ปฐภูมิภักดิ์ (ทักขิเณ-อะเวรา) ... บทที่ 5 ... [นวนิยาย]

สวัสดีทุกท่านค่ะ นวนิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องราวของศิษย์พี่ทักขิเณจากพักตร์อสูร ผู้เขียนนำตัวอย่างมาให้ทดลองอ่านกันค่ะ
ขอบพระคุณทุกท่านที่แวะเข้ามานะคะ

ตอนก่อนหน้า
ปฐภูมิภักดิ์ (ทักขิเณ-อะเวรา) ... บทนำ https://ppantip.com/topic/37975317
ปฐภูมิภักดิ์ (ทักขิเณ-อะเวรา) ... บทที่ 1 https://ppantip.com/topic/37975324
ปฐภูมิภักดิ์ (ทักขิเณ-อะเวรา) ... บทที่ 2 https://ppantip.com/topic/37978699
ปฐภูมิภักดิ์ (ทักขิเณ-อะเวรา) ... บทที่ 3 https://ppantip.com/topic/37998939
ปฐภูมิภักดิ์ (ทักขิเณ-อะเวรา) ... บทที่ 4 https://ppantip.com/topic/38040091

-------------------

บทที่ 5  (1)
 
       อะเวราถูกดึงตัวขึ้นเรือ ยังอื้ออึงสับสน เมื่อขึ้นจากน้ำกลับหนาวเย็นกว่าเดิมยิ่งนัก ฝนยังกระหน่ำไม่หยุด จนมองรอบด้านไม่ชัดตา กระทั่งนั่งอยู่ในเรือกว่าครู่หนึ่ง จึงสำรวจรอบกาย
 
       เรือลำนี้มีคนสี่คน ตัวเรือจุคนได้ราวสิบห้า คล้ายเรือโดยสารแต่ไม่ใช่เพราะไม่มีหลังคาคลุม คนในเรือคนหนึ่งเร่งตักน้ำทิ้ง ที่คัดท้ายก็คัดไป ที่พายก็พายไป พวกเขาคล้ายกำลังปฏิบัติภารกิจบางอย่าง
 
       เธอทั้งหนาว ทั้งกลัว แขนถูกกระชากอย่างแรง
 
       “เป็นพวกใด ตกน้ำได้เยี่ยงไร” คนที่ลากตัวเธอขึ้นมาตะคอกใส่หน้า มันเป็นชายหน้าตอบ ผิวหยาบกร้านคล้ำจัด แววตาคบไม่ได้ ร่างกายค่อนข้างซูบผอม ไม่สูงใหญ่นักหากเทียบพวกทหารด้วยกัน
 
       อะเวราละล่ำละลักตอบไปว่า “บิดามารดาไร้สิ้น กำลังถูกนำตัวส่งให้นายท่านคนใหม่ ที่มิถิลานครเจ้าข้า”
 
       อีกฝ่ายเหมือนได้ยินไม่ชัด อาจเพราะเสียงมากมายรบกวน ทั้งเสียงฝน เสียงคนโหวกเหวกตะโกนส่งสัญญาณ เสียงอาวุธปะทะกันตรงริมฝั่ง จึงส่ายหน้าให้รู้ว่าไม่เข้าใจหรือได้ยินไม่ชัด
 
       แต่อะเวราคาดว่าเขาอาจหูตึงนิดๆ ก็เป็นได้ จึงพูดย้ำด้วยเสียงที่ดังขึ้นว่า...
 
       “เป็นบ่าว ถูกส่งตัวไปให้นายใหม่ ที่มิถิลานคร แต่พบคนปะทะกัน โดนลูกหลง!” แหกปากลั่นเลยคราวนี้
 
       อีกฝ่ายพยักหน้าว่าเข้าใจแล้ว ปล่อยแขนของเธอ “นั่งนี่” ซึ่งก็คือที่เดิม และหันไปชี้มือชี้ไม้สั่งการคนในเรือ บอกว่า “รอก่อน”
 
       อะเวรานั่งกอดเข่า มีบางอย่างตุงๆ ที่แผ่นหลัง จึงนึกขึ้นได้ ค่อยๆ หมุนห่อผ้าให้สัมภาระมาอยู่ด้านหน้า กอดไว้ย่อมอุ่นใจ คอยมองรอบด้านไปพลาง
 
