การศึกที่ยอนเกอร์ (Battle of Yonkers) 2
แนวรับที่ 3 ซึ่งเป็นแนวรับสุดท้ายจะเป็นการยิงด้วยอาวุธเบาจากทหารราบ
ตามแผนคือแนวรับนี้มีเพียงเพื่อเก็บตกซอมบี้จำนวนเล็กน้อยที่รอดจากแนวรับที่ 1 และ 2 มาเท่านั้น
ปัญหาคือซอมบี้ที่ผ่านเข้ามานั้นมีหลักหลายพันตัว
ทหารทุกนายได้รับคำแนะนำว่าให้ยิงหัวและเตรียมยิง เมื่อซอมบี้เข้าระยะหวังผลก็มีคำสั่งให้ยิงได้
เวเนียเล่าถึงซอมบี้ตัวแรกที่ยิงว่าเค้าเล็งหัวแล้วแต่พลาดกระสุนเลยเข้าเป้าที่หน้าอก
ซอมบี้ตัวนั้นล้มลงแล้วก็ลุกขึ้นมาใหม่เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เค้าพยายามความคุมตัวเองให้เล็งที่หัวแล้วแต่มักยิงพลาดบ่อย ๆ ซึ่งสาเหตุมาจากหลาย ๆ ปัจจัย
ไม่ว่าจะเป็นชุดที่ร้อน อับและอึดอัด,น้ำหนักยุทธปกรณ์ที่ต้องแบก, ความอ่อนเพลี่ยจากการใช้แรงงานก่อนรบ,
อากาศที่ร้อนจัด, ระยะเวลาการรบที่ยาวนาน,ชุดที่ใส่ทำให้เปลี่ยนแม็กกาซีนกระสุนและแก้ปืนขัดลำไม่ถนัด,
การฝึกที่เน้นให้ยิงลำตัวมาตลอดแต่จู่ ๆ ก็ให้เล็งยิงแต่ที่หัวถึงจะยิงแม่นแค่ไหนแต่ด้วยความเคยชินมักทำให้พลาดเป้า
แต่ถึงกระนั้นผลกลับกลายเป็นว่าแนวรับนี้เป็นแนวรับที่มีประสิทธิ์ภาพมากที่สุดในการรับมือกับกองทัพซอมบี้
สาเหตุหลัก ๆ คือไม่มีการสาดกระสุนมั่วซั้วเพราะเล็งยิงแต่หัว
ทำให้จำนวนกระสุนที่ใช้ต่อการสังหารซอมบี้ 1 ตัวลดลงมาก เวลาที่ใช้ในการสังหารซอมบี้ต่อตัวก็ลดลงเช่นกัน
“ถ้าเรามีคนมากกว่านี้ กระสุนมากกว่านี้ ถ้าพวกนายพลปล่อยให้เราทำงานอย่างเหมาะสมกว่านี้”
เวเนียตัดพ้อ
ฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ฝ่ายมนุษย์แพ้คือระบบสื่อสาร Land Warrior ของมนุษย์เอง
“high-tech, high-priced, high-profile netro-f**king-centric Land Warrior” เวเนียเล่าถึงสิ่งที่ Land Warrior
ทำในวันนั้นอย่างเจ็บแค้น
ในพิชัยยุทธซุนวูบทหนึ่งมีเนื้อหานำนองว่าแม่ทัพจะต้องทำให้ทหารในบังคับบัญชามืดบอด
อย่าให้รู้เรื่องสถานะการณ์การรบในตอนนั้นผู้เขียนเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องทำแบบนั้น แต่พออ่าน
wwz ในตอนนี้ก็เข้าใจ
เพราะสถานการณ์การรบในบางครั้งรู้ไปก็บั่นทอนกำลังใจเปล่า ๆ
การรับมือกับฝูงซอมบี้ที่อยู่ตรงหน้าเป็นพัน ๆ ตัวนั้นก็แย่พอแล้ว
สิ่งที่ Land Warrior ทำคือการแสดงข้อมูลบอกเหล่าทหารว่ายังมีซอมบี้อีก “เป็นล้าน ๆ ตัว” กำลังตามมา
เวเนียเล่าว่าระบบแสดงข้อมูลบอกว่าขบวนซอมบี้ที่เจอนั้นหางยาวไปจนถึงไทม์สแควร์ที่แมนฮัตตั้น
ผู้เขียนลองเอาข้อมูลไปใส่ใน google map ดูพบว่าระยะทางจากไทม์สแควร์จนถึง A&P
นั้นยาวถึง 18.5 ไมล์หรือ 29.77 กิโลเมตร
ข้อมูลนี้ทำให้เหล่าทหารยิ่งกลัวและขวัญเสียหนักเข้าไปอีก
แต่นี่แค่ดอกแรกเท่านั้น
ดอกที่สองคือเหล่าทหารที่เสียขวัญเริ่มสถบกับตัวเองด้วยความกลัว
“Oh shit, OH SHIT!”
