ทำบุญกับอดีตพระจูเลี่ยน ก็คือได้ทำบุญแจกอาหารให้คนหมู่มาก แล้วที่บอกว่าทำผิดวินัยเพราะไม่มีคนสอน ฟังขึ้นมั้ย

  ที่ผ่านมา อดีตพระจูเลี่ยนก็มีชื่อเสียงในฐานะนักบุญแห่งขุนเขา เพราะเป็นพระที่ปฏิบัติตนตามลำพังอยู่บนหุบเขา และทำการเสียสละทรัพย์ที่ได้มาเพื่อเอาไปซื้ออาหารและน้ำไปแจกจ่ายชาวบ้านตามเขา ตามป่า ตามดอย จึงทำให้มีคนศรัทธาท่านมาก เคารพท่านมาก หลายคนร่วมบริจาคทรัพย์ให้กับอดีตพระจูเลี่ยนเพื่อที่จะให้เอาไปซื้อของมาแจกจ่ายให้ชาวบ้านได้กินอิ่ม อยู่อย่างสุขสบาย ไม่ต้องอดอยากปากแห้ง ไม่ต้องลำบากปากลำบากท้อง มีชีวิตที่ดีขึ้นได้

   แต่พอมีข่าวเสียๆหายๆออกมา คนจำนวนมากรู้สึกหมดศรัทธา เสียความรู้สึก มีความรู้สึกผิดหวังมากกว่ารู้สึกอิ่มอกอิ่มใจปลื้มปิติกับบุญที่เคยกระทำมา

   จริงๆแล้ว คนจำนวนมากที่ได้ทำบุญกับพระอดีตพระจูเลี่ยน ก็เพราะว่ามีความหวังว่าท่านจะนำทรัพย์ที่หลายคนร่วมบริจาคไปซื้อข้าว ปลา อาหาร มาแจกจ่ายให้กับชาวบ้านไม่ใช่หรือ ซึ่งการทำบุญลักษณะนี้ก็เหมือนสร้างโรงทานแบบหนึ่ง ซึ่งอยู่ในลักษณะโรงทานเคลื่อนที่ ตัวอดีตพระจูเลี่ยนเองก็เปรียบเหมือนผู้แจกจ่ายอาหารของโรงทานให้กับคนจำนวนมากได้อิ่มหนำสำราญ ถ้าอยู่ในลักษณะเช่นนี้ ก็เท่ากับว่าผู้ที่ร่วมบริจาคให้อดีตพระจูเลี่ยน ก็คือผู้ที่ร่วมบริจาคทรัพย์ทำโรงทานไปด้วย

   ผลบุญของการทำโรงทานแจกจ่ายอาหาร ก็ช่วยให้ผู้บริจาคมีกินมีใช้ สุขภาพแข็งแรง ปราศจากโรคภัย ไม่อดไม่อยาก เป็นผู้มีทรัพย์สินเงินทอง

   หากให้ชาวพุทธไปถวายปัจจัยให้ท่านใช้ส่วนตัว ก็คงไม่ค่อยมีใครถวายหรอก ชาวพุทธส่วนมากจะเน้นถวายทรัพย์ให้พระเกจิครูบาอาจารย์ที่สอนวิปัสสนากรรมฐาน เจริญจิตภาวนามากกว่า

   ที่ผ่านมา ที่ถวายอดีตพระจูเลี่ยน เพราะเห็นว่าท่านเอาทรัพย์ไปแจกจ่ายทำทานต่อ จึงมีคนร่วมบริจาคมาก แต่หากใครที่เจาะจงบริจาคทรัพย์ให้ท่านใช้ส่วนตัว ซึ่งเป็นคนส่วนน้อย ก็ยังได้อานิสงส์การให้ทานอยู่ ให้ทานแก่คนไม่มีศีล 5 ยังได้บุญมากกว่าการให้สัตว์ ซึ่งก็ยังเป็นทานที่มีผลอยู่ ผู้ถวายยังระลึกถึงผลบุญจากการให้ได้อยู่

   ส่วนที่ท่านบอกว่า ทำผิดพระวินัยเพราะขาดครูบาอาจารย์คอยอบรมสั่งสอน อันนี้ไม่รู้ฟังขึ้นหรือไม่

