สวัสดีค่ะ "พี่หยอดวัดยาง" กลับมาอีกครั้ง...
หลังจากที่เขียนรีวิวเรื่องท่องเที่ยวมามากมาย (ติดตามได้ในแฟนเพจ เที่ยวรัวรัว :
https://www.facebook.com/travelruarua/ )
กระทู้นี้จะเป็นครั้งแรก ในการผันตัวเองมาเขียนแบ่งปันประสบการณ์ในฐานะ "แม่" ค่ะ
เกริ่นกันคร่าวๆ ก่อน "พี่หยอดวัดยาง" ตั้งครรภ์ลูกคนแรก และเพิ่งคลอด "ลูกชาย" ออกมาเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี่เอง ชื่อว่า "น้องเข็มทิศ" ค่ะ
และด้วยความที่เป็นคนชอบเขียนบันทึกเรื่องราว ก็เลยอดไม่ได้ที่จะใช้เวลาว่างที่เหลือจากการเลี้ยงลูก มานั่งเขียนบันทึกเรื่องราวต่างๆ เผื่อจะเป็นประโยชน์กับคุณแม่มือใหม่ค่ะ เรื่องแรกที่ตั้งใจแบ่งปันคือ "การผ่าคลอด" ค่ะ
ใครสนใจลองตามอ่านดูนะคะ เผื่อไว้ประกอบการตัดสินใจ
"พี่หยอด" พยายามเขียนไว้โดยละเอียดค่ะ
**** ทั้งหมดนี้เป็นประสบการณ์ส่วนตัวนะคะ อาจจะไม่ตรงหรือไม่เหมือนกับคุณแม่ท่านอื่นๆ ****
หากเพื่อนๆ มีข้อมูลดีๆ เพิ่มเติม อย่าลืมมาคอมเม้นแบ่งปันกันนะคะ
ติดตามบันทึกเรื่องราวของ "แม่คนนี้" ได้เพิ่มเติมที่
Facebook page : Journey of Kemtis การเดินทางของเข็มทิศ
https://www.facebook.com/journeyofkemtis/
#บันทึกผ่าคลอด
🏥💊การผ่าตัดครั้งแรกในชีวิต 💉🤱🏻
โพสนี้อยากมาแบ่งปันประสบการณ์ “ผ่าคลอด” ให้ได้อ่านกันค่ะ เก็บเป็นบันทึกเรื่องราว (แบบละเอียดยิบ) เอาไว้เผื่อมีว่าที่คุณแม่คนไหนผ่านเข้ามาได้อ่านนะ...
นี่คือ moment สำคัญในชีวิตหม่ามิ๊เลย moment ที่จะได้เจอหน้าลูกแต่ต้องแลกกับการผ่าตัดครั้งแรกในชีวิต
บอกก่อนว่าที่หม่ามิ๊ต้องใช้วิธีการผ่าคลอด ก็เพราะว่า ระหว่างที่ตั้งครรภ์อยู่นั้นตรวจเจอเนื้องอกในมดลูกค่ะ
ก็เลยตัดสินใจผ่าคลอดดีกว่า เพื่อที่จะได้ให้คุณหมอตัดเอาเนื้องอกนั้นออกไปเลย...
———————-
ก่อนหน้าวันนัดผ่าประมาณ 1 สัปดาห์ หลายความรู้สึกเริ่มลอยเข้ามา ทั้งดีใจ ทั้งตื่นเต้น ทั้งวิตกกังวล และทั้งกลัววววว!!
คุณหมอนัดเวลาผ่าช่วงเวลาประมาณ 12.30 น. และให้ทางเราเดินทางไปสแตนบายที่ รพ. เวลาประมาณ 09.00 น.