“พวกมันเยอะเกินไป เราต้องเผ่นแล้ว”
และ Land Warrior ก็ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างดีเยี่ยม กระจายทุกคำสถบนั้นให้ทหารทุกคนในกองทัพได้ยิน
บั่นทอนขวัญทหารทุกคนเข้าไปอีก
จนกระทั้งมีเสียงทหารคนหนึ่งดังผ่าน Land Warrior ขึ้นมาว่า
“ทำไมยิงหัวแล้วมันไม่ตายว่ะ ยิงหัวแล้ว
ไม่ตาย”
การสังหารซอมบี้นั้นต้องทำลายสมอง
แต่การยิงหัวนั้นบางครั้งก็มีกรณีสมองเสียหายไม่มากพอเพราะกระสุนแฉลบส่วนโค้งเว้าของกะโหลก,
โดนหัวแต่ไม่โดนสมองหรือสาเหตุอื่น ๆ เวเนียว่าเรื่องนี้นั้นถ้าใจเย็นและคิดสักนิดก็รู้ได้
แต่ตอนนั้นคนส่วนใหญ่กำลังกลัว ขวัญเสีย ไม่มีใครที่ใจเย็นพอที่จะชุกคิด
ยิงหัว คือความหวังเดียวที่พวกเค้ามีในการฆ่าซอมบี้และตอนนี้มีคนบอกว่าไม่ได้ผล
“อะไรน่ะ”
“พวกมันไม่ตายรึ”
“ใครพูดว่ะ”
“ยิงหัวแล้วแน่น่ะ”
“
แล้ว
เป็นอมตะ”
เวเนียเล่าถึงเสียงทหารคนอื่น ๆ ที่ได้ยินตอนนั้น
ทหารยิ่งแตกตื่นและขวัญเสียหนักเข้าไปอีก
ถึงจุดนี้พวกนายทหารเริ่มรู้ตัวแล้วว่า Land Warrior ทำพิษจึงออกคำสั่งให้รักษาแนวรบและให้ออกจาก Network แต่ช้าไปเก้าเดียว
มันเป็นภาพจากกล้องติดปืนของเพื่อนทหารหลังแนวรบ
ชาวบ้านที่อพยพออกไปนั้นมีคนที่ซ่อนคนในครอบครัวที่กลายเป็นซอมบี้ไว้ในบ้าน
คาดว่าแรงระเบิดทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนจนประตูที่ล๊อกไว้พังซอมบี้จึงหลุดออกมา
แล้วจุดที่หลุดออกมามีทหารคนหนึ่งอยู่ตรงนั้นพอดี
ภาพที่ทหารทุกคนเห็นคือ ซอมบี้ 5 ตัว ชายหนึ่ง หญิงหนึ่ง เด็ก 3
ทั้ง 5 ตัวจับทหารเคราะห์ร้ายกดจากด้านหลัง
ผู้ชายทับช่วงลำตัวไว้ เด็ก ๆ จับแขน พยายามกัดให้ทะลุชุด ผู้หญิงดึงหน้ากากออกแสดงให้เห็นใบหน้าที่หวาดกลัวสุดขีด
“มันอยู่ข้างหลัง”
“มันออกมาจากบ้าน”
“แนวรับแตกแล้ว มันล้อมเราไว้หมดแล้ว”
แล้วภาพก็ถูกตัด มีเสียงจากนายทหารดังเข้ามาฟังแล้วรู้ได้ว่าพยายามข่มความกลัว
สั่งให้รักษาแนวรบต่อไปและให้ออกจาก Network จากนั้นการเชื่อมต่อ Network ก็ถูกตัด
ไม่นานนักก็มี JSF บินเข้ามา close air support (การทิ้งระเบิดสนับสนุนทหารภาคพื้นดินในจุดที่ใกล้กับทหารฝั่งเดียวกัน)
แต่เป้าหมายมันใกล้มากไป
