สวัสดีค่ะทุกคน
เราตั้งใจจะเขียนแชร์ประสบการณ์ชีวิตเรื่องนี้ของเราให้กับทุกคน โดยเฉพาะนักศึกษาทุนอีกหลายคนค่ะ
ลองอ่านกันดูนะคะ ไม่ได้มีเจตนาจะโทษฝ่ายใดทั้งสิ้นค่ะ จุดประสงค์หลัก ๆ อาจจะแค่ได้ทบทวนเรื่องราวระหว่างที่กำลังเขียนกระทู้ หรือ ระบายให้ความรู้สึกแย่ ๆ นี้มันบรรเทาลงมากกว่าค่ะ
เกริ่นซะยาวเลย เข้าเรื่องเลยละกันนะคะ ขอแนะนำตัวก่อน เราเป็น นักศึกษาทุนหนึ่งของประเทศไทยค่ะ ที่ได้รับทุนตั้งแต่จบ ม.6 เพื่อเรียนในคณะวิทยาศาสตร์ ตอนนี้เรากำลังศึกษาในระดับปริญญาเอก กำลังจะเริ่มปีที่ 4 แล้วค่ะ เราเรียนปริญญาเอก แบบจบ ป.ตรี ค่ะ โดยเลือกเรียนแบบที่วิจัยอย่างเดียว ไม่ต้องลงวิชาเรียน (coursework) อื่น ๆ นะคะ ทุนที่เราได้รับนี้ เราทราบเงื่อนไขของทุนดีทุกอย่างค่ะ มีเงื่อนไขข้อนึงที่จูงใจให้เราตัดสินใจจับปากกาเซ็นต์สัญญาตั้งแต่ ม.6 เงื่อนไขข้อนี้ระบุคร่าว ๆ ว่า มีทุนให้สำหรับไปทำวิจัยที่ต่างประเทศ ในขณะที่กำลังศึกษาชั้นปริญญาเอก เป็นระยะเวลา 9-12 เดือน เป็นเงื่อนไขที่เราใฝ่ฝันมากเลย ว่าเราจะต้องทำให้ได้ ตั้งแต่เริ่มปริญญาเอกตอน ปี 1 เราก็ศึกษาเงื่อนไขการขอรับทุนไปทำวิจัยต่างประเทศ
อ่านอย่างละเอียดว่า มีข้อกำหนดเป็นอย่างไรบ้าง วางแผนการเรียนและทำวิจัยในระดับปริญญาเอกควบคู่ไปกับแผนการไปทำวิจัยต่างประเทศค่ะ
โดยทุนมีข้อกำหนดสำหรับผู้ยื่นข้อเสนอหลักๆ ในการขอรับทุนไปทำวิจัย ดังนี้ ต้องมีคะแนนสอบภาษาอังกฤษ ielts/ toefl ไม่ต่ำกว่าที่กำหนด, มีประสบการณ์ในการทำวิจัยดีมาก, ได้รับการตอบรอบจากสถาบันในต่างประเทศ, อาจารย์ที่ปรึกษาต้องเคยทำวิจัยร่วมกับอาจารย์ที่จะดูแลเราที่ต่างประเทศ
และข้อสุดท้าย คือ มีผลการเรียน / การปฏิบัติงานวิจัยที่คณะกรรมการเห็นชอบ
เห็นช่องโหว่ของข้อกำหนดการให้ทุนมั้ยคะ?
เราอ่านรายละเอียด ข้อกำหนดทุกข้อ ณ ตอนนั้น เราคิดว่าเราอ่านละเอียดแล้ว แต่อารามตื่นเต้น หรือความไม่ถี่ถ้วนรอบคอบ คิดว่ายังไงก็น่าจะได้ไปแน่ ๆ เพราะเราน่าจะทำตามข้อกำหนดได้ทุกข้อนะ ทำให้เราเริ่มทำตามแผนที่วางไว้ เริ่มจากเรียนพิเศษสำหรับไปสอบภาษาอังกฤษให้ได้ตามเกณฑ์ เราเลือกสอบ ielts นะคะ เรามีพื้นฐานภาษาอังกฤษอยู่บ้างค่ะ เรียนไปได้ประมาณ 40 ชั่วโมง ก็หยุดเรียน ทิ้งช่วงไปประมาณ 1-2 เดือน เพราะงานวิจัยที่หนักหน่วงในช่วงนั้นก็ได้ไปสอบ ielts ครั้งแรกในชีวิต ที่เค้าพูดกันว่ายาก ก็พบว่า ไม่ผ่าน แต่เราก็ไม่ท้อค่ะ เพราะเรามีเป้าหมายที่คุ้มค่ารออยู่
ให้เวลาตัวเองอีก 2 เดือน ทบทวนบ้างเท่าที่มีเวลา ก็ไปสอบครั้งที่ 2 และผลของความพยายามก็ไม่ทรยศเรา
เราสอบ ielts ผ่านเกณฑ์ที่ทุนกำหนดแล้วค่ะ
จำได้ว่าไม่กล้าเปิดคะแนนในวันที่คะแนนประกาศ เพราะตรงกับวันเกิดเราพอดี กลัวว่าถ้าไม่ผ่านจะเฟล 55555 เลยมาเปิดดูคะแนนอีกวันนึงแทน เราดีใจมาก รีบโทรบอกพ่อแม่ แม่เป็นคนรับสาย เรายังจำน้ำเสียงแม่ในวันนั้นได้ดี เสียงแม่สั่นมาก พูดกับเราว่า "ดีใจด้วยนะลูก ผ่านแล้ว ลูกของแม่เก่งที่สุด" จากนั้นก็บอกอาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย์ก็ดีใจกับเรา เพราะเค้าก็ลุ้นอยู่เหมือนกัน
หลังจากที่สอบภาษาผ่าน เราก็เตรียมเอกสารอื่น ตามที่ทุนต้องการ เพื่อประกอบการพิจารณา โดยไม่ได้เอะใจถึงเงื่อนไขข้อนั้นเลยซักนิด หนึ่งในเอกสารที่ส่งไปคือใบผลการศึกษาในระดับปริญญาเอก(ที่กำลังศึกษาอยู่)
ขอบอกว่า เอกสารทุกอย่าง ผ่านการตรวจตราจากอาจารย์ที่ปรึกษาเราแล้วทั้งหมด มากกว่า 1 รอบ เพื่อให้แน่ใจว่าครบถ้วน และไม่ผิดพลาด ยังจำวันก่อนส่งเอกสารให้ทางทุนได้ อาจารย์ที่ปรึกษาพูดว่า "ทุนน่าจะอนุมัติให้ไปอยู่แล้ว ไม่น่าติดอะไร เพราะครบถ้วนดีทุกอย่าง" อาจารย์เราดีลกับอาจารย์ที่ต่างประเทศไว้หมดแล้วนะคะตกลงกันถึงหัวข้อการวิจัย รายละเอียดหลาย ๆ อย่างหมดแล้ว ทางนู้นออกหนังสือตอบรับการไปทำวิจัยหมดเรียบร้อยค่ะ
หลังจากยื่นเอกสารไป ประมาณเกือบสองสัปดาห์ ทุนติดต่อมาขอเอกสารเพิ่มเติม (ที่ไม่ได้ระบุไว้ในลิสท์เอกสารที่ต้องส่งไปประกอบการพิจารณา) คือ ใบแสดงผลการเรียนในระดับปริญญาตรี เราส่งให้ทุนไปโดยไม่ได้นึกเอะใจอะไรแม้แต่นิดเดียว