   จริงๆแล้วอาบัติปาราชิกใหญ่ที่แทบทุกคนที่รู้ภาษา อ่านออกขียนได้ ทั้งคนที่บวชพระและไม่ได้บวชพระ รู้กันโดยทั่วไป คือเรื่องของการเสพเมถุน มีเพศสัมพันธ์ มันเป็นความผิดที่รู้กันโดยทั่วไปเป็นปกติ ถ้าอาบัติข้ออื่นไม่รู้ก็ว่าไปอย่าง

   เคยคุยกับพระ 2 กลุ่ม คือ พระที่มีลักษณะไม่เคร่งครัดวินัยและพระที่เคร่งวินัย ใฝ่เจริญวิปัสสนากรรมฐาน ทั้ง 2 กลุ่มนี้จะรู้ว่าเสพเมถุนเป็นโทษหนัก แต่ทั้ง 2 กลุ่มจะมีข้อแตกต่างตรงที่ว่า

   พระเคร่งวินัยจะศึกษาอาบัติปาราชิกมาชัดเจนทุกข้อ
-ห้ามลักทรัพย์ -ห้ามเสพเมถุน -ห้ามฆ่าคน
-ห้ามพูดอวดคุณวิเศษที่ไม่มีในตน
   พระที่เคร่งวินัยจะรู้ชัดเจนทั้ง 4 ข้อ และจะพยายามอย่างเต็มที่ไม่ให้ก้าวล่วงวินัย 4 ข้อนี้

พระที่ไม่เคร่งวินัย อยู่กินไปวันๆ จะไม่ใส่ใจศึกษา 4 ข้อนี้ แต่ก็ยังรู้ว่าเสพเมถุนเป็นโทษร้ายแรง แต่ถ้าทำผิดก็อาจจะทำอย่างหลบๆซ่อนๆ ถ้าไม่หลบซ่อนก็คือ ความผิดสังฆาทิเสส อาจมีพูดจาเกี้ยวสาวบ้าง
   ซึ่งพระเคร่งวินัยจะมีสติและความสำรวมระวังในพฤติกรรมเหล่านี้มากๆ

ส่วนที่อดีตพระจูเลี่ยนบอกว่า พระก็มีหัวใจ-ฮอร์โมน นี่ก็เชื่อว่า พระก็มีหัวใจ-ฮอรโมนด้วยกันทุกรูปล่ะ แต่พระก็มีสติ สมาธิ ปัญญา พระศาสนาก็มีรูปแบบการเรียนรู้ฝึกฝน มีการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน เจริญจิตภาวนาเพื่อชำระบาปอกุศลมลทินในกายและใจ เพื่อพัฒนาตัวเองไปสู่ความเป็นพระอริยเจ้า และมีพระหลายรูปที่พัฒนาฝึกฝนตัวเองได้ ไม่ใช่มาจมปลักกับเรื่องหัวใจ-ฮอร์โมน แล้วไม่ใฝ่พัฒนาตัวเองหรือฝึกฝนตัวเองไม่ดีพอ อยู่แต่สภาวะจิตเดิมๆ ให้อกุศลครอบงำ ให้นรกกินกบาล

   ยิ่งพระรูปไหนรู้ว่าตัวเองมีหัวใจ ฮอร์โมน มีกิเลสครอบงำ ยิ่งต้องหมั่นเจริญวิปัสสนาให้มากๆ อดทนอดกลั้นต่อการผิดพระวินัย
   หากใครทำปาราชิกก็ต้องรีบสึก ไม่ใช่มาอยู่ในผ้าเหลืองให้ชาวบ้านกราบไหว้ต่อ

แต่ไหนๆอดีตพระจูเลี่ยนก็ได้สึกแล้ว ก็จบไป ที่เหลือก็แค่ได้ถือศีล 8 ให้เคร่งครัด ปฏิบัติธรรมให้ต่อเนื่องสม่ำเสมอ เพื่อที่จะได้ไปสู่ภพภูมิที่ดีเมื่อได้ลาโลกนี้ไปแล้ว
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่