6ปีแล้วนะ ชีวิตจริงไม่อิงละครล้มเหลวจนเข้ารพ.สมเด็จเจ้าพระยา

สวัสดีค่ะ เป็นกระทู้แรกที่เล่าเรื่องตัวเองและขอกำลังใจจากเพื่อนๆในพันทิป  เพื่อบอกเล่า เพื่อระบายความรู้สึก แอบอ่านมานานวันนี้เลยตัดสินใจสมัครเพื่อเขียนเรื่องราวของตัวเอง หากผิดพลาดประการใดต้องขออภัยนะคะ ไม่ค่อยถนัดโซเซียลค่ะ  ยาวหน่อยนะคะ ขอบคุณล่วงหน้าค่ะเริ่มกันเลย

      เริ่มย้อนกลับไปเมื่อปี 2555 ดิฉันอยู่กินกับสามี แบบไม่ได้แต่งงาน บ้านแฟนไม่ยอมรับ เพราะแฟนกำลังมีอนาคตไกล มีอาชีพที่มั่นคง ดิฉันทำงานแบงค์ เงินเดือนพอสมควร แฟนทำงานราชการ  ต้นปี2557 ดิฉันตั้งท้องและคลอดปีเดียวกัน  คลอดก่อนกำหนดเพราะมีอาการครรภ์เป็นพิษเนื่องจากมีปัญหามากมายที่ทำให้เครียดมาก ส่งผลถึงการตั้งครรภ์ ผู้หญิงท้อง ออกจากงาน ล็อคประตูบ้านด้านหน้า เพื่อไม่ให้ใครรู้ว่าอยู่ในบ้าน สามีเข้าออกด้านหลัง เพราะสามีไปเกี่ยวข้องกับการค้ำประกันให้เพื่อน แล้วต้องชดใช้แทนเป็นจำนานที่หลายบาท จนดิฉันเครียดจัดและต้องเข้ารพ.ต้องนอน แบบนิ่งๆ ดิ๊บยากันแท้ง รักษาตามอาการ ให้อ๊อกซิเจนคือไม่ได้กลับบ้านจนคลอด ฉี่ที่เตียงเดินได้เฉพาะตอนถ่ายหนัก เงินไม่มีเพราะออกจากงาน สามีมาเยี่ยมที่ รพ. ทุกวันใกล้ๆเวลาจะปิดเยี่ยม เพราะต้องทำงานเสริม เพื่อนำข้าวกล่องผัดกระเพรากล่องละ20มาให้ทาน ไม่มีขนมหรือผลไม้ เพียงเพราะว่า ดิฉันอยากให้สามีนำเงินจ่ายหนี้ค้ำประกันให้หมดๆเพื่อความสบายใจเลยตกลงกับสามีว่ามีเงินให้จ่ายไปก่อน ดิฉันโอเคร สามีก็เครียดหนักและทำตามทุกอย่าง เพียงเพราะดิฉันไม่อยากรับรู้เมื่อคลอดออกมา บางคนบอกแค่เป็นหนี้จะอะไรหนักหนา สำหรับดิฉันพยายามประหยัดอดออม ใช้ชีวิตอย่างมีสติมาตลอด จะช่วยเพื่อนเท่าที่ทำได้ ช่วยเพื่อนมนุษย์ ช่วยนะคะช่วยทุกคนที่มีคนลำบาก ที่ขอให้ช่วย แต่ว่าจะไม่ทำอะไรที่ผูกมัดกับตัวเอง แต่สามีออกแนวรักเพื่อน  เพื่อนเดือดร้อนเลยช่วย แต่ไม่มาปรึกษาเป็นบ่อเกิดของหนี้ชิ้นโต เราต้องรับผิดชอบเพราะได้เกิดแล้ว ท้องด้วยเลยเครียดมากกว่าเดิม สามีและดิฉันทำแบบนั้นอยู่หลายเดือนจนคลอด (เดี๋ยวว่างๆจะมาเล่าเรื่องครรภ์เป็นพิษให้ฟังนะคะช่วงเวลานี้ก็มีเรื่องดราม่าพอสมควร)หลังคลอดดิฉันมีอาการซีคขวาไม่ทำงานและไม่สามารถให้นมลูกได้ อุ้มไม่ได้  เครียดซึมเศร้าไม่อยากมองหน้าลูก  สามีเลยอาสาดูลูกแทนทั้งหมด รวมทั้งดูดิฉัน ดิฉันมารู้สึกอยากอุ้มลูกเมื่อลูกเข้า3เดือนซึ่งรู้สึกผิดกับลูกมาถึงทุกวันนี้  และตัวลูกเองก็หัวใจรั่วและมีปัญหาด้านหายใจ ต้องพบหมอจนถึงปัจจุบันนี้ แม่ดิฉันเสียชีวิต และพ่อแต่งงานใหม่ เรามีกันแค่3คนพ่อแม่ลูก  ส่วนแม่สามี  ไม่สนใจใดๆทั้งสิ้น ณ ขณะนั้นเพราะเรามีเรื่องหมางใจกันเพราะแม่แฟนเห็นว่ายังไม่สมควรแต่ง  แต่ดันทุรังอยู่ด้วยกันจนท้องและจดทะเบียนสมรสโดนข้ามหน้าข้ามตา อันนี้ผิดดิฉันยอมรับแต่จะจับเราแยกกันไม่ได้ เราเลยคิดน้อยใช้ทางลัดผูกมัดกันไว้ มาต่อค่ะ(ปัจจุบันท่านดีมากๆนะคะ)

ปี2558 ดิฉันหายดีจากอาการไม่มีแรง ซึมเศร้าหายไปและสมัครงานแบงค์เช่นเดิม โชคดีตำแหน่งและรายได้มากพอสมควร แต่ต้องออกต่างจังหวัดทำให้ห่างเหินกับสามีและลูก นั่นเป็นเหตุที่ทำให้สามีใช้เวลาว่างแบบผิดๆ หันหน้าเข้าหาอบายมุข เพียงเพราะอยากหาเงินใช้หนี้ที่ค้ำประกันไว้ให้หมดๆเป็นความคิดที่ไม่สร้างสรรค์มากๆ โดยดิฉันไม่ทราบเลยเพราะสามียังทำหน้าที่พ่อ และสามีได้ดีทุกอย่างเหมือนที่ผ่านมา ดิฉันกลับบ้านเพียง เดือนละ2ครั้ง ครั้งละ2วัน       
           ปี2559  ดิฉันคิดถึงลูกและสามีจึงย้ายมาทำงานสาขาใกล้บ้านและต้องประสบปัญหาใหญ่เมื่อรู้ว่า สามีติดการพนันหนักแบบจ่ายดอกเยอะมาก แทนที่จะจ่ายหนี้หมดกับเพิ่มหนี้ และถูกให้ออกจากงานแม่สามีทราบเรื่องว่าสามีออกจากงาน แม่สามีโกรธมากและแม่สามีอายคน  แม่สามีทำการเผาพริกเผาเกลือแช่งและสาปส่ง อย่าให้ผุดได้เกิด เพราะท่านรักของท่าน ท่านหวังกับสามีมาก  ดิฉันต้องเป็นหัวหน้าครอบครัว และดิฉันมาทราบทีหลังว่าสามีเล่นมานานแล้ว  แต่เพราะสามียังหมุนได้เพราะดิฉันจะโอนเงินเดือนให้สามีเยอะมาก เพียงเพราะอยากชดเชยที่ต้องทิ้งลูกให้เค้าดูแล คิดว่าคงเหนื่อยอยากตอบแทน อยากให้มีเงินใช้ไม่ขาดมือเพราะเงินเดือนเค้าก็ไม่เหลือ และตอนนั้นไม่มีคนมาทวงถามหนี้สินใดๆ ดิฉันมาทราบเพราะมาอยุ่บ้านเดียวกัน