนึ่งที่น่าสนใจช่วงขณะรับชมคือหนังใช้พื้นที่กว้างแทบตลอดทั้งเรื่อง อาณาบริเวณที่กว้างใหญ่ของหนังควรจะทำให้เรารู้สึกปลอดภัยเพราะมีที่ทางมากมายให้หนีรอดจากความบ้าบอทั้งหมด แต่สิ่งที่เราได้รับกลับเป็นช่วงเวลาของการติดอยู่ในอาณาเขตแห่งนี้ และไม่สามารถหลุดออกไปจากที่กว้างได้เลย ซึ่งเป็นความสำเร็จของหนังในการบอกว่าเราไม่จำเป็นต้องใช้ที่แคบในการจำกัดการหนีรอดของตัวละครเพียงอย่างเดียว พื้นที่กว้างก็สามารถทำให้ตัวละครติดกับดักได้เช่นกัน ซึ่งหนังให้อารมณ์แบบถอนตัวไม่ขึ้นและกดดันจนเราไม่ได้คิดว่าตัวละครเลือกที่จะหนีไปจากลัทธิบ้าบอนี้ได้ช่วงขณะรับชม


ท้ายสุด Midsommar เป็นหนังสยองขวัญที่มีพล็อตเรื่องแบบที่เราคุ้นเคย แต่วิสัยทัศน์ของผู้กำกับ อารี แอสเตอร์ พยายามไปไกลกว่าหนังแนวนี้เรื่องอื่น ๆ ที่เคยสร้างมาก่อนหน้า และพยายามใช้ความจำเจนำเสนอให้เป็นอัตลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร พิธีกรรมต่าง ๆ ภายในเรื่องดูอ่อนโยนแต่แฝงไปด้วยความสยองขวัญแปลกประหลาดประสาทเสีย หนังฉายภาพให้เราเห็นความสมัครสมานสามัคคีของคนในลัทธิความรักสงบ หรือกระทั่งรักในสันติ พร้อมทั้งวิถีชีวิตในชุดความเชื่อเดียวกัน แต่ความอ่อนโยนและความสงบสุขในเรื่องกับไม่ชวนน่าพิศมัยและน่าขนหัวลุกเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างจบลง สุดท้าย ผู้กำกับ อารี แอสเตอร์ คงจะเป็นคนทำหนังแนวสยองขวัญที่เต็มไปด้วยความทะเยอทะยาน มากกว่าตอบสนองกลุ่มคนดูทั่วไป น่าสนใจว่าหนังเรื่องต่อไปจะออกมาในรูปแบบไหนให้ได้รับชมกัน...


ขอให้มีความสุขกับการรับชมภาพยนตร์ครับ ยิ้ม

ตัวอย่าง

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
ติดตามรีวิวภาพยนตร์ได้ที่
Page: https://www.facebook.com/MoviesDelightClub/ 
Blog: http://moviesdelightclub.blogspot.com/
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่