ด้วยความที่วันนัดผ่านั้นตรงกับวันศุกร์ กลัวว่าสภาพการจราจรในช่วงเช้าจะไม่เป็นใจ เลยรีบออกจากบ้านตั้งแต่ไก่โห่ สรุปถึงโรงพยาบาลตั้งแต่ 7 โมงเช้า
การเตรียมตัวก่อนผ่าคลอด มีเพียงอย่างเดียวคือ งดน้ำ งดอาหาร ตั้งแต่เวลาตี 5 ค่ะ แต่ควรทานอาหารอ่อน พวกซุป ข้าวต้ม ไปก่อนถึงเวลางดน้ำงดอาหารรองท้องไว้ซักหน่อย
———————-
เมื่อมาถึงโรงพยาบาล 🏥 รายงานตัวกับเจ้าหน้าที่ ได้หมายเลขห้องพักสำหรับช่วงเวลา 3 คืน 4 วัน เรียบร้อยแล้ว (จองเป็นแพคเกจคลอดแบบผ่าตัดไว้ล่วงหน้า) ก็ได้เวลาที่หม่ามิ๊ต้องเข้าไปเตรียมตัวใน “ห้องเตรียมคลอด” ค่ะ ตอนนั้นยังไม่มีอะไรมาก เหมือนเป็นห้องพักส่วนตัวให้เราได้เตรียมตัวเตรียมใจ นอนพักเพลินๆ 💤
เจ้าหน้าที่จะนำชุดมาให้เราเปลี่ยน และเข้าสู่กระบวนการทำความสะอาดและการโกนขนบริเวณหัวหน่าวค่ะ (ครั้งแรกอีกเช่นกัน...หลับหูหลับตาไปก็จะไม่เขิน!!) ที่ต้องโกนก็เพื่อความสะอาดบริเวณแผลผ่าตัดนั่นเอง จากนั้นก็จะทำการสวนอุจจาระเคลียให้โล่งกันไปเลย
ระหว่างนี้ก็นอนรอเวลาไปเรื่อยๆ ค่ะ พอซักประมาณชั่วโมงนึงก่อนถึงเวลาผ่าตัด พี่พยาบาลก็จะมาเจาะให้น้ำเกลือรอไว้ 💉
คุณหมอวิสัญญีก็จะเข้ามาพูดคุยสอบถามประวัติการแพ้ยาต่างๆ และอธิบายให้เราเข้าใจเกี่ยวกับการบล็อกหลัง
การบล็อกหลัง คือการฉีดยาชาทางช่องน้ำไขสันหลัง คือตอนฉีดนั้นเราจะต้องนอนขดตัวเป็นกุ้ง เพื่อให้ช่องระหว่างกระดูกสันหลังเปิดกว้างที่สุด แล้วคุณหมอก็จะฉีดยาชาเข้าไปบริเวณนั้นค่ะ
ใกล้เวลาเข้ามาทุกที... ช่วงรอก็หลับพักผ่อนไปได้งีบนึง หรือถ้าคุณแม่คนไหนจะเตรียมหน้าผมให้พร้อมนิดนึง ก็ใช้จังหวะเวลานี้แหละค่ะ ตบแป้ง เขียนคิ้ว กรีดตากันไป (แต่แนะนำว่าอย่าให้หน้าแน่นมากนะ เดี๋ยวจะไม่ธรรมชาติ 555)
ปล. ในห้องพักรอคลอดนี้ อนุญาตให้ญาติเข้ามาอยู่ด้วยได้นะคะ
————————-
ทันใดนั้น เวลาประมาณ 12.00 พี่พยาบาลเปิดประตูเข้ามาและบอกว่า “ไปค่ะ...ได้เวลาแล้ว”
ใจเต้นรัวรัวขึ้นมาทันที... ถึงเวลาแล้วสินะ
ตอนนั้นนอนอยู่บนเตียงที่กำลังมีคนเข็นไปห้องผ่านัด นอนมองไฟบนเพดานค่อยๆ เคลื่อนผ่านไปเหมือนซีนในละครเลยค่ะ...
เมื่อเข็นเตียงผ่านประตูห้องผ่าตัดเข้าไปแล้ว มองไปซ้ายขวามีแต่เจ้าหน้าที่ใส่ชุดเขียว หมวกเขียว ไฟกลางห้องผ่าตัดใหญ่มหึมามากๆ
ทุกคนคุยกันไปมาแบบชิวๆ คงพยายามจะสร้างบรรยากาศให้เราไม่เครียด สบายๆ (เพื่อนบางคนบอกว่าตอนผ่าตัดบางทีมีเปิดเพลงด้วยนะ)
เหลือเวลาเตรียมตัวอีกไม่นาน พี่พยายาลมาสอดท่อปัสสาวะ คุณหมอวิสัญญีเข้ามาพูดคุยกับเราอีกรอบ และทำการฉีดยาบล๊อคหลัง
พี่พยาบาลต้องมาช่วยเรางอตัว เพราะท้องใหญ่มาก งอเองจะลำบากหน่อยค่ะ 💉 ความเจ็บตอนฉีดยาเข้าไปกลางหลังไม่โหดร้ายอย่างที่คิดไว้ค่ะ
ถามว่าเจ็บไหม ก็เจ็บนะ แต่โอเคอยู่ โดยคุณหมอวิสัญญีจะอยู่กับเราจนผ่าตัดเสร็จค่ะ นั่งถาม นั่งดูอยู่ข้างๆ ตัวเราเลย
หลังจากฉีดยาเข้าไปไม่นาน ร่างกายท่อนล่างเราเริ่มชาาาาา ชาาาาา และชาาาาาา
ตอนนั้นสารภาพว่าใจสั่นมากกกกก อาการกลัวเริ่มมากขึ้นๆ ความรู้สึกที่ว่าเราขยับตัวส่วนล่างไม่ได้มันยิ่งทำให้อึดอัดและกลัวมากขึ้นไปอีก
เกิดมาไม่เคยรู้สึก “กลัวจนสั่น” แบบนี้มาก่อน
สิ่งเดียวที่ต้องมีคือ
“สติ” ยอมรับเลยว่าสติจะหลุด กลัวจนปากสั่น ใจสั่น ตัวสั่นไปหมด
นึกกับตัวเองอย่างเดียวว่าต้องดึงสติกลับมาให้ได้ จดจ่อกับลมหายใจของเราไว้ หายใจลึกๆไว้ แล้วทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดี...
ปล. ช่วงนี้ปะป๊าคือเตรียมเปลี่ยนชุดนั่งรออยู่หน้าห้องผ่าตัดแล้วค่ะ รอเวลาเรียกเข้ามาตอนจะคลอด
ถามพี่พยาบาลไว้เรื่องถ่ายภาพในห้องผ่าตัด 📷 อนุญาตให้นำมือถือเข้าไปได้ค่ะ แต่ไม่อนุญาตให้นำกล้องจริงจังเข้าไปนะ 📱
(โรงพยาบาลที่หม่ามิ๊ผ่าคลอดนี้ จะมีการทำ CD ภาพถ่ายลูกน้อยให้ด้วยค่ะ)
—————————-
เวลาประมาณ 12.30 น. คุณหมอที่จะมาทำการผ่าคลอดให้ก็เข้ามาในห้องผ่าตัดค่ะ (ไม่เห็นหน้านะได้ยินแต่เสียง เพราะมีฉากกั้นไว้หมดแล้ว)
จากนั้นก็เริ่มลงมือกันเลย จังหวะนั้นไม่รู้สึกอะไรเลยว่าคุณหมอทำอะไรกับท่อนล่างเราบ้าง...
ความหนาว ความสั่น ที่ท่อนบนยังไม่ลดลง มีแต่เพิ่มขึ้นไปอีก จนเราต้องหันไปถามคุณหมอวิสัญญีว่า
“อาการที่สั่นขนาดนี้...มันปกติใช่ไหมคะ?”
คุณหมอบอกว่าปกติค่ะ ด้วยความเย็นของห้องผ่าตัดด้วย และเวลาผ่าตัดเราเสียเลือดด้วย เป็นภาวะปกติของร่างกายเรา ไม่ต้องกังวลไป
พี่พยาบาลเลยช่วยเอาเครื่องเป่าลมอุ่นมาช่วยเป่าบรรเทาให้อีกทาง ตอนนั้นเริ่มรู้สึกสะลึมสะลือ ตาจะปิดแต่ก็ฝืนไว้เพื่อรอจะเห็น “ลูก”
อีกไม่กี่นาทีต่อมา... พี่พยาบาลพาปะป๊าเข้ามาในห้องผ่าตัด นั่งอยู่ข้างเรา เราก็รู้สึกอุ่นใจขึ้นมา มันเป็นความรู้สึกที่ดีจริงๆ ค่ะ
เหมือนในยามที่เรารู้สึกกลัวอะไรมากๆ แล้วมีคนที่เรารักอยู่ข้างๆ คอยสัมผัส คอยให้กำลังใจเราไม่ห่าง มันช่วยได้เยอะมากจริงๆ ค่ะ
อุแว้ อุแว้ อุแว้ !!!! (ดังมากกกกกกก)
และแล้วก็ได้ยินเสียงที่รอคอย ลูกคลอดออกมาแล้วค่ะ จังหวะนั้น มันตื้นตันมากกกก ได้มองหน้ากันกับปะป๊าแล้วได้แต่ยิ้ม พูดอะไรไม่ออกจริงๆ มันดีใจ ชื่นใจ น้ำตามันเอ่ออยู่ข้างใน มันเป็นความสุขที่สุดในชีวิต ♥️
หลังจากที่คลอดออกมา จะมีกุมารแพทย์มารอรับช่วงต่อค่ะ ทำความสะอาดตัวน้องในเบื้องต้นแล้ว 🛁 พี่พยาบาลก็จะเชิญปะป๊าไปดูลูก และอุ้ม “เข็มทิศ” มาหาหม่ามิ๊ด้วยกัน จากที่เรารู้สึกหนาวสั่นๆๆๆ อยู่ พอมีหน้าลูกมาแนบอยู่ข้างหน้าเรา สัมผัสไออุ่นจากเค้าได้จริงๆ ค่ะ มันดีต่อใจมากกกกกกก
และก็มาถึงเวลา “ถ่ายภาพครอบครัว” เรา 3 คน พร้อมหน้าพร้อมตา พี่พยาบาลเอามือถือไปถ่ายรูปให้แบบกดรัวรัวเลยค่ะ
จังหวะนั้นยิ้มอย่างเดียวค่ะ มันคือรูปประวัติศาสตร์ของชีวิตเรา !!!