เวเนียเล่าว่าเค้าหลบระเบิดในที่กำบัง แรงระเบิดซัดให้ร่างของซอมบี้ตัวหนึ่งที่ดำเป็นตอตะโกเหลือแต่ตัวและหัวกระเด็นมาทับ
ซอมบี้ตัวนั้นพยายามกัดเวเนีย ดีว่าเค้าเตะออกไปได้ทัน
หลังการระเบิดภาพที่เห็นเหมือนฝันร้าย
ซอมบี้ค่อย ๆ เดินฝ่าความมืดและกลุ่มควันออกมา
บางตัวไฟลุกท่วม บางตัวเดิน บางตัวคลาน บางตัวก็ลากร่างที่ยับเยินไส้ไหลค่อย ๆ เดินเข้ามา
ฝ่ายมนุษย์แตกทัพกันตอนนี้เอง
ในช่วงนี้มีแต่ความอลม่านและโกลาหลไปทั่วจนเวเนียบอกว่าจำอะไรไม่ค่อยได้ในช่วงนี้ เท่าที่จำได้คือ
นักข่าวคนหนึ่งโดนซอมบี้ที่ไฟลุกท่วมสามตัวรุมกัด
ทหารที่พยายามจะแย่งรถนักข่าวเพื่อหนีก่อนจะโดนรถถังทับทั้งคู่
นักบิน ฮ.จู่โจมคนหนึ่งขับ ฮ.เอาใบพัดฟันฝูงซอมบี้ก่อนที่ใบพัดจะโดนซากรถทำให้ ฮ. กระเด็นเข้าไปใน A&P
(ตรงนี้คือการคารวะ 28 Day later อย่างแน่นอน)
ส่วนตัวเวเนียเองนั้นเค้าโดน Flash Bang ที่ใครไม่รู้ขว้างมา คู่หูของเวเนียลากเค้าเข้ารถหุ้มเกราะ
สิ่งสุดท้ายที่เค้าจำได้ในวันนั้นคือรถหุ้มเกราะที่เข้าไปโดนแรงอะไรบางอย่างซัดกระเด็น
เวเนียเล่าอ้อม ๆ ว่าน่าจะเป็น thermobaric bomb
ในมุมของผู้เขียน คิดว่าบางทีอาจจะเป็น GBU-43/B MOAB ที่รู้จักกันในชื่อ Mother of All Bombs
ระเบิดที่แรงเป็นอันดับสองของโลกรองจาก Father of All Bombs ของรัสเซีย
ในฉบับภาพยนตร์ก็มีฉากคล้าย ๆ กันนี้ในตอนท้ายของเรื่องคือฉากที่ล่อซอมบี้เข้ามาในสนามกีฬาแล้วยิงโทมาฮอว์กหัวระเบิดแรงสูงใส่
ซึ่งน่าจะกำจัดซอมบี้ทั้งฝูงนั้นไปได้ทั้งหมด
แต่ถ้าเป็นฉบับนิยายวิธีนี้คาดว่าจะกำจัดไม่ได้ถึงครึ่ง
โดยสรุปแล้วการศึกที่ยอร์นเกอร์ที่ควรจะเรียกศรัทธาและช่วยให้ประชาชนสงบลงนั้น
จบลงโดยให้ผลตรงข้ามอย่างสิ้นเชิง เวเนียได้ให้ความเห็นต่อการรบในวันนั้นว่าเป็นเพราะอาวุธของมนุษย์ใช้ไม่ได้ผล
เค้าไม่ได้หมายถึงปืน, ระเบิดหรือรถถัง แต่หมายถึงอาวุธที่เก่าแก่ที่สุดของมนุษย์
เก่าแก่พอ ๆ กับคำว่าสงครามในภาษาที่เก่าแก่ที่สุดในโลกและยังคงใช้มันมาจนถึงปัจจุบัน
มันคือ “ความกลัว”
การรบนั้นประเด็นหลักไม่ได้อยู่ที่การฆ่าหรือการทำให้เจ็บปวดแต่อยู่ที่การทำให้กลัว ทำให้ยอมแพ้ไป
ในอดีตก็เช่นการทาสีอาวุธ, ทาสีตัว, ส่งเสียงคำราม, เสียบประจาน, ในยุคใหม่หน่อยก็เช่นบลิทซ์ครีค(สงครามสายฟ้าแลบ)