ไม่คิดว่า เอกสารฉบับนี้จะเป็นตัวตัดสินความพยายามตลอด 3 ปีที่ผ่านมาของเรา
หลังจากนั้นไม่นาน พี่เจ้าหน้าที่ของมหาวิทยาลัย ที่ดูแลเราซึ่งเป็นนักศึกษาทุน โทรมาแจ้งผลการพิจารณาว่า ทุนไม่อนุมัติการให้ทุนไปทำวิจัยต่างประเทศ นะ เหตุผลเพราะ เราศึกษาปริญญาเอกแบบ จบปริญญาตรี ที่เน้นการทำวิจัย ทำให้ไม่มีผลการศึกษา (เกรด) สำหรับการพิจารณา ทั้งในระดับปริญญาเอก และโท จึงจำเป็นต้องกลับไปพิจารณาผลการศึกษาในระดับปริญญาตรี ซึ่งเมื่อพิจารณาแล้ว เกรดเฉลี่ยที่ได้ไม่เกิน 3.50 ( เราได้ 3.45) จึงไม่อนุมัติทุนสำหรับไปทำวิจัยในต่างประเทศ … เหมือนทุกอย่างพังลง ตอนนั้นจำได้ว่าน้ำตาคลอ มึนไปหมด เรียบเรียงคำพูดอยู่นาน ถามพี่เจ้าหน้าที่กลับไปแค่ว่า หนูทำพลาดตรงไหน หนูทำผิดอะไร และพูดบอกพี่เจ้าหน้าที่ให้แจ้งอาจารย์ที่ปรึกษาทราบ ก็วางสาย
การเตรียมตัวตลอด 3 ปีของเรา มันหนักมาก ต้องเตรียมตัวไปพร้อม ๆ กับการสอบสัมมนา 6 ตัว, สอบ QE, สอบ proposal, สอบ ORP, ทำงานวิจัยและตีพิมพ์ผลงานวิจัย ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องทำสำหรับนักศึกษาปริญญาเอกของเรา อาจารย์ที่ปรึกษาเราดีมาก ๆ วางแผนให้ทำและสอบทุกอย่างให้เสร็จก่อนระยะเวลา เพื่อให้เหลือเวลาสำหรับไปทำวิจัยต่างประเทศ พ่อแม่เราที่คอยสนับสนุนด้านการเงินสำหรับค่าเรียนภาษาเพื่อสอบ ielts รวมทั้งหมดประมาณ 60000 บาท ทั้ง ๆ ที่พ่อแม่ก็มีภาระเยอะอยู่มาก (เรามีพี่น้องอีก 2 คน ที่ยังเรียนอยู่)
เรารู้สึกขอบคุณตัวเอง พ่อแม่ อาจารย์ที่ปรึกษา ทุก ๆ คนรอบตัว เราไม่คิดว่ามันจะออกมาเป็นแบบนี้ เราไม่รู้สึกโทษความพยายามของตัวเอง เพราะเรารู้ตัวว่าเราเองก็ทำเต็มที่ แต่เราเสียใจที่สุดคือทำให้พ่อแม่ผิดหวัง เวลา เงิน โอกาส ทุกอย่างที่สูญเสียไป มันน่าเสียดาย และเราเองเสียใจ ณ วันที่รู้ผล
เราคิดว่าเราเสียใจที่สุดในชีวิต ร้องไห้ สลับกับนั่งนิ่ง ๆ บีบมือตัวเองจนเจ็บไปหมด ในหัวคิดวนเวียนอยู่แค่ จะบอกพ่อกับแม่ยังไง เค้าจะผิดหวังในตัวเรามากขนาดไหน เงินหลายบาทที่เสียไป มันมาจากการทำงานหนักของพ่อแม่เลยนะ ทำยังไงดี ตอนที่รู้ผล เรากลับบ้านพอดี พ่อกับแม่มาส่งที่สนามบินเพื่อกลับมหาลัย ด้วยคำพูดว่า "เดี๋ยวตุลาก็เจอกันอีกนะ พ่อกับแม่จะลงไปส่งที่สนามบิน" … ในใจมันบีบจนเจ็บไปหมด คิดแค่ว่าร้องไห้ตอนนั้นไม่ได้ กลับมามหาลัยแบบพัง ๆ ความคิดตอนนั้นคือจะบอกพ่อแม่ยังไง มีทางไหนให้เราแก้ไขได้บ้าง นั่งร้องไห้ต่ออีก 2 วัน ก็พอจะทำใจได้บ้าง
