เป็นหนังฟอร์มเล็กที่กระแสไม่เล็กตามเลยนะครับสำหรับเรื่องนี้ ผมสนใจตั้งแต่บอกว่าเป็นผลงานชิ้นใหม่ของผู้กำกับ Ari Aster จาก Hereditary แล้ว เพราะเรื่อง Hereditary นั้นทำได้ดีมากจนกลายเป็นหนังสยองที่กระแสดีสุดๆ เมื่อปีที่แล้ว มาถึงเรื่องนี้ ตัวอย่างหนังไม่ค่อยได้บอกอะไรเท่าไหร่ เพราะคงไม่อยากเฉลยข้อมูลอะไรมากมาย แต่ถ้าเข้าไปดูจะออกมาแบบอึนเหมือนโดนสะกดจิตเลยทีเดียว
เรื่องเล่าถึง ดานี่ และ คริสเตียน คู่รักที่เดินทางมายังประเทศสวีเดนตามคำชักชวนของเพื่อนร่วมมหา’ลัย ที่นั่นพวกเขาและเพื่อนๆ วางแผนที่จะไปเที่ยวเทศกาลเฉลิมฉลองฤดูร้อนในหมู่บ้านที่อยู่ห่างไกลและร้างไร้ผู้คน เทศกาลนี้จะจัดขึ้นเพียง1ครั้งในรอบ 90 ปี เป็นเวลา 9 วัน และเป็น 9 วันที่พระอาทิตย์ไม่เคยตกดิน แต่ยิ่งพวกเขาคลุกคลีอยู่กับดินแดนที่เหมือนจะสดใสแห่งนี้เท่าไร ก็ยิ่งค้นพบเรื่องราวสุดแปลกประหลาด และชวนขนหัวลุกขึ้นเรื่อยๆ และกว่าจะรู้ตัวก็แทบจะสายเกินไป
ช่วงแรกหนังอาจจะเดินเรื่องเนิบๆ ตามสไตล์ของผู้กำกับคนนี้ที่จากเรื่องก่อนหน้าก็มาสไตล์เดียวกัน เหมือนแกจะชอบเดินเรื่องเรียบๆ เหมือนสะกดจิตคนดู แล้วมาตบหน้าคนดูฉาดใหญ่ให้ตื่นจากภวังค์ด้วยฉากสุดแหวะ แล้วก็สะกดจิตที่แตกกระเจิงด้วยเรื่องราวที่ถาโถมเข้ามาเรื่อยๆ จนถึงตอนจบ ซึ่งการเดินเรื่องของ Hereditary กับ Midsommar ก็มีความคล้ายคลึงกัน
ตามข้อมูลที่ผมหามา เทศกาลนี้เป็นเทศกาลที่มีอยู่จริง ซึ่งเป็นเหมือนวันขอบคุณเทพแห่งแสงที่ทำให้พืชพรรณสัตว์เลี้ยงได้เจริญงอกงาม แต่คงไม่ได้มีอะไรสยองขวัญเหมือนในหนัง เพราะฉะนั้นหนังเรื่องนี้จะทำลายทฤษฎีหนังสยองขวัญที่ว่าต้องมีฉากมืดทึมตลอดเวลาไปเป็นหนังสยองขวัญที่สว่างจ้าตลอดทั้งเรื่อง สิ่งที่เราจะได้เจอจากหนังคือ ฉากสยองที่เห็นภาพแบบชัดเจนแบบที่คนดูต้องเหวอกันทั้งโรง ฉากสยองฉากแรกที่หนังเปิดออกมา ทำให้คนดูเงียบกริบทั้งโรง มีแค่เสียง ซี๊ดปากเบาๆ เหมือนกำลังช็อคกับภาพที่เห็นแต่เบือนหน้าหนีไม่ทัน แล้วหนังก็อัดฉากนี้ต่อเนื่องสองสามดอกติดๆ กัน อูยยยยยยยย
ข้อดีและข้อเสียของหนังเรื่องนี้ ผมมองว่ามันคือสิ่งเดียวกันที่ผู้กำกับต้องการจะสื่อออกมาให้คนดูได้อิน คือเรื่องของงานภาพที่มีสีสันสวยงาม และบรรยากาศที่แปลกประหลาดชวนขนลุกตั้งแต่ได้เห็น คือมีงานภาพที่สวยมาก เรียกว่าสวยน่าประทับใจสุดๆ เหมือนเราหลุดไปอยู่อีกโลกที่มีความสวยงามคลาสสิค มีความพาสเทลและจัดจ้านในเวลาเดียวกัน แต่ก็มีความแปลกจนน่าขนลุก ด้วยความที่หนังพยายามใส่อารมณ์ตรงนี้เข้าไปเพื่อให้คนดูซึมซับให้ได้มากที่สุด มันก็เป็นดาบสองคมของหนัง คือสวยจริง อินจริง แต่มันก็ทำให้หนังยาวขึ้น อืดขึ้นจนช่วงแรกดูน่านอนพักสักงีบ