       สายฝนยังกระหน่ำลงบนศีรษะ กระทบบ่า ไหล่ แขน จนต้องพยายามนั่งหลังตรง ระวังแผ่นหลังไม่ให้โดนกระทบ เพราะแสบและเจ็บหนึบเหลือเกิน
 
       อะเวรารู้สึกเหมือนนานยิ่งนักขณะเรือล่อง พวกนี้คล้ายค้นหาคนหรือสิ่งของตลอดแนวแม่น้ำ
 
       กระทั่งเวลาผ่านไปนานเท่าไรไม่ทราบได้ รู้แค่ว่าฝนซาลงระดับหนึ่ง จึงเห็นว่ามีเรือลอยร่วมอยู่นับสิบลำ เรือพวกนั้นเข้ามาเทียบเรือลำนี้แล้วลอยห่างออกไป คล้ายเข้ามารับแผ่นป้ายขนาดเท่าฝ่ามือจากคนที่คว้าตัวเธอไว้
 
       อะเวรามองไปที่ตลิ่ง ใจหายแปลกๆ วูบวาบในอก บนฝั่งหนึ่งที่เห็นนั่นคือเสือโคร่งกำลังขย้ำม้าสีดำ กัดกระชากกินอย่างหิวโหย
 
       นั่นมันตัวที่กระโจนใส่เธอกับท่านวันทะนะเมื่อครู่แน่แล้ว
 
       แล้วสหายท่านครูอยู่ที่ใด?
 
       เธอมองหาไปพลาง เหมือนจะมีเสืออีกหลายตัว สีกับขนาดของมันทำให้อะเวราเห็นชัดแม้อยู่ห่าง นึกถึงเหตุการณ์ก่อนร่วงลงมาก็กลัวจับใจ เป็นห่วงท่านวันทะนะเหลือเกิน ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรบ้าง เขาปลอดภัยหรือไม่
 
       นี่มันเคราะห์หามยามซวยโดยแท้ หนีได้ทั้งทีกลับมาพบอะไรก็ไม่รู้ และแน่ใจว่าเรือลำนี้หรืออีกหลายลำกำลังล่องทวนน้ำ
 
       อะเวราได้แต่นั่งนิ่ง รอคอยเงียบๆ ปล่อยเวลาให้ผ่านไป ทำอะไรไม่ได้นอกจากรอ จนเมื่อฝนเริ่มเบาบางลงกว่าเดิม มองรอบด้านค่อนข้างชัดเจน จึงเห็นว่าเรือแต่ละลำบรรทุกบุรุษวัยฉกรรจ์ ทุกคนถูกมัดมือมัดเท้า บางคนถูกมัดปาก พวกทหารส่งเสียง แจ้งว่าแต่ละลำมีจำนวนเท่าใด จับได้กี่คน
 
       คนที่ยืนค้ำศีรษะและลากเธอขึ้นเรือก่อนนี้เป่าแตรเขาสัตว์ เรือทุกลำเปลี่ยนทิศทาง หันหัวเรือกลับทันที
 
       อะเวราได้แต่กอดเข่าทั้งสองของตนเอง คล้ายก้มหน้าแต่สายตามองโดยรอบไม่หยุด ในใจคิดเพียงสหายท่านครูจะถูกเสือทำร้ายหรือไม่ จะถูกใครเข้าใจผิดจนถึงกับเอาชีวิตหรือเปล่า เขาจะหนีได้ไหม อยู่ในจุดปลอดภัยหรือไม่ นึกเสียใจที่ผู้ช่วยเหลือกลับต้องมาเดือดร้อนเพราะเธอแท้ๆ
 
       ท่านวันทะนะทุ่มเทถึงเพียงนั้น ยอมเหน็ดเหนื่อยเสียเวลาถึงเพียงนั้น แต่ทั้งหมดต้องสูญเปล่าเพราะเหตุการณ์ไม่เป็นใจ
 
       ฟ้าก็ไม่เป็นใจ!
 
       ฝนก็คอยกลั่นแกล้ง!
 