เช้าวันจันทร์ไปแล็บ ทำวิจัยแบบเฉา ๆ เหม่อบ้าง เจออาจารย์ เจอพี่ ๆ น้อง ๆ ในแล็บก็ต้องทำเป็นเฉย ๆ ค่อย ๆ ทะยอยบอกเรื่องนี้กับคนในแล็บ และคนรอบตัว ภายใต้สีหน้าที่ผิดหวัง แต่ทำใจได้แล้ว ทั้ง ๆ ที่ข้างในพังหมดไปหมด อาจารย์ที่ปรึกษาก็ช่วยเต็มที่ ทำหนังสือไปทางทุน เพื่อชี้แจงเหตุผล ว่า ผลการศึกษาในระดับปริญญาตรีของเรา ไม่ได้ถูกระบุให้เป็นเกณฑ์การพิจารณาให้ทุนตั้งแต่แรก และการเอา 3.5 ในระดับปริญญาโท กับ ตรีมาเทียบกัน มันไม่ค่อยแฟร์สำหรับเรา
เราตั้งคำถามกับตัวเองหลัก ๆ 2 ข้อ
1. ใครเป็นคนผิดในเรื่องนี้? เราได้คำตอบในตอนสุดท้ายว่า น่าจะเป็นทั้งตัวเรา และทุน
“เรา” ที่ไม่อ่านรายละเอียด และพิจารณาอย่างถี่ถ้วน
“ทุน” ที่ไม่ระบุให้ชัดเจน สำหรับกรณีที่เป็นนักศึกษาปริญญาเอก แบบตรีเข้าศึกษา (ไม่มีผลการเรียน หรือเกรดในระดับปริญญาโทและเอกให้พิจารณา) และเราไม่ใช่นักศึกษาปริญญาเอกแบบตรีเข้าศึกษาคนแรก ของโครงการนี้ และเราเชื่อว่าต้องมีกรณีแบบเราก่อนหน้านี้แน่ ๆ ทำไมทุนถึงไม่แก้ไขรายละเอียดให้ชัดเจน เพื่อป้องกันการสูญเสีย โอกาส เวลา และค่าใช้จ่ายหลายหมื่นบาทของนักศึกษา
2. ถ้าเราไม่ได้ไปเราจะทำอะไรต่อ ?
ง่าย ๆ แบบไม่ได้คิด คือ ทำวิจัยในไทยต่อไป เตรียมตัวเขียนเล่มวิทยานิพนธ์และสอบจบ
ยังมีคนรอบตัวที่เรายังไม่ได้บอกเรื่องนี้อีกมากน้อยแค่ไหน เราจำไม่ได้ นึกไม่ออก แต่เราอยากบอกพวกเค้าทั้งคนที่รู้และยังไม่รู้ ว่าเรารู้สึกเจ็บทุกครั้งที่ต้องเล่าเรื่องนี้ขึ้นมาใหม่รอบแล้วรอบเล่า เพื่อบอกว่า "เราไม่ได้ไปแล้วนะ และเพราะอะไร"
บทเรียนครั้งนี้ทำให้เราระวังตัวมากขึ้น และเข้าใจชีวิตมากขึ้น ไม่มีอะไรที่แน่นอน เราต้องเตรียมใจพบเจอความผิดหวัง
เราไม่คิดว่าทุนจะให้โอกาสเราค่ะ ก็คงต้องเป็นไปตามนั้น เราไม่มี power จะไปต่อรองอะไรได้อยู่แล้ว ต้องทำใจยอมรับไป
สำหรับคนที่มาอ่าน และรู้ว่ากำลังรับทุนเดียวกันกับเรา เราไม่อยากให้โทษทุนนะ อยากแนะนำให้ เตรียมตัวให้พร้อม อ่านรายละเอียดให้รอบคอบ สอบถามไปทางทุน อุดทุกช่องโหว่ให้ดี ขอให้ได้โอกาสที่ดี ๆ นี้นะคะ 😊