สามีเริ่มเงินขาดมือเพราะดิฉันเองรายได้ต้องลดลงไม่ได้ออกต่างจังหวัดแล้ว เป็นสาเหตุให้เจ้าหนี้เริ่มมาตามที่บ้าน และแน่นอน เจ้าหนี้ได้บอกกับดิฉันทุกเจ้าหนี้ยอดเยอะมากเหลือเกิน  แต่ก็พยายามหาหมุนจ่าย ขายของเปิดท้าย ขายขนม เพื่อมาจุนเจือ แต่ก็ไม่เพียงพอ ดิฉันเริ่มยืมคนรอบตัวมาจ่ายช่วยสามีจนวันนึงรู้สึกว่าไม่ไหว ไหนจะหนี้เพื่อน หนี้คนใกล้ตัว ไม่ไหวแล้วถอยดีกว่า  คุยกับเจ้าบางรายเข้าใจไม่เอาดอกบางรายต้องเอาแล้วมาทุกวันที่บ้านทำให้จิตตกไม่อยากกลับบ้าน ขับรถวนๆรอให้ดึกค่อยเข้าบ้านกัน หันไปมองลูกที่เบาะหลังต้องนอนที่หลังรถทุกวันเลยบอกสามีว่า ไม่ไหวนะจะไป กทม  เลยออกจากงาน หนีหนี้ไปอยู่  กทม   พออยุ่ กทม  รถที่ใช้ทำงานก็โดนยึด เพราะเราต้องเริ่มต้นใหม่หมดไม่มีเงินเพียงพอจ่ายงวด  อยุ่แบบหลบซ่อน  กลัวเจ้าหนี้ ทะเลาะกัน ประสาทหลอน วันนึงทะเลาะกันหนักมาก จนสติหลุด  และเป็นบ่อเกิดของการฆ่าตัวตาย ถึง 3 ครั้ง  ครั้งสุดท้ายแขวนคอตอนตี3สามีตื่นตามมาเงียบๆบอกมาเจ้าห้องน้ำ จริงๆตามมาเพราะกลัวคิดสั้น สามีเลยปลดเชือกที่คอช่วยเหลือไว้ทัน ดิฉันไม่อยากตายนะคะ แค่ไม่อยากอยุ่อยากจบทุกอย่าง สามีเรียกรถพยาบาลมารับช่วยไว้ทัน ดิฉันหมดสติและตื่นขึ้นมาอีกที อยู่ รพ.บ้านสมเด็จเจ้าพระยา  คุณหมอแจ้งว่าคุณเป็นซึมเศร้าบลาๆบอกเกี่ยวกับที่ดิฉันต้องมาอยุ่ในนี้ ตอนนั้นยังเบลอไม่รับรู้แต่จับใจความได้แค่คร่าวๆ(เอาไว้วันหลังจะมาเล่าให้ฟังถึงบรรยากาศในรั้วรพ.ตึกจามจุรี)ดิฉันรักษาตัวอยู่14วัน ดิฉันคิดว่าดิฉันรับมือได้และอยากออกไปทำงานเพราะห่วงลูกและแฟน คุณหมอเห็นว่าโอเคสายตาตอบสนอง ทัศนคติ การจัดเรียงความคิด ไม่มีสายตาร้อนรน ไม่จิดเล็บ และไม่เห็นภาพหลอนของเจ้าหนี้ คุณหมอประเมินอาการเลยอนุญาติให้ออกและต้องทานยา มาพบหมอตามนัดคุณหมอเลยติดต่อ สามีเพื่อแจ้งข่าวว่า สามารถมารับผุ้ป่วย ดิฉันออกมาทำงานแบงค์แต่เปลี่ยนบริษัท ซึ่งงานก็เครียด และต้องทำงานเสาร์ อาทิตย์เพื่อหาลูกค้า โดนกดดันจากหัวหน้า จริงๆก็โดนกดดันทุกคน แต่เรากลับรู้สึกเครียดมาก มากกว่าเพื่อนเลย ถึงวันนัดคุณหมอก็ปรับยาให้เหมาะสมกับการใช้ชีวิต คุณหมอแจ้งว่างานนี้ไม่เหมาะกับคุณ มันจะทำให้คุณไม่มีความสุขโอกาสหายน้อยลงแน่นอน และอาจจะมีปัญหาหลายอย่างตามมา