สรุปแล้วใช้เวลาในการผ่าคลอดออกมาจริงๆ ไม่เกิน 15 นาทีค่ะ
เพียงแค่แป๊ปๆ แต่เปลี่ยนชีวิตเราไปตลอดกาล...
——————————
หลังจากกระบวนการผ่าคลอดเสร็จสิ้น... เราถูกเคลื่อนย้ายออกมาที่ห้องพักฟื้น หลับไปยาวเลยค่ะ 💤 (แต่ระหว่างที่หลับๆ ก็ยังหนาวสั่นอยู่นะ)
ประมาณ 2-3 ชั่วโมงที่หลับไป พอรู้สึกตัวขึ้นมา รู้สึกว่าเริ่มขยับนิ้วเท้าได้แล้ว มันรู้สึกโล่งอกจริงๆ ความอึดอัด ความกลัว เริ่มคลายไป...
จนเวลาประมาณ 16.00 น. เมื่อสภาพร่างกายของเราเริ่มกลับสู่ภาวะปกติแล้ว ไม่มีอาการแทรกซ้อนใดๆ เราก็ถูกเคลื่อนย้ายไปยังห้องพักที่เตรียมจองไว้แล้วค่ะ ตอนนั้นรู้สึกตัวปกติ ไม่หนาวสั่นแล้ว ยังไม่เจ็บแผลใดๆ แต่อาจจะมีอาการมึนๆ เพลียๆ อยู่บ้างยังไม่ 100% ระหว่างนี้ต้องนอนราบไปจนถึงเวลาประมาณเที่ยงคืน และยังงดน้ำ งดอาหาร ไปก่อน (ยังให้น้ำเกลือและใส่สายปัสสาวะอยู่นะ)
ทั้งหมดนี้... base on true story ค่ะ (เหมือน Club Friday เลยมั้ยล่ะ ?!?!)
***กระบวนการขั้นตอนต่างๆ อาจแตกต่างกันไปแล้วแต่โรงพยาบาลนะคะ***
ส่วนเรื่องระดับ “ความเจ็บ” และระยะเวลาในการ recover ขอไม่พูดถึงมากเพราะอันนี้แล้วแต่ละบุคคล
แต่สำหรับหม่ามิ๊แล้ว พอยาชาหมดฤทธิ์ก็เจ็บระบมมากกกกเลยค่ะ เพราะมีการตัดเนื้องอกในมดลูกด้วย คุณหมอบอกว่าเลยจะเจ็บดับเบิ้ลไปอีก...
ใช้เวลาประมาณ 7-10 วัน ถึงเริ่มเดินได้สะดวกขึ้นแบบไม่เจ็บมาก แผลผ่าภายนอกไม่เจ็บเลย แห้งหายสนิทไม่ยาก แต่แผลภายในต้องใช้เวลาซักหน่อยค่ะ แต่ที่สำคัญมากๆ คือ ต้องพยายามฝืนเดินให้ได้เร็วๆ ค่ะ จะได้ไม่เป็นพังผืดบริเวณที่ผ่านะ
——————————
และนี่คือบันทึกประสบการณ์ช่วงเวลาสำคัญที่สุดในชีวิตของหม่ามิ๊ค่ะ...
ทุกอย่างผ่านไปอย่างรวดเร็วราวกับฝันไป...