และที่ต้องชมที่สุดต้องหนีไม่พ้นผู้กำกับ Ari Aster ที่เป็นทั้งผู้กำกับและคนเขียนบทที่ทั้งเขียนบทและกำกับหนังออกมาได้น่ากลัวและแปลกแหวกแนวไม่เหมือนใคร มันเป็นหนังที่ดูแล้วเราจะหวาดระแวงตลอดเวลาตั้งแต่ต้นเรื่องยันท้ายเรื่อง ถึงแม้ว่าช่วงกลางๆ เรื่องคนดูจะเริ่มเดาออกแล้วว่าจะเป็นยังไงในตอนท้าย แต่ก็ยังนั่งดูด้วยความหวาดระแวงตลอดเวลา รวมไปถึงฉากที่หนังบอกเล่าพฤติกรรมแปลกๆ ของวัฒนธรรมประหลาดในหนัง ที่ผู้กำกับเรียกว่ามันคือหนัง Folk Horror คนดูส่วนใหญ่จะขำกับสิ่งที่ตัวละครทำ แต่ผมว่าในความขำของทุกคน มีความหลอนและน่าขนลุกขยะแขยงอย่างบอกไม่ถูกซ่อนอยู่แน่ๆ
หนังเรื่องนี้ ไม่ได้มีเอฟเฟ็คทำให้คนดูตกใจอะไรมากมาย ไม่ได้มีฉากหลอนๆ สยองขวัญเยอะเหมือนหนังสยองขวัญทั่วๆ ไป แต่อย่างที่บอกว่า บรรยากาศที่หนังปูมาทั้งเรื่อง มันเหมือนเป็นการสะกดจิตคนดูให้จิตจดจ่อไปกับหนังจนตกอยู่ในภวังค์ แล้วตบหน้าฉาดใหญ่แรงๆ เรียกสติให้กลับมาด้วยฉากสุดสยอง แล้วจากนั้นก็พาคนดูนั่งหวาดระแวงหลอนประสาทไปตามเส้นทางที่หนังวางไว้ ถือว่าทำได้ยอดเยี่ยม ถึงแม้ว่าฉากสยองขวัญจะไม่ได้มีเยอะจนสาแก่ใจก็ตาม แต่ก็ถือว่าทำได้ไม่ผิดหวังเลยแม้แต่น้อย
ฝากเพจหนังเล็กๆ ด้วยนะครับ >>>
https://www.facebook.com/DooNangGunMai/
และขอขอบคุณหนังรอบสื่อดีๆ จาก สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล Sahamongkolfilm International ด้วยครับ
[SR] [#Review] Midsommar เทศกาลสยอง - เบื้องหลังสีสันความสวยงามของเทศกาลรื่นเริงนั้น ใครจะรู้ว่าโคตรหลอนจิตป่วนประสาท
เรื่องเล่าถึง ดานี่ และ คริสเตียน คู่รักที่เดินทางมายังประเทศสวีเดนตามคำชักชวนของเพื่อนร่วมมหา’ลัย ที่นั่นพวกเขาและเพื่อนๆ วางแผนที่จะไปเที่ยวเทศกาลเฉลิมฉลองฤดูร้อนในหมู่บ้านที่อยู่ห่างไกลและร้างไร้ผู้คน เทศกาลนี้จะจัดขึ้นเพียง1ครั้งในรอบ 90 ปี เป็นเวลา 9 วัน และเป็น 9 วันที่พระอาทิตย์ไม่เคยตกดิน แต่ยิ่งพวกเขาคลุกคลีอยู่กับดินแดนที่เหมือนจะสดใสแห่งนี้เท่าไร ก็ยิ่งค้นพบเรื่องราวสุดแปลกประหลาด และชวนขนหัวลุกขึ้นเรื่อยๆ และกว่าจะรู้ตัวก็แทบจะสายเกินไป
ช่วงแรกหนังอาจจะเดินเรื่องเนิบๆ ตามสไตล์ของผู้กำกับคนนี้ที่จากเรื่องก่อนหน้าก็มาสไตล์เดียวกัน เหมือนแกจะชอบเดินเรื่องเรียบๆ เหมือนสะกดจิตคนดู แล้วมาตบหน้าคนดูฉาดใหญ่ให้ตื่นจากภวังค์ด้วยฉากสุดแหวะ แล้วก็สะกดจิตที่แตกกระเจิงด้วยเรื่องราวที่ถาโถมเข้ามาเรื่อยๆ จนถึงตอนจบ ซึ่งการเดินเรื่องของ Hereditary กับ Midsommar ก็มีความคล้ายคลึงกัน
ตามข้อมูลที่ผมหามา เทศกาลนี้เป็นเทศกาลที่มีอยู่จริง ซึ่งเป็นเหมือนวันขอบคุณเทพแห่งแสงที่ทำให้พืชพรรณสัตว์เลี้ยงได้เจริญงอกงาม แต่คงไม่ได้มีอะไรสยองขวัญเหมือนในหนัง เพราะฉะนั้นหนังเรื่องนี้จะทำลายทฤษฎีหนังสยองขวัญที่ว่าต้องมีฉากมืดทึมตลอดเวลาไปเป็นหนังสยองขวัญที่สว่างจ้าตลอดทั้งเรื่อง สิ่งที่เราจะได้เจอจากหนังคือ ฉากสยองที่เห็นภาพแบบชัดเจนแบบที่คนดูต้องเหวอกันทั้งโรง ฉากสยองฉากแรกที่หนังเปิดออกมา ทำให้คนดูเงียบกริบทั้งโรง มีแค่เสียง ซี๊ดปากเบาๆ เหมือนกำลังช็อคกับภาพที่เห็นแต่เบือนหน้าหนีไม่ทัน แล้วหนังก็อัดฉากนี้ต่อเนื่องสองสามดอกติดๆ กัน อูยยยยยยยย
ข้อดีและข้อเสียของหนังเรื่องนี้ ผมมองว่ามันคือสิ่งเดียวกันที่ผู้กำกับต้องการจะสื่อออกมาให้คนดูได้อิน คือเรื่องของงานภาพที่มีสีสันสวยงาม และบรรยากาศที่แปลกประหลาดชวนขนลุกตั้งแต่ได้เห็น คือมีงานภาพที่สวยมาก เรียกว่าสวยน่าประทับใจสุดๆ เหมือนเราหลุดไปอยู่อีกโลกที่มีความสวยงามคลาสสิค มีความพาสเทลและจัดจ้านในเวลาเดียวกัน แต่ก็มีความแปลกจนน่าขนลุก ด้วยความที่หนังพยายามใส่อารมณ์ตรงนี้เข้าไปเพื่อให้คนดูซึมซับให้ได้มากที่สุด มันก็เป็นดาบสองคมของหนัง คือสวยจริง อินจริง แต่มันก็ทำให้หนังยาวขึ้น อืดขึ้นจนช่วงแรกดูน่านอนพักสักงีบ
และที่ต้องชมที่สุดต้องหนีไม่พ้นผู้กำกับ Ari Aster ที่เป็นทั้งผู้กำกับและคนเขียนบทที่ทั้งเขียนบทและกำกับหนังออกมาได้น่ากลัวและแปลกแหวกแนวไม่เหมือนใคร มันเป็นหนังที่ดูแล้วเราจะหวาดระแวงตลอดเวลาตั้งแต่ต้นเรื่องยันท้ายเรื่อง ถึงแม้ว่าช่วงกลางๆ เรื่องคนดูจะเริ่มเดาออกแล้วว่าจะเป็นยังไงในตอนท้าย แต่ก็ยังนั่งดูด้วยความหวาดระแวงตลอดเวลา รวมไปถึงฉากที่หนังบอกเล่าพฤติกรรมแปลกๆ ของวัฒนธรรมประหลาดในหนัง ที่ผู้กำกับเรียกว่ามันคือหนัง Folk Horror คนดูส่วนใหญ่จะขำกับสิ่งที่ตัวละครทำ แต่ผมว่าในความขำของทุกคน มีความหลอนและน่าขนลุกขยะแขยงอย่างบอกไม่ถูกซ่อนอยู่แน่ๆ
หนังเรื่องนี้ ไม่ได้มีเอฟเฟ็คทำให้คนดูตกใจอะไรมากมาย ไม่ได้มีฉากหลอนๆ สยองขวัญเยอะเหมือนหนังสยองขวัญทั่วๆ ไป แต่อย่างที่บอกว่า บรรยากาศที่หนังปูมาทั้งเรื่อง มันเหมือนเป็นการสะกดจิตคนดูให้จิตจดจ่อไปกับหนังจนตกอยู่ในภวังค์ แล้วตบหน้าฉาดใหญ่แรงๆ เรียกสติให้กลับมาด้วยฉากสุดสยอง แล้วจากนั้นก็พาคนดูนั่งหวาดระแวงหลอนประสาทไปตามเส้นทางที่หนังวางไว้ ถือว่าทำได้ยอดเยี่ยม ถึงแม้ว่าฉากสยองขวัญจะไม่ได้มีเยอะจนสาแก่ใจก็ตาม แต่ก็ถือว่าทำได้ไม่ผิดหวังเลยแม้แต่น้อย
ฝากเพจหนังเล็กๆ ด้วยนะครับ >>> https://www.facebook.com/DooNangGunMai/
และขอขอบคุณหนังรอบสื่อดีๆ จาก สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล Sahamongkolfilm International ด้วยครับ
SR - Sponsored Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ SR โดยที่เจ้าของกระทู้
ข้อมูลเพิ่มเติม