            ปี2560 ดิฉันล้มป่วย มือชา เท้าชาแขนทั้ง2ข้างไม่สามารถใช้งานได้  ปวดปลายประสาทตั้งแต่ท้ายทอย ปลายนิ้ว ทำงานไม่ได้ กวาดบ้าน เขียนหนังสือ ตอนนอนทรมานมาก  แจ้งว่าปลายประสาทอักเสบ หรือกระดูกอาจทับเส้นประสาท  แต่อาจมีผลพวงมาจากอาการเครียดเป็นทุนเดิมด้วย ดิฉันได้แต่กังวลกลัวเลี้ยงลูกไม่โต แต่หมอบอกรักษาได้เพราะรู้เร็ว ให้กายภาพและทานยา สามีเลย บากหน้ากลับบ้านขอแม่อาศัยด้วย แต่แม่ไม่พร้อมเลยให้มาอยู่ที่บ้านน้า ต่างจังหวัดกับตาอายุ 80 ลูกเอาเข้า รร.ใกล้ๆ ส่วนสามีรับจ้างกรีดยางวันละ 300 บางวันกรีดไม่เต็มสวนก็150 แล้วแต่นายจ้างรายได้ไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายสามีมีอาการเครียดจนเห็นได้ชัด แต่ก็ยังทำหน้าที่พ่อและสามี หาข้าวน้ำให้ทานตามอัตภาพ

        ปี 2560-2561 ยังคงรักษาตัวกายภาพ และทานยาต้านเศร้า  ยานอนหลับ ยาปรับฮอร์โมน  เดือน พค.2561 อาการชา ไม่มีแรงเริ่มกลับมามีกำลัง กวาดบ้านเขียนหนังสือได้มีกำลังใจต่อสู้มากขึ้น แต่ก็ยังมีอาการบ้างบางวัน กายภาพบำบัดช่วยได้มาก ประคบร้อน ยืดกระดูก ช่วยได้มากจริงๆแค่มีวินัยไปตามนัด ซึมเศร้าดีขึ้นตามลำดับ  สงสารสามี และสามีก็สำนึกผิดที่ทำให้หมดตัว สามีก็พยายามดูแลเท่าที่ทำได้  อดมื้อกินมื้อ ไม่มีเพื่อน มีเพียงแม่สามีที่หยิบยื่นกับข้าวแห้งส่งมาบ้าง เพราะท่านเองเห็นแล้วสงสารและท่านสำนึกผิดที่สาปแช่งลูก ทางเราไม่เคยคิดโทษแม่สามีว่าเพราะคำสาปแช่งนะคะ  แต่ท่านก็คิด 

            ปี 2562 ต้นปี ดิฉันดูแลร่างกายอย่างดี สวดมนต์ไหว้พระ สภาพจิตก็ดีขึ้น เพื่อหวังว่าจะสมัครงานนั่นเอง ลูกสาวก็ยังต้องหาหมอ หู คอ จมูก ตามนัดซึ้งมีค่าใช้จ่ายของการเดินทางพาลูกไปหาหมอในตัวเมืองก็พยายามอดออม  เก็บเงิน กินข้าวแค่เช้ากับเย็นเท่านั้น  ทั้ง พ่อ แม่ ลูก เราพยายามอดทนและสู้  และดิฉันก็พยายามหางานมาตลอด ได้งานก็ไกลเกินไปเดินทางไม่สะดวกใช้เงินเดินทางมาก  กว่าเงินเดือนจะออก ดิฉันมีเพียงพี่สาวที่ลำบากเช่นