ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวันอารามของ
ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาค
ทรงชี้แจงให้ภิกษุทั้งหลายเห็นแจ้ง ... เงี่ยโสตลงสดับธรรม ลำดับนั้นแล
พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว ทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมชาติที่ไม่เกิด ไม่เป็น อันปัจจัยกระทำไม่ได้ ปรุงแต่งไม่ได้แล้ว มีอยู่
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าธรรมชาติที่ไม่เกิดไม่เป็นอันปัจจัยกระทำไม่ได้ ปรุงแต่งไม่ได้
จักไม่ได้มีแล้วไซร้ การสลัดออกซึ่งธรรมชาติที่เกิดแล้ว เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำแล้ว ปรุงแต่งแล้ว
จะไม่พึงปรากฏในโลกนี้เลย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะธรรมชาติที่ไม่เกิด ไม่เป็น อันปัจจัยกระทำไม่ได้ ปรุงแต่งไม่ได้ มีอยู่
เพราะฉะนั้น การสลัดออกซึ่งธรรมชาติที่เกิดแล้ว เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำแล้ว ปรุงแต่งแล้วจึงปรากฏ ฯ
ธรรมชาติที่ว่านั้นก็คือ เป็นอัตตานั่นเอง
ความหมายของคำเหล่านี้ก็คืออัตตาทั้งนั้นเลย
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวันอารามของ
ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาค
ทรงชี้แจงให้ภิกษุทั้งหลายเห็นแจ้ง ... เงี่ยโสตลงสดับธรรม ลำดับนั้นแล
พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว ทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมชาติที่ไม่เกิด ไม่เป็น อันปัจจัยกระทำไม่ได้ ปรุงแต่งไม่ได้แล้ว มีอยู่
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าธรรมชาติที่ไม่เกิดไม่เป็นอันปัจจัยกระทำไม่ได้ ปรุงแต่งไม่ได้
จักไม่ได้มีแล้วไซร้ การสลัดออกซึ่งธรรมชาติที่เกิดแล้ว เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำแล้ว ปรุงแต่งแล้ว
จะไม่พึงปรากฏในโลกนี้เลย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะธรรมชาติที่ไม่เกิด ไม่เป็น อันปัจจัยกระทำไม่ได้ ปรุงแต่งไม่ได้ มีอยู่
เพราะฉะนั้น การสลัดออกซึ่งธรรมชาติที่เกิดแล้ว เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำแล้ว ปรุงแต่งแล้วจึงปรากฏ ฯ
ธรรมชาติที่ว่านั้นก็คือ เป็นอัตตานั่นเอง