       และตัวเธอก็ไม่เก่งกล้ามากพอจะดูแลตัวเองได้ดีกว่านี้!
 
       น่าเสียใจยิ่งนัก!
 
       นั่นก็เพราะ หากฝนไม่ตกก็ยังเห็นชัดว่าใครเป็นใคร
 
       หากฟ้าไม่ผ่าต้นไม้ใหญ่ล้มขวางจนต้องเปลี่ยนเส้นทางกะทันหัน อย่างน้อยการย้อนกลับตามเส้นทางเดิม ได้พบทหารตรงเขตแดน พวกนั้นย่อมยืนยันว่าพวกเธอไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มที่กำลังหนีตาย เพราะกลุ่มตามล่าก็คงเป็นพวกเดียวกับพวกตั้งด่านอย่างแน่นอน
 
       แต่พอต้นไม้ล้มขวาง ฝนตกหนักจนแทบมองไม่เห็น คนพวกนั้นก็สักแต่จะตามพวกเธอมา พวกจะฆ่าหมายเอาชีวิตก็ไม่ฟังสิ่งใด หาทางแต่จะฆ่าให้ตาย แถมยังมาโผล่ในดงเสือโคร่งหิวโหยนี่อีก
 
       จะไม่เรียกว่าฟ้ากลั่นแกล้งกันได้อย่างไร!
 
       เพราะเหตุใดจึงใจร้ายกับอะเวราถึงเพียงนี้!
 
       ‘ท่านครูเจ้าข้า ท่านครู’
 
       เด็กน้อยคิดถึงท่านยิ่งนัก กระบอกตาร้อนผ่าว เจ็บใจ เจ็บแค้นทุกสิ่ง เหตุใดจึงต้องพบชะตากรรมเช่นนี้กันหนอ
 
       ระหว่างนั้นก็มีบางอย่างสะกิดที่ข้อศอก
 
       อะเวราเงยหน้ามอง จึงเห็นว่าคนที่ลากเธอขึ้นเรือเพิ่งเก็บเท้า
 
       สะกิดกันด้วยตีนเลยหรือนี่
 
       “รู้จักผู้ใดบ้างรึไม่” มันพยักพเยิดหน้าไปทางเรือหลายลำเหล่านั้น บ้างขนาบข้าง บ้างล่องตามกัน
 
       อะเวรามองดู ไม่รู้จักสักคน แต่งกายเช่นสหายของท่านครูก็ไม่มี “มิรู้จักแม้แต่คนหนึ่งเจ้าข้า” ใช้แขนปาดน้ำตา เสียงขึ้นจมูก รู้สึกหายใจไม่ออก บอกไม่ถูกว่าใจหายมากเพียงใดที่เหลือตัวคนเดียวแน่แล้ว
 
       “หลังไปโดนสิ่งใดมา” เขาถามต่อ
 
       “ดื้อรั้น จึ่งโดนลงโทษเจ้าข้า”
 
       “ดื้อรั้นเยี่ยงไร”
 
       “มิยอมรับว่าต้องเป็นบ่าวผู้อื่น เมื่อสิ้นไร้บิดามารดา”
 
       ทหารที่ลากเธอขึ้นเรือพยักหน้าว่าเข้าใจ เขานั่งลงตรงแป้นไม้กระดานทางขวามือ ไม่พูดอะไรอีก ส่วนเธอนั่งหันข้างให้อีกฝ่าย ก้นติดท้องเรือ แผ่นหลังหันใส่กราบเรือแต่ไม่พิง
 
       เรือทุกลำติดตามกันไปจนถึงท่าแห่งหนึ่ง ตัวท่าเป็นไม้ทำแบบลวกๆ เป็นไปได้ว่านี่คือค่ายพักชั่วคราว
 
       “ส่งไปรวมกับกลุ่มทาสเด็กที่จับตัวมาได้” ทหารหน้าตอบสั่งการ เป็นคนที่ลากเธอขึ้นเรือ
 
       แต่ห่อผ้าก็ถูกกระชากไปทันที อะเวราหน้าคะมำ ตัวเอียงล้มคว่ำ เจ็บแปลบทันใด แต่ยังกอดของไว้แน่น การคล้องสะพายแล่งทำให้ไอ้หน้าตอบเอาไปไม่ได้
 
       “ส่งมา” มันขู่
 
       “นี่คือผ้านุ่งที่พ่อข้ามอบไว้ให้” เด็กหญิงขัดขืน กอดไว้ไม่ปล่อย ยื้อยุดฉุดกระชากกันเช่นนั้น
 
       จากนั่งอยู่ก็ถึงกับตัวลอยขึ้นมา
 
       ผัวะๆๆ!
 