ในยุคปัจจุบันก็เป็น “Shock and Awe” (ช็อค แอนด์ ออร์)
สิ่งที่มนุษย์เจอในวันนั้นคือข้าศึกที่ ช็อค แอนด์ ออร์ ไม่ได้ผล
การที่เรา ช็อคแอนด์ ออร์ ซอมบี้ไม่ได้นั้นมันก็เหมือนมูมเมอแรงค์ที่ปาไปแล้วย้อนกลับมาโดนกบาลตัวเอง
จนทำให้ซอมบี้ ช็อค แอนด์ ออร์ มนุษย์กลับแทน
ไม่ว่าเราจะทำอะไร ฆ่ามากแค่ไหน พวกมันก็ไม่กลัว ไม่เคยและไม่มีวันที่จะกลัวและมันจะไล่ล่าเราจนถึงตัวสุดท้าย
to be continued in Part 4 “แผนของพอล รีดีเกอร์”
“คุณเห็นไหม นี่ล่ะความอัจฉริยะ นี่ล่ะความบ้าคลั่ง”
ปล.ตอนนี้ผมได้เปิด
Facebook Page “บทความตามใจฉัน”
โดยบทความจะหลายหลากคละประเภทกันไปความตามความสนใจนั้นขณะนั้น
ถ้าสนใจก็กดติดตามได้ครับ
https://www.facebook.com/uptomejournal/
บทความตามใจฉัน “เล่า World war Z เทียบกับฉบับภาพยนตร์” Part 3
แนวรับที่ 3 ซึ่งเป็นแนวรับสุดท้ายจะเป็นการยิงด้วยอาวุธเบาจากทหารราบ
ตามแผนคือแนวรับนี้มีเพียงเพื่อเก็บตกซอมบี้จำนวนเล็กน้อยที่รอดจากแนวรับที่ 1 และ 2 มาเท่านั้น
ปัญหาคือซอมบี้ที่ผ่านเข้ามานั้นมีหลักหลายพันตัว
ทหารทุกนายได้รับคำแนะนำว่าให้ยิงหัวและเตรียมยิง เมื่อซอมบี้เข้าระยะหวังผลก็มีคำสั่งให้ยิงได้
เวเนียเล่าถึงซอมบี้ตัวแรกที่ยิงว่าเค้าเล็งหัวแล้วแต่พลาดกระสุนเลยเข้าเป้าที่หน้าอก
ซอมบี้ตัวนั้นล้มลงแล้วก็ลุกขึ้นมาใหม่เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เค้าพยายามความคุมตัวเองให้เล็งที่หัวแล้วแต่มักยิงพลาดบ่อย ๆ ซึ่งสาเหตุมาจากหลาย ๆ ปัจจัย
ไม่ว่าจะเป็นชุดที่ร้อน อับและอึดอัด,น้ำหนักยุทธปกรณ์ที่ต้องแบก, ความอ่อนเพลี่ยจากการใช้แรงงานก่อนรบ,
อากาศที่ร้อนจัด, ระยะเวลาการรบที่ยาวนาน,ชุดที่ใส่ทำให้เปลี่ยนแม็กกาซีนกระสุนและแก้ปืนขัดลำไม่ถนัด,
การฝึกที่เน้นให้ยิงลำตัวมาตลอดแต่จู่ ๆ ก็ให้เล็งยิงแต่ที่หัวถึงจะยิงแม่นแค่ไหนแต่ด้วยความเคยชินมักทำให้พลาดเป้า
แต่ถึงกระนั้นผลกลับกลายเป็นว่าแนวรับนี้เป็นแนวรับที่มีประสิทธิ์ภาพมากที่สุดในการรับมือกับกองทัพซอมบี้
สาเหตุหลัก ๆ คือไม่มีการสาดกระสุนมั่วซั้วเพราะเล็งยิงแต่หัว
ทำให้จำนวนกระสุนที่ใช้ต่อการสังหารซอมบี้ 1 ตัวลดลงมาก เวลาที่ใช้ในการสังหารซอมบี้ต่อตัวก็ลดลงเช่นกัน