ขอบคุณอาจารย์ที่ปรึกษาสำหรับการช่วยเหลือและผลักดันในทุก ๆ ด้านนะคะ
ขอบคุณทุกคนรอบ ๆ ตัว ที่คอยให้กำลังใจ และปลอบใจเรานะ
สุดท้าย ขอบคุณพ่อแม่ ที่สนับสนุน รับฟัง เข้าใจ และไม่เคยโกรธลูกคนนี้ ให้กำลังใจมาตลอด รักพ่อกับแม่มากที่สุดเลยนะ
ขอบคุณที่อ่านมาจนจบนะคะ
ขอบคุณค่ะ (:
ทุนวิจัยต่างประเทศที่พร้อมทุกอย่างแล้ว แต่ไม่ได้ไป
เราตั้งใจจะเขียนแชร์ประสบการณ์ชีวิตเรื่องนี้ของเราให้กับทุกคน โดยเฉพาะนักศึกษาทุนอีกหลายคนค่ะ
ลองอ่านกันดูนะคะ ไม่ได้มีเจตนาจะโทษฝ่ายใดทั้งสิ้นค่ะ จุดประสงค์หลัก ๆ อาจจะแค่ได้ทบทวนเรื่องราวระหว่างที่กำลังเขียนกระทู้ หรือ ระบายให้ความรู้สึกแย่ ๆ นี้มันบรรเทาลงมากกว่าค่ะ
เกริ่นซะยาวเลย เข้าเรื่องเลยละกันนะคะ ขอแนะนำตัวก่อน เราเป็น นักศึกษาทุนหนึ่งของประเทศไทยค่ะ ที่ได้รับทุนตั้งแต่จบ ม.6 เพื่อเรียนในคณะวิทยาศาสตร์ ตอนนี้เรากำลังศึกษาในระดับปริญญาเอก กำลังจะเริ่มปีที่ 4 แล้วค่ะ เราเรียนปริญญาเอก แบบจบ ป.ตรี ค่ะ โดยเลือกเรียนแบบที่วิจัยอย่างเดียว ไม่ต้องลงวิชาเรียน (coursework) อื่น ๆ นะคะ ทุนที่เราได้รับนี้ เราทราบเงื่อนไขของทุนดีทุกอย่างค่ะ มีเงื่อนไขข้อนึงที่จูงใจให้เราตัดสินใจจับปากกาเซ็นต์สัญญาตั้งแต่ ม.6 เงื่อนไขข้อนี้ระบุคร่าว ๆ ว่า มีทุนให้สำหรับไปทำวิจัยที่ต่างประเทศ ในขณะที่กำลังศึกษาชั้นปริญญาเอก เป็นระยะเวลา 9-12 เดือน เป็นเงื่อนไขที่เราใฝ่ฝันมากเลย ว่าเราจะต้องทำให้ได้ ตั้งแต่เริ่มปริญญาเอกตอน ปี 1 เราก็ศึกษาเงื่อนไขการขอรับทุนไปทำวิจัยต่างประเทศ
อ่านอย่างละเอียดว่า มีข้อกำหนดเป็นอย่างไรบ้าง วางแผนการเรียนและทำวิจัยในระดับปริญญาเอกควบคู่ไปกับแผนการไปทำวิจัยต่างประเทศค่ะ
โดยทุนมีข้อกำหนดสำหรับผู้ยื่นข้อเสนอหลักๆ ในการขอรับทุนไปทำวิจัย ดังนี้ ต้องมีคะแนนสอบภาษาอังกฤษ ielts/ toefl ไม่ต่ำกว่าที่กำหนด, มีประสบการณ์ในการทำวิจัยดีมาก, ได้รับการตอบรอบจากสถาบันในต่างประเทศ, อาจารย์ที่ปรึกษาต้องเคยทำวิจัยร่วมกับอาจารย์ที่จะดูแลเราที่ต่างประเทศ
และข้อสุดท้าย คือ มีผลการเรียน / การปฏิบัติงานวิจัยที่คณะกรรมการเห็นชอบ
เห็นช่องโหว่ของข้อกำหนดการให้ทุนมั้ยคะ?