       เด็กหญิงร่วงลงกับพื้นเรือ ก้นจ้ำเบ้าอย่างแรง มึนงงไปหมด หลังกระแทกกราบเรือกับไม้กระดานสำหรับนั่ง โดนตบหัวไม่กี่ทีแต่เหมือนเห็นดาวพราวพร่างยามฟ้าแจ้งกันเลยทีเดียว
 
       ห่อสัมภาระถูกกระชากออกไปจากตัวแล้ว แขนเจ็บแปลบเพราะถูกบังคับให้ลุกยืน แต่คงยืนได้ช้าเกินไป ไอ้ทหารหน้าตอบที่เป็นคนแย่งห่อผ้าถึงกับจิกหัวเธอทันที กำกระจุกมวยผมไว้แน่น กระตุกให้เดินตาม ลากขึ้นท่าโดยไม่สนใจ

       อะเวราพยายามแกะมือที่จับมวยผมออก เจ็บหนังศีรษะไปหมด แต่ไม่สามารถทำอะไรได้ น้ำตาที่ไหลก็ยิ่งไหลเพราะความเจ็บนี้
       เด็กหญิงถูกลากถูลู่ถูกัง ระยะทางจากท่ามาถึงที่ตั้งค่ายพักห่างกันราวห้าเส้น[1] ไม่ไกลนัก แต่เหมือนมันจะแกล้ง ดึงมวยผมของเธอจนตัวลอยอยู่หลายครั้ง เท้าไม่ติดพื้น กระชากไม่บันยะบันยัง เจ็บจนน้ำหูน้ำตาไหล บางครั้งเตะที่หลัง ทำเช่นนั้นจนมาถึงกรงไม้ขนาดใหญ่ที่เปิดประตูไว้รอ เหวี่ยงเธอเข้าไป
 
       เด็กหญิงถลาคว่ำล้มลง กระแทกเด็กที่ถูกจับมาก่อนหน้า
 
       “จำใส่กะลาหัวไว้ ยามนี้เป็นทาส สมบัติใดย่อมหามีไม่ อย่าคิดสะเออะแย่งชิง” มันว่า ชี้หน้าข่มขู่ มองอย่างถทึงเยี่ยงอันธพาล เดินจากไป
 
       อะเวราลุกขึ้น วิ่งไปที่ประตูทันที ทหารเฝ้ายามปิดประตูใส่หน้า มองเธอด้วยกิริยาเหยียดหยาม บ่งชัดว่าเธอไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ไร้ค่ากลับไม่เจียมตน ก่อนจะลั่นกุญแจตรงโซ่เหล็กที่คล้องมัดประตู ยิ้มเยาะแล้วเดินจากไป
 
       อะเวราเจ็บแค้นในใจเป็นที่สุด มองตามทหารหน้าตอบว่ามันเดินไปที่ใด จนกระทั่งมันเข้าไปยังกระท่อมขนาดเล็กมุงหลังคาด้วยใบไม้ ไม่ใกล้ไม่ไกลจากกรงนี้ และออกมาโดยไม่มีห่อสัมภาระของเธอติดมาด้วย
 
       “อย่ามองเช่นนั้น ประเดี๋ยวจักถูกบั่นคอดอก” มีเสียงกระซิบมา
 
       อะเวราหันขวับ
 
       “เจ้าเป็นทาสจากบ้านใด” เด็กชายคนนี้ถาม ตัวสูงกว่าพอสมควร สภาพผมเผ้ากระเซอะกระเซิง เขาหมายถึงเธอมาจากหมู่บ้านใด หรือเขตนครใดของแดนเหนือ
 
       “ข้ามิใช่ทาส” อะเวราตอบเท่านี้ ตั้งใจตอบไม่ครบทั้งหมด
 
       “มาอยู่ในกรงนี้ ย่อมเป็นทาส” อีกฝ่ายชี้รอบกรง มือเลอะเปื้อนโคลน
 
       อะเวราคาดว่าสภาพของตนเองคงไม่ต่างกัน เพราะเท่าที่เห็นมือ แขน ขา เท้า เนื้อตัวของตนเองล้วนเต็มไปด้วยโคลน ปลายเส้นผมหลุดลุ่ยเคลียบ่าไหล่ แต่เธอไม่สนใจ มองสถานที่อยู่ใหม่ของตนเอง
 
       ท่อนไม้กลมหนาเตอะเท่าท่อนขาของผู้ใหญ่ฝังอยู่ในดิน พื้นโดยรอบเฉอะแฉะ เหม็นกลิ่นอุจจาระปัสสาวะ ในกรงนับว่ากว้างขวาง ยังเหลือพื้นที่ว่างราวสามในสี่ส่วน เด็กๆ ในนี้มีอยู่สิบห้าคน แต่ละคนเปรอะเปื้อนเลอะโคลนจนแทบมองไม่ออกว่าก่อนนี้มีหน้าตาเช่นไร
 
       “ที่นี่คือที่ใด” อะเวราถาม
 
       เด็กชายที่เข้ามาคุยหันไปเกาะกรงไม้ มองไปทางแม่น้ำ เหมือนจะลอดศีรษะออกไป แต่ก็ติดแก้ม โผล่ไปได้เท่านั้น
 
       เขาเอ่ย “เห็นว่าเป็นค่ายพักของนายกองผู้หนึ่ง ในบังคับบัญชาของท่านผริตตะวา ทหารกลุ่มนี้เพิ่งยึดมัจฉะนครได้เมื่อย่ำรุ่ง จุดนี้คือค่ายพัก แลคุมตัวนักโทษ นักโทษทั้งหมดเป็นกลุ่มผู้ครองมัจฉะนครแต่เดิม”
 
       หมายความว่าเธออยู่ในเขตมัจฉะนคร หากมุ่งไปทิศใต้ก็คือมิถิลานคร
 
       ‘อีกนิดเดียวเท่านั้น’ นึกเสียดายสุดใจ
 
       “เจ้า...เป็นลูกหลานพวกนั้นฤๅ จึ่งถูกจับมาพร้อมกัน” เด็กชายพยักพเยิดหน้าไปทางกรงขังอีกหลายกรงทางซ้ายมือ และน่าจะหมายถึงพวกที่ถูกจับมาใหม่ ขึ้นมาจากท่าไล่เลี่ยกันเมื่อครู่
 
       ตอนนี้คนพวกนั้นกำลังถูกผลักเข้าไปในกรง แบ่งแยกชายหญิง
 
       อ้อ กรงนี้ก็แยกชายหญิง แค่เธอถูกจับมาไว้ในกรงเด็กชายก็เท่านั้น
 
       อะเวราบอก “มิได้เกี่ยวข้องอันใดกับพวกนั้นสักนิด ข้าพเจ้าโดนลูกหลง แล้วเจ้าเล่า ถูกจับจากที่ใด” ถามกลับ เก็บกลืนความเสียใจที่ไม่อาจไปถึงจุดหมายปลายทาง เก็บกลั้นความเสียใจที่ไม่อาจรู้ได้ว่าสหายท่านครูเป็นตายร้ายดีอย่างไร
 
       “มัจฉะนครนี่แล” เด็กชายตอบ
 
       “เมื่อใด บิดามารดาของเจ้าเล่า”
 
       “ข้าเร่ขอข้าวผู้อื่นประทังความหิว ครั้นมีเหตุบุกยึด แต่กลับอยู่มิถูกที่ จึ่งโดนกวาดต้อนมาด้วย”
 
       “จริงฤๅ”
 
       “ปัดโธ่ นี่เจ้าเป็นคนของทางการดอกรึ จึ่งพูดจาสอบความข้าเยี่ยงเดียวกับพวกมัน เจ้าเล่า...ถูกจับมาด้วยเหตุใด”
 

(มีต่อ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่