“ถ้าเรามีคนมากกว่านี้ กระสุนมากกว่านี้ ถ้าพวกนายพลปล่อยให้เราทำงานอย่างเหมาะสมกว่านี้”
เวเนียตัดพ้อ
ฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ฝ่ายมนุษย์แพ้คือระบบสื่อสาร Land Warrior ของมนุษย์เอง
“high-tech, high-priced, high-profile netro-f**king-centric Land Warrior” เวเนียเล่าถึงสิ่งที่ Land Warrior
ทำในวันนั้นอย่างเจ็บแค้น
ในพิชัยยุทธซุนวูบทหนึ่งมีเนื้อหานำนองว่าแม่ทัพจะต้องทำให้ทหารในบังคับบัญชามืดบอด
อย่าให้รู้เรื่องสถานะการณ์การรบในตอนนั้นผู้เขียนเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องทำแบบนั้น แต่พออ่าน
wwz ในตอนนี้ก็เข้าใจ
เพราะสถานการณ์การรบในบางครั้งรู้ไปก็บั่นทอนกำลังใจเปล่า ๆ
การรับมือกับฝูงซอมบี้ที่อยู่ตรงหน้าเป็นพัน ๆ ตัวนั้นก็แย่พอแล้ว
สิ่งที่ Land Warrior ทำคือการแสดงข้อมูลบอกเหล่าทหารว่ายังมีซอมบี้อีก “เป็นล้าน ๆ ตัว” กำลังตามมา
เวเนียเล่าว่าระบบแสดงข้อมูลบอกว่าขบวนซอมบี้ที่เจอนั้นหางยาวไปจนถึงไทม์สแควร์ที่แมนฮัตตั้น
ผู้เขียนลองเอาข้อมูลไปใส่ใน google map ดูพบว่าระยะทางจากไทม์สแควร์จนถึง A&P
นั้นยาวถึง 18.5 ไมล์หรือ 29.77 กิโลเมตร
ข้อมูลนี้ทำให้เหล่าทหารยิ่งกลัวและขวัญเสียหนักเข้าไปอีก
แต่นี่แค่ดอกแรกเท่านั้น
ดอกที่สองคือเหล่าทหารที่เสียขวัญเริ่มสถบกับตัวเองด้วยความกลัว
“Oh shit, OH SHIT!”
“พวกมันเยอะเกินไป เราต้องเผ่นแล้ว”
และ Land Warrior ก็ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างดีเยี่ยม กระจายทุกคำสถบนั้นให้ทหารทุกคนในกองทัพได้ยิน
บั่นทอนขวัญทหารทุกคนเข้าไปอีก
จนกระทั้งมีเสียงทหารคนหนึ่งดังผ่าน Land Warrior ขึ้นมาว่า
“ทำไมยิงหัวแล้วมันไม่ตายว่ะ ยิงหัวแล้วไม่ตาย”
การสังหารซอมบี้นั้นต้องทำลายสมอง
แต่การยิงหัวนั้นบางครั้งก็มีกรณีสมองเสียหายไม่มากพอเพราะกระสุนแฉลบส่วนโค้งเว้าของกะโหลก,
โดนหัวแต่ไม่โดนสมองหรือสาเหตุอื่น ๆ เวเนียว่าเรื่องนี้นั้นถ้าใจเย็นและคิดสักนิดก็รู้ได้
แต่ตอนนั้นคนส่วนใหญ่กำลังกลัว ขวัญเสีย ไม่มีใครที่ใจเย็นพอที่จะชุกคิด
ยิงหัว คือความหวังเดียวที่พวกเค้ามีในการฆ่าซอมบี้และตอนนี้มีคนบอกว่าไม่ได้ผล