เพียงไม่ถึงเสี้ยวนาที...เรากลับกลายเป็น “แม่” อย่างเต็มตัว
หวังว่าบันทึกนี้จะเป็นประโยชน์กับแม่ๆ ที่แพลนจะผ่าคลอดนะคะ 🙂
ติดตามบันทึกเรื่องราวของ "แม่คนนี้" ได้เพิ่มเติมที่
Facebook page : Journey of Kemtis การเดินทางของเข็มทิศ
https://www.facebook.com/journeyofkemtis/
#JourneyofKemtis #การเดินทางของเข็มทิศ
#บันทึกคุณแม่ #คุณแม่มือใหม่ #ผ่าคลอด
Journey of Kemtis : บันทึกประสบการณ์ "ผ่าคลอด" ของคุณแม่มือใหม่
หลังจากที่เขียนรีวิวเรื่องท่องเที่ยวมามากมาย (ติดตามได้ในแฟนเพจ เที่ยวรัวรัว : https://www.facebook.com/travelruarua/ )
กระทู้นี้จะเป็นครั้งแรก ในการผันตัวเองมาเขียนแบ่งปันประสบการณ์ในฐานะ "แม่" ค่ะ
เกริ่นกันคร่าวๆ ก่อน "พี่หยอดวัดยาง" ตั้งครรภ์ลูกคนแรก และเพิ่งคลอด "ลูกชาย" ออกมาเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี่เอง ชื่อว่า "น้องเข็มทิศ" ค่ะ
และด้วยความที่เป็นคนชอบเขียนบันทึกเรื่องราว ก็เลยอดไม่ได้ที่จะใช้เวลาว่างที่เหลือจากการเลี้ยงลูก มานั่งเขียนบันทึกเรื่องราวต่างๆ เผื่อจะเป็นประโยชน์กับคุณแม่มือใหม่ค่ะ เรื่องแรกที่ตั้งใจแบ่งปันคือ "การผ่าคลอด" ค่ะ
ใครสนใจลองตามอ่านดูนะคะ เผื่อไว้ประกอบการตัดสินใจ
"พี่หยอด" พยายามเขียนไว้โดยละเอียดค่ะ
**** ทั้งหมดนี้เป็นประสบการณ์ส่วนตัวนะคะ อาจจะไม่ตรงหรือไม่เหมือนกับคุณแม่ท่านอื่นๆ ****
หากเพื่อนๆ มีข้อมูลดีๆ เพิ่มเติม อย่าลืมมาคอมเม้นแบ่งปันกันนะคะ
ติดตามบันทึกเรื่องราวของ "แม่คนนี้" ได้เพิ่มเติมที่ Facebook page : Journey of Kemtis การเดินทางของเข็มทิศ
https://www.facebook.com/journeyofkemtis/
#บันทึกผ่าคลอด
🏥💊การผ่าตัดครั้งแรกในชีวิต 💉🤱🏻
โพสนี้อยากมาแบ่งปันประสบการณ์ “ผ่าคลอด” ให้ได้อ่านกันค่ะ เก็บเป็นบันทึกเรื่องราว (แบบละเอียดยิบ) เอาไว้เผื่อมีว่าที่คุณแม่คนไหนผ่านเข้ามาได้อ่านนะ...
นี่คือ moment สำคัญในชีวิตหม่ามิ๊เลย moment ที่จะได้เจอหน้าลูกแต่ต้องแลกกับการผ่าตัดครั้งแรกในชีวิต
บอกก่อนว่าที่หม่ามิ๊ต้องใช้วิธีการผ่าคลอด ก็เพราะว่า ระหว่างที่ตั้งครรภ์อยู่นั้นตรวจเจอเนื้องอกในมดลูกค่ะ
ก็เลยตัดสินใจผ่าคลอดดีกว่า เพื่อที่จะได้ให้คุณหมอตัดเอาเนื้องอกนั้นออกไปเลย...
———————-
ก่อนหน้าวันนัดผ่าประมาณ 1 สัปดาห์ หลายความรู้สึกเริ่มลอยเข้ามา ทั้งดีใจ ทั้งตื่นเต้น ทั้งวิตกกังวล และทั้งกลัววววว!!
คุณหมอนัดเวลาผ่าช่วงเวลาประมาณ 12.30 น. และให้ทางเราเดินทางไปสแตนบายที่ รพ. เวลาประมาณ 09.00 น.