เราอ่านรายละเอียด ข้อกำหนดทุกข้อ ณ ตอนนั้น เราคิดว่าเราอ่านละเอียดแล้ว แต่อารามตื่นเต้น หรือความไม่ถี่ถ้วนรอบคอบ คิดว่ายังไงก็น่าจะได้ไปแน่ ๆ เพราะเราน่าจะทำตามข้อกำหนดได้ทุกข้อนะ ทำให้เราเริ่มทำตามแผนที่วางไว้ เริ่มจากเรียนพิเศษสำหรับไปสอบภาษาอังกฤษให้ได้ตามเกณฑ์ เราเลือกสอบ ielts นะคะ เรามีพื้นฐานภาษาอังกฤษอยู่บ้างค่ะ เรียนไปได้ประมาณ 40 ชั่วโมง ก็หยุดเรียน ทิ้งช่วงไปประมาณ 1-2 เดือน เพราะงานวิจัยที่หนักหน่วงในช่วงนั้นก็ได้ไปสอบ ielts ครั้งแรกในชีวิต ที่เค้าพูดกันว่ายาก ก็พบว่า ไม่ผ่าน แต่เราก็ไม่ท้อค่ะ เพราะเรามีเป้าหมายที่คุ้มค่ารออยู่
ให้เวลาตัวเองอีก 2 เดือน ทบทวนบ้างเท่าที่มีเวลา ก็ไปสอบครั้งที่ 2 และผลของความพยายามก็ไม่ทรยศเรา
เราสอบ ielts ผ่านเกณฑ์ที่ทุนกำหนดแล้วค่ะ
จำได้ว่าไม่กล้าเปิดคะแนนในวันที่คะแนนประกาศ เพราะตรงกับวันเกิดเราพอดี กลัวว่าถ้าไม่ผ่านจะเฟล 55555 เลยมาเปิดดูคะแนนอีกวันนึงแทน เราดีใจมาก รีบโทรบอกพ่อแม่ แม่เป็นคนรับสาย เรายังจำน้ำเสียงแม่ในวันนั้นได้ดี เสียงแม่สั่นมาก พูดกับเราว่า "ดีใจด้วยนะลูก ผ่านแล้ว ลูกของแม่เก่งที่สุด" จากนั้นก็บอกอาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย์ก็ดีใจกับเรา เพราะเค้าก็ลุ้นอยู่เหมือนกัน
หลังจากที่สอบภาษาผ่าน เราก็เตรียมเอกสารอื่น ตามที่ทุนต้องการ เพื่อประกอบการพิจารณา โดยไม่ได้เอะใจถึงเงื่อนไขข้อนั้นเลยซักนิด หนึ่งในเอกสารที่ส่งไปคือใบผลการศึกษาในระดับปริญญาเอก(ที่กำลังศึกษาอยู่)
ขอบอกว่า เอกสารทุกอย่าง ผ่านการตรวจตราจากอาจารย์ที่ปรึกษาเราแล้วทั้งหมด มากกว่า 1 รอบ เพื่อให้แน่ใจว่าครบถ้วน และไม่ผิดพลาด ยังจำวันก่อนส่งเอกสารให้ทางทุนได้ อาจารย์ที่ปรึกษาพูดว่า "ทุนน่าจะอนุมัติให้ไปอยู่แล้ว ไม่น่าติดอะไร เพราะครบถ้วนดีทุกอย่าง" อาจารย์เราดีลกับอาจารย์ที่ต่างประเทศไว้หมดแล้วนะคะตกลงกันถึงหัวข้อการวิจัย รายละเอียดหลาย ๆ อย่างหมดแล้ว ทางนู้นออกหนังสือตอบรับการไปทำวิจัยหมดเรียบร้อยค่ะ
หลังจากยื่นเอกสารไป ประมาณเกือบสองสัปดาห์ ทุนติดต่อมาขอเอกสารเพิ่มเติม (ที่ไม่ได้ระบุไว้ในลิสท์เอกสารที่ต้องส่งไปประกอบการพิจารณา) คือ ใบแสดงผลการเรียนในระดับปริญญาตรี เราส่งให้ทุนไปโดยไม่ได้นึกเอะใจอะไรแม้แต่นิดเดียว
ไม่คิดว่า เอกสารฉบับนี้จะเป็นตัวตัดสินความพยายามตลอด 3 ปีที่ผ่านมาของเรา
หลังจากนั้นไม่นาน พี่เจ้าหน้าที่ของมหาวิทยาลัย ที่ดูแลเราซึ่งเป็นนักศึกษาทุน โทรมาแจ้งผลการพิจารณาว่า ทุนไม่อนุมัติการให้ทุนไปทำวิจัยต่างประเทศ นะ เหตุผลเพราะ เราศึกษาปริญญาเอกแบบ จบปริญญาตรี ที่เน้นการทำวิจัย ทำให้ไม่มีผลการศึกษา (เกรด) สำหรับการพิจารณา ทั้งในระดับปริญญาเอก และโท จึงจำเป็นต้องกลับไปพิจารณาผลการศึกษาในระดับปริญญาตรี ซึ่งเมื่อพิจารณาแล้ว เกรดเฉลี่ยที่ได้ไม่เกิน 3.50 ( เราได้ 3.45) จึงไม่อนุมัติทุนสำหรับไปทำวิจัยในต่างประเทศ … เหมือนทุกอย่างพังลง ตอนนั้นจำได้ว่าน้ำตาคลอ มึนไปหมด เรียบเรียงคำพูดอยู่นาน ถามพี่เจ้าหน้าที่กลับไปแค่ว่า หนูทำพลาดตรงไหน หนูทำผิดอะไร และพูดบอกพี่เจ้าหน้าที่ให้แจ้งอาจารย์ที่ปรึกษาทราบ ก็วางสาย
การเตรียมตัวตลอด 3 ปีของเรา มันหนักมาก ต้องเตรียมตัวไปพร้อม ๆ กับการสอบสัมมนา 6 ตัว, สอบ QE, สอบ proposal, สอบ ORP, ทำงานวิจัยและตีพิมพ์ผลงานวิจัย ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องทำสำหรับนักศึกษาปริญญาเอกของเรา อาจารย์ที่ปรึกษาเราดีมาก ๆ วางแผนให้ทำและสอบทุกอย่างให้เสร็จก่อนระยะเวลา เพื่อให้เหลือเวลาสำหรับไปทำวิจัยต่างประเทศ พ่อแม่เราที่คอยสนับสนุนด้านการเงินสำหรับค่าเรียนภาษาเพื่อสอบ ielts รวมทั้งหมดประมาณ 60000 บาท ทั้ง ๆ ที่พ่อแม่ก็มีภาระเยอะอยู่มาก (เรามีพี่น้องอีก 2 คน ที่ยังเรียนอยู่)
เรารู้สึกขอบคุณตัวเอง พ่อแม่ อาจารย์ที่ปรึกษา ทุก ๆ คนรอบตัว เราไม่คิดว่ามันจะออกมาเป็นแบบนี้ เราไม่รู้สึกโทษความพยายามของตัวเอง เพราะเรารู้ตัวว่าเราเองก็ทำเต็มที่ แต่เราเสียใจที่สุดคือทำให้พ่อแม่ผิดหวัง เวลา เงิน โอกาส ทุกอย่างที่สูญเสียไป มันน่าเสียดาย และเราเองเสียใจ ณ วันที่รู้ผล
เราคิดว่าเราเสียใจที่สุดในชีวิต ร้องไห้ สลับกับนั่งนิ่ง ๆ บีบมือตัวเองจนเจ็บไปหมด ในหัวคิดวนเวียนอยู่แค่ จะบอกพ่อกับแม่ยังไง เค้าจะผิดหวังในตัวเรามากขนาดไหน เงินหลายบาทที่เสียไป มันมาจากการทำงานหนักของพ่อแม่เลยนะ ทำยังไงดี ตอนที่รู้ผล เรากลับบ้านพอดี พ่อกับแม่มาส่งที่สนามบินเพื่อกลับมหาลัย ด้วยคำพูดว่า "เดี๋ยวตุลาก็เจอกันอีกนะ พ่อกับแม่จะลงไปส่งที่สนามบิน" … ในใจมันบีบจนเจ็บไปหมด คิดแค่ว่าร้องไห้ตอนนั้นไม่ได้ กลับมามหาลัยแบบพัง ๆ ความคิดตอนนั้นคือจะบอกพ่อแม่ยังไง มีทางไหนให้เราแก้ไขได้บ้าง นั่งร้องไห้ต่ออีก 2 วัน ก็พอจะทำใจได้บ้าง