“อะไรน่ะ”
“พวกมันไม่ตายรึ”
“ใครพูดว่ะ”
“ยิงหัวแล้วแน่น่ะ”
“แล้ว เป็นอมตะ”
เวเนียเล่าถึงเสียงทหารคนอื่น ๆ ที่ได้ยินตอนนั้น
ทหารยิ่งแตกตื่นและขวัญเสียหนักเข้าไปอีก
ถึงจุดนี้พวกนายทหารเริ่มรู้ตัวแล้วว่า Land Warrior ทำพิษจึงออกคำสั่งให้รักษาแนวรบและให้ออกจาก Network แต่ช้าไปเก้าเดียว
มันเป็นภาพจากกล้องติดปืนของเพื่อนทหารหลังแนวรบ
ชาวบ้านที่อพยพออกไปนั้นมีคนที่ซ่อนคนในครอบครัวที่กลายเป็นซอมบี้ไว้ในบ้าน
คาดว่าแรงระเบิดทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนจนประตูที่ล๊อกไว้พังซอมบี้จึงหลุดออกมา
แล้วจุดที่หลุดออกมามีทหารคนหนึ่งอยู่ตรงนั้นพอดี
ภาพที่ทหารทุกคนเห็นคือ ซอมบี้ 5 ตัว ชายหนึ่ง หญิงหนึ่ง เด็ก 3
ทั้ง 5 ตัวจับทหารเคราะห์ร้ายกดจากด้านหลัง
ผู้ชายทับช่วงลำตัวไว้ เด็ก ๆ จับแขน พยายามกัดให้ทะลุชุด ผู้หญิงดึงหน้ากากออกแสดงให้เห็นใบหน้าที่หวาดกลัวสุดขีด
“มันอยู่ข้างหลัง”
“มันออกมาจากบ้าน”
“แนวรับแตกแล้ว มันล้อมเราไว้หมดแล้ว”
แล้วภาพก็ถูกตัด มีเสียงจากนายทหารดังเข้ามาฟังแล้วรู้ได้ว่าพยายามข่มความกลัว
สั่งให้รักษาแนวรบต่อไปและให้ออกจาก Network จากนั้นการเชื่อมต่อ Network ก็ถูกตัด
ไม่นานนักก็มี JSF บินเข้ามา close air support (การทิ้งระเบิดสนับสนุนทหารภาคพื้นดินในจุดที่ใกล้กับทหารฝั่งเดียวกัน)
แต่เป้าหมายมันใกล้มากไป
เวเนียเล่าว่าเค้าหลบระเบิดในที่กำบัง แรงระเบิดซัดให้ร่างของซอมบี้ตัวหนึ่งที่ดำเป็นตอตะโกเหลือแต่ตัวและหัวกระเด็นมาทับ
ซอมบี้ตัวนั้นพยายามกัดเวเนีย ดีว่าเค้าเตะออกไปได้ทัน
หลังการระเบิดภาพที่เห็นเหมือนฝันร้าย
ซอมบี้ค่อย ๆ เดินฝ่าความมืดและกลุ่มควันออกมา
บางตัวไฟลุกท่วม บางตัวเดิน บางตัวคลาน บางตัวก็ลากร่างที่ยับเยินไส้ไหลค่อย ๆ เดินเข้ามา
ฝ่ายมนุษย์แตกทัพกันตอนนี้เอง
ในช่วงนี้มีแต่ความอลม่านและโกลาหลไปทั่วจนเวเนียบอกว่าจำอะไรไม่ค่อยได้ในช่วงนี้ เท่าที่จำได้คือ
นักข่าวคนหนึ่งโดนซอมบี้ที่ไฟลุกท่วมสามตัวรุมกัด
ทหารที่พยายามจะแย่งรถนักข่าวเพื่อหนีก่อนจะโดนรถถังทับทั้งคู่
นักบิน ฮ.จู่โจมคนหนึ่งขับ ฮ.เอาใบพัดฟันฝูงซอมบี้ก่อนที่ใบพัดจะโดนซากรถทำให้ ฮ. กระเด็นเข้าไปใน A&P
(ตรงนี้คือการคารวะ 28 Day later อย่างแน่นอน)
ส่วนตัวเวเนียเองนั้นเค้าโดน Flash Bang ที่ใครไม่รู้ขว้างมา คู่หูของเวเนียลากเค้าเข้ารถหุ้มเกราะ
สิ่งสุดท้ายที่เค้าจำได้ในวันนั้นคือรถหุ้มเกราะที่เข้าไปโดนแรงอะไรบางอย่างซัดกระเด็น
เวเนียเล่าอ้อม ๆ ว่าน่าจะเป็น thermobaric bomb
ในมุมของผู้เขียน คิดว่าบางทีอาจจะเป็น GBU-43/B MOAB ที่รู้จักกันในชื่อ Mother of All Bombs
ระเบิดที่แรงเป็นอันดับสองของโลกรองจาก Father of All Bombs ของรัสเซีย
ในฉบับภาพยนตร์ก็มีฉากคล้าย ๆ กันนี้ในตอนท้ายของเรื่องคือฉากที่ล่อซอมบี้เข้ามาในสนามกีฬาแล้วยิงโทมาฮอว์กหัวระเบิดแรงสูงใส่
ซึ่งน่าจะกำจัดซอมบี้ทั้งฝูงนั้นไปได้ทั้งหมด
แต่ถ้าเป็นฉบับนิยายวิธีนี้คาดว่าจะกำจัดไม่ได้ถึงครึ่ง
โดยสรุปแล้วการศึกที่ยอร์นเกอร์ที่ควรจะเรียกศรัทธาและช่วยให้ประชาชนสงบลงนั้น
จบลงโดยให้ผลตรงข้ามอย่างสิ้นเชิง เวเนียได้ให้ความเห็นต่อการรบในวันนั้นว่าเป็นเพราะอาวุธของมนุษย์ใช้ไม่ได้ผล
เค้าไม่ได้หมายถึงปืน, ระเบิดหรือรถถัง แต่หมายถึงอาวุธที่เก่าแก่ที่สุดของมนุษย์
เก่าแก่พอ ๆ กับคำว่าสงครามในภาษาที่เก่าแก่ที่สุดในโลกและยังคงใช้มันมาจนถึงปัจจุบัน
มันคือ “ความกลัว”
การรบนั้นประเด็นหลักไม่ได้อยู่ที่การฆ่าหรือการทำให้เจ็บปวดแต่อยู่ที่การทำให้กลัว ทำให้ยอมแพ้ไป
ในอดีตก็เช่นการทาสีอาวุธ, ทาสีตัว, ส่งเสียงคำราม, เสียบประจาน, ในยุคใหม่หน่อยก็เช่นบลิทซ์ครีค(สงครามสายฟ้าแลบ)
ในยุคปัจจุบันก็เป็น “Shock and Awe” (ช็อค แอนด์ ออร์)
สิ่งที่มนุษย์เจอในวันนั้นคือข้าศึกที่ ช็อค แอนด์ ออร์ ไม่ได้ผล
การที่เรา ช็อคแอนด์ ออร์ ซอมบี้ไม่ได้นั้นมันก็เหมือนมูมเมอแรงค์ที่ปาไปแล้วย้อนกลับมาโดนกบาลตัวเอง
จนทำให้ซอมบี้ ช็อค แอนด์ ออร์ มนุษย์กลับแทน
ไม่ว่าเราจะทำอะไร ฆ่ามากแค่ไหน พวกมันก็ไม่กลัว ไม่เคยและไม่มีวันที่จะกลัวและมันจะไล่ล่าเราจนถึงตัวสุดท้าย
to be continued in Part 4 “แผนของพอล รีดีเกอร์”
“คุณเห็นไหม นี่ล่ะความอัจฉริยะ นี่ล่ะความบ้าคลั่ง”
ปล.ตอนนี้ผมได้เปิด
Facebook Page “บทความตามใจฉัน”
โดยบทความจะหลายหลากคละประเภทกันไปความตามความสนใจนั้นขณะนั้น
ถ้าสนใจก็กดติดตามได้ครับ https://www.facebook.com/uptomejournal/