ด้วยความที่วันนัดผ่านั้นตรงกับวันศุกร์ กลัวว่าสภาพการจราจรในช่วงเช้าจะไม่เป็นใจ เลยรีบออกจากบ้านตั้งแต่ไก่โห่ สรุปถึงโรงพยาบาลตั้งแต่ 7 โมงเช้า
การเตรียมตัวก่อนผ่าคลอด มีเพียงอย่างเดียวคือ งดน้ำ งดอาหาร ตั้งแต่เวลาตี 5 ค่ะ แต่ควรทานอาหารอ่อน พวกซุป ข้าวต้ม ไปก่อนถึงเวลางดน้ำงดอาหารรองท้องไว้ซักหน่อย
———————-
เมื่อมาถึงโรงพยาบาล 🏥 รายงานตัวกับเจ้าหน้าที่ ได้หมายเลขห้องพักสำหรับช่วงเวลา 3 คืน 4 วัน เรียบร้อยแล้ว (จองเป็นแพคเกจคลอดแบบผ่าตัดไว้ล่วงหน้า) ก็ได้เวลาที่หม่ามิ๊ต้องเข้าไปเตรียมตัวใน “ห้องเตรียมคลอด” ค่ะ ตอนนั้นยังไม่มีอะไรมาก เหมือนเป็นห้องพักส่วนตัวให้เราได้เตรียมตัวเตรียมใจ นอนพักเพลินๆ 💤
เจ้าหน้าที่จะนำชุดมาให้เราเปลี่ยน และเข้าสู่กระบวนการทำความสะอาดและการโกนขนบริเวณหัวหน่าวค่ะ (ครั้งแรกอีกเช่นกัน...หลับหูหลับตาไปก็จะไม่เขิน!!) ที่ต้องโกนก็เพื่อความสะอาดบริเวณแผลผ่าตัดนั่นเอง จากนั้นก็จะทำการสวนอุจจาระเคลียให้โล่งกันไปเลย
ระหว่างนี้ก็นอนรอเวลาไปเรื่อยๆ ค่ะ พอซักประมาณชั่วโมงนึงก่อนถึงเวลาผ่าตัด พี่พยาบาลก็จะมาเจาะให้น้ำเกลือรอไว้ 💉
คุณหมอวิสัญญีก็จะเข้ามาพูดคุยสอบถามประวัติการแพ้ยาต่างๆ และอธิบายให้เราเข้าใจเกี่ยวกับการบล็อกหลัง
การบล็อกหลัง คือการฉีดยาชาทางช่องน้ำไขสันหลัง คือตอนฉีดนั้นเราจะต้องนอนขดตัวเป็นกุ้ง เพื่อให้ช่องระหว่างกระดูกสันหลังเปิดกว้างที่สุด แล้วคุณหมอก็จะฉีดยาชาเข้าไปบริเวณนั้นค่ะ
ใกล้เวลาเข้ามาทุกที... ช่วงรอก็หลับพักผ่อนไปได้งีบนึง หรือถ้าคุณแม่คนไหนจะเตรียมหน้าผมให้พร้อมนิดนึง ก็ใช้จังหวะเวลานี้แหละค่ะ ตบแป้ง เขียนคิ้ว กรีดตากันไป (แต่แนะนำว่าอย่าให้หน้าแน่นมากนะ เดี๋ยวจะไม่ธรรมชาติ 555)
ปล. ในห้องพักรอคลอดนี้ อนุญาตให้ญาติเข้ามาอยู่ด้วยได้นะคะ
————————-
ทันใดนั้น เวลาประมาณ 12.00 พี่พยาบาลเปิดประตูเข้ามาและบอกว่า “ไปค่ะ...ได้เวลาแล้ว”
ใจเต้นรัวรัวขึ้นมาทันที... ถึงเวลาแล้วสินะ
ตอนนั้นนอนอยู่บนเตียงที่กำลังมีคนเข็นไปห้องผ่านัด นอนมองไฟบนเพดานค่อยๆ เคลื่อนผ่านไปเหมือนซีนในละครเลยค่ะ...
เมื่อเข็นเตียงผ่านประตูห้องผ่าตัดเข้าไปแล้ว มองไปซ้ายขวามีแต่เจ้าหน้าที่ใส่ชุดเขียว หมวกเขียว ไฟกลางห้องผ่าตัดใหญ่มหึมามากๆ
ทุกคนคุยกันไปมาแบบชิวๆ คงพยายามจะสร้างบรรยากาศให้เราไม่เครียด สบายๆ (เพื่อนบางคนบอกว่าตอนผ่าตัดบางทีมีเปิดเพลงด้วยนะ)
เหลือเวลาเตรียมตัวอีกไม่นาน พี่พยายาลมาสอดท่อปัสสาวะ คุณหมอวิสัญญีเข้ามาพูดคุยกับเราอีกรอบ และทำการฉีดยาบล๊อคหลัง
พี่พยาบาลต้องมาช่วยเรางอตัว เพราะท้องใหญ่มาก งอเองจะลำบากหน่อยค่ะ 💉 ความเจ็บตอนฉีดยาเข้าไปกลางหลังไม่โหดร้ายอย่างที่คิดไว้ค่ะ
ถามว่าเจ็บไหม ก็เจ็บนะ แต่โอเคอยู่ โดยคุณหมอวิสัญญีจะอยู่กับเราจนผ่าตัดเสร็จค่ะ นั่งถาม นั่งดูอยู่ข้างๆ ตัวเราเลย
หลังจากฉีดยาเข้าไปไม่นาน ร่างกายท่อนล่างเราเริ่มชาาาาา ชาาาาา และชาาาาาา
ตอนนั้นสารภาพว่าใจสั่นมากกกกก อาการกลัวเริ่มมากขึ้นๆ ความรู้สึกที่ว่าเราขยับตัวส่วนล่างไม่ได้มันยิ่งทำให้อึดอัดและกลัวมากขึ้นไปอีก
เกิดมาไม่เคยรู้สึก “กลัวจนสั่น” แบบนี้มาก่อน
สิ่งเดียวที่ต้องมีคือ “สติ” ยอมรับเลยว่าสติจะหลุด กลัวจนปากสั่น ใจสั่น ตัวสั่นไปหมด
นึกกับตัวเองอย่างเดียวว่าต้องดึงสติกลับมาให้ได้ จดจ่อกับลมหายใจของเราไว้ หายใจลึกๆไว้ แล้วทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดี...
ปล. ช่วงนี้ปะป๊าคือเตรียมเปลี่ยนชุดนั่งรออยู่หน้าห้องผ่าตัดแล้วค่ะ รอเวลาเรียกเข้ามาตอนจะคลอด
ถามพี่พยาบาลไว้เรื่องถ่ายภาพในห้องผ่าตัด 📷 อนุญาตให้นำมือถือเข้าไปได้ค่ะ แต่ไม่อนุญาตให้นำกล้องจริงจังเข้าไปนะ 📱
(โรงพยาบาลที่หม่ามิ๊ผ่าคลอดนี้ จะมีการทำ CD ภาพถ่ายลูกน้อยให้ด้วยค่ะ)
—————————-
เวลาประมาณ 12.30 น. คุณหมอที่จะมาทำการผ่าคลอดให้ก็เข้ามาในห้องผ่าตัดค่ะ (ไม่เห็นหน้านะได้ยินแต่เสียง เพราะมีฉากกั้นไว้หมดแล้ว)
จากนั้นก็เริ่มลงมือกันเลย จังหวะนั้นไม่รู้สึกอะไรเลยว่าคุณหมอทำอะไรกับท่อนล่างเราบ้าง...
ความหนาว ความสั่น ที่ท่อนบนยังไม่ลดลง มีแต่เพิ่มขึ้นไปอีก จนเราต้องหันไปถามคุณหมอวิสัญญีว่า “อาการที่สั่นขนาดนี้...มันปกติใช่ไหมคะ?”
คุณหมอบอกว่าปกติค่ะ ด้วยความเย็นของห้องผ่าตัดด้วย และเวลาผ่าตัดเราเสียเลือดด้วย เป็นภาวะปกติของร่างกายเรา ไม่ต้องกังวลไป
พี่พยาบาลเลยช่วยเอาเครื่องเป่าลมอุ่นมาช่วยเป่าบรรเทาให้อีกทาง ตอนนั้นเริ่มรู้สึกสะลึมสะลือ ตาจะปิดแต่ก็ฝืนไว้เพื่อรอจะเห็น “ลูก”
อีกไม่กี่นาทีต่อมา... พี่พยาบาลพาปะป๊าเข้ามาในห้องผ่าตัด นั่งอยู่ข้างเรา เราก็รู้สึกอุ่นใจขึ้นมา มันเป็นความรู้สึกที่ดีจริงๆ ค่ะ
เหมือนในยามที่เรารู้สึกกลัวอะไรมากๆ แล้วมีคนที่เรารักอยู่ข้างๆ คอยสัมผัส คอยให้กำลังใจเราไม่ห่าง มันช่วยได้เยอะมากจริงๆ ค่ะ
อุแว้ อุแว้ อุแว้ !!!! (ดังมากกกกกกก)
และแล้วก็ได้ยินเสียงที่รอคอย ลูกคลอดออกมาแล้วค่ะ จังหวะนั้น มันตื้นตันมากกกก ได้มองหน้ากันกับปะป๊าแล้วได้แต่ยิ้ม พูดอะไรไม่ออกจริงๆ มันดีใจ ชื่นใจ น้ำตามันเอ่ออยู่ข้างใน มันเป็นความสุขที่สุดในชีวิต ♥️
หลังจากที่คลอดออกมา จะมีกุมารแพทย์มารอรับช่วงต่อค่ะ ทำความสะอาดตัวน้องในเบื้องต้นแล้ว 🛁 พี่พยาบาลก็จะเชิญปะป๊าไปดูลูก และอุ้ม “เข็มทิศ” มาหาหม่ามิ๊ด้วยกัน จากที่เรารู้สึกหนาวสั่นๆๆๆ อยู่ พอมีหน้าลูกมาแนบอยู่ข้างหน้าเรา สัมผัสไออุ่นจากเค้าได้จริงๆ ค่ะ มันดีต่อใจมากกกกกกก
และก็มาถึงเวลา “ถ่ายภาพครอบครัว” เรา 3 คน พร้อมหน้าพร้อมตา พี่พยาบาลเอามือถือไปถ่ายรูปให้แบบกดรัวรัวเลยค่ะ
จังหวะนั้นยิ้มอย่างเดียวค่ะ มันคือรูปประวัติศาสตร์ของชีวิตเรา !!!
สรุปแล้วใช้เวลาในการผ่าคลอดออกมาจริงๆ ไม่เกิน 15 นาทีค่ะ เพียงแค่แป๊ปๆ แต่เปลี่ยนชีวิตเราไปตลอดกาล...
——————————
หลังจากกระบวนการผ่าคลอดเสร็จสิ้น... เราถูกเคลื่อนย้ายออกมาที่ห้องพักฟื้น หลับไปยาวเลยค่ะ 💤 (แต่ระหว่างที่หลับๆ ก็ยังหนาวสั่นอยู่นะ)
ประมาณ 2-3 ชั่วโมงที่หลับไป พอรู้สึกตัวขึ้นมา รู้สึกว่าเริ่มขยับนิ้วเท้าได้แล้ว มันรู้สึกโล่งอกจริงๆ ความอึดอัด ความกลัว เริ่มคลายไป...
จนเวลาประมาณ 16.00 น. เมื่อสภาพร่างกายของเราเริ่มกลับสู่ภาวะปกติแล้ว ไม่มีอาการแทรกซ้อนใดๆ เราก็ถูกเคลื่อนย้ายไปยังห้องพักที่เตรียมจองไว้แล้วค่ะ ตอนนั้นรู้สึกตัวปกติ ไม่หนาวสั่นแล้ว ยังไม่เจ็บแผลใดๆ แต่อาจจะมีอาการมึนๆ เพลียๆ อยู่บ้างยังไม่ 100% ระหว่างนี้ต้องนอนราบไปจนถึงเวลาประมาณเที่ยงคืน และยังงดน้ำ งดอาหาร ไปก่อน (ยังให้น้ำเกลือและใส่สายปัสสาวะอยู่นะ)
ทั้งหมดนี้... base on true story ค่ะ (เหมือน Club Friday เลยมั้ยล่ะ ?!?!)
***กระบวนการขั้นตอนต่างๆ อาจแตกต่างกันไปแล้วแต่โรงพยาบาลนะคะ***
ส่วนเรื่องระดับ “ความเจ็บ” และระยะเวลาในการ recover ขอไม่พูดถึงมากเพราะอันนี้แล้วแต่ละบุคคล
แต่สำหรับหม่ามิ๊แล้ว พอยาชาหมดฤทธิ์ก็เจ็บระบมมากกกกเลยค่ะ เพราะมีการตัดเนื้องอกในมดลูกด้วย คุณหมอบอกว่าเลยจะเจ็บดับเบิ้ลไปอีก...
ใช้เวลาประมาณ 7-10 วัน ถึงเริ่มเดินได้สะดวกขึ้นแบบไม่เจ็บมาก แผลผ่าภายนอกไม่เจ็บเลย แห้งหายสนิทไม่ยาก แต่แผลภายในต้องใช้เวลาซักหน่อยค่ะ แต่ที่สำคัญมากๆ คือ ต้องพยายามฝืนเดินให้ได้เร็วๆ ค่ะ จะได้ไม่เป็นพังผืดบริเวณที่ผ่านะ
——————————
และนี่คือบันทึกประสบการณ์ช่วงเวลาสำคัญที่สุดในชีวิตของหม่ามิ๊ค่ะ...
ทุกอย่างผ่านไปอย่างรวดเร็วราวกับฝันไป...
เพียงไม่ถึงเสี้ยวนาที...เรากลับกลายเป็น “แม่” อย่างเต็มตัว
หวังว่าบันทึกนี้จะเป็นประโยชน์กับแม่ๆ ที่แพลนจะผ่าคลอดนะคะ 🙂
ติดตามบันทึกเรื่องราวของ "แม่คนนี้" ได้เพิ่มเติมที่ Facebook page : Journey of Kemtis การเดินทางของเข็มทิศ
https://www.facebook.com/journeyofkemtis/
#JourneyofKemtis #การเดินทางของเข็มทิศ
#บันทึกคุณแม่ #คุณแม่มือใหม่ #ผ่าคลอด