เช้าวันจันทร์ไปแล็บ ทำวิจัยแบบเฉา ๆ เหม่อบ้าง เจออาจารย์ เจอพี่ ๆ น้อง ๆ ในแล็บก็ต้องทำเป็นเฉย ๆ ค่อย ๆ ทะยอยบอกเรื่องนี้กับคนในแล็บ และคนรอบตัว ภายใต้สีหน้าที่ผิดหวัง แต่ทำใจได้แล้ว ทั้ง ๆ ที่ข้างในพังหมดไปหมด อาจารย์ที่ปรึกษาก็ช่วยเต็มที่ ทำหนังสือไปทางทุน เพื่อชี้แจงเหตุผล ว่า ผลการศึกษาในระดับปริญญาตรีของเรา ไม่ได้ถูกระบุให้เป็นเกณฑ์การพิจารณาให้ทุนตั้งแต่แรก และการเอา 3.5 ในระดับปริญญาโท กับ ตรีมาเทียบกัน มันไม่ค่อยแฟร์สำหรับเรา
เราตั้งคำถามกับตัวเองหลัก ๆ 2 ข้อ
1. ใครเป็นคนผิดในเรื่องนี้? เราได้คำตอบในตอนสุดท้ายว่า น่าจะเป็นทั้งตัวเรา และทุน
“เรา” ที่ไม่อ่านรายละเอียด และพิจารณาอย่างถี่ถ้วน
“ทุน” ที่ไม่ระบุให้ชัดเจน สำหรับกรณีที่เป็นนักศึกษาปริญญาเอก แบบตรีเข้าศึกษา (ไม่มีผลการเรียน หรือเกรดในระดับปริญญาโทและเอกให้พิจารณา) และเราไม่ใช่นักศึกษาปริญญาเอกแบบตรีเข้าศึกษาคนแรก ของโครงการนี้ และเราเชื่อว่าต้องมีกรณีแบบเราก่อนหน้านี้แน่ ๆ ทำไมทุนถึงไม่แก้ไขรายละเอียดให้ชัดเจน เพื่อป้องกันการสูญเสีย โอกาส เวลา และค่าใช้จ่ายหลายหมื่นบาทของนักศึกษา
2. ถ้าเราไม่ได้ไปเราจะทำอะไรต่อ ?
ง่าย ๆ แบบไม่ได้คิด คือ ทำวิจัยในไทยต่อไป เตรียมตัวเขียนเล่มวิทยานิพนธ์และสอบจบ
ยังมีคนรอบตัวที่เรายังไม่ได้บอกเรื่องนี้อีกมากน้อยแค่ไหน เราจำไม่ได้ นึกไม่ออก แต่เราอยากบอกพวกเค้าทั้งคนที่รู้และยังไม่รู้ ว่าเรารู้สึกเจ็บทุกครั้งที่ต้องเล่าเรื่องนี้ขึ้นมาใหม่รอบแล้วรอบเล่า เพื่อบอกว่า "เราไม่ได้ไปแล้วนะ และเพราะอะไร"
บทเรียนครั้งนี้ทำให้เราระวังตัวมากขึ้น และเข้าใจชีวิตมากขึ้น ไม่มีอะไรที่แน่นอน เราต้องเตรียมใจพบเจอความผิดหวัง
เราไม่คิดว่าทุนจะให้โอกาสเราค่ะ ก็คงต้องเป็นไปตามนั้น เราไม่มี power จะไปต่อรองอะไรได้อยู่แล้ว ต้องทำใจยอมรับไป
สำหรับคนที่มาอ่าน และรู้ว่ากำลังรับทุนเดียวกันกับเรา เราไม่อยากให้โทษทุนนะ อยากแนะนำให้ เตรียมตัวให้พร้อม อ่านรายละเอียดให้รอบคอบ สอบถามไปทางทุน อุดทุกช่องโหว่ให้ดี ขอให้ได้โอกาสที่ดี ๆ นี้นะคะ 😊
ขอบคุณอาจารย์ที่ปรึกษาสำหรับการช่วยเหลือและผลักดันในทุก ๆ ด้านนะคะ
ขอบคุณทุกคนรอบ ๆ ตัว ที่คอยให้กำลังใจ และปลอบใจเรานะ
สุดท้าย ขอบคุณพ่อแม่ ที่สนับสนุน รับฟัง เข้าใจ และไม่เคยโกรธลูกคนนี้ ให้กำลังใจมาตลอด รักพ่อกับแม่มากที่สุดเลยนะ
ขอบคุณที่อ่านมาจนจบนะคะ
ขอบคุณค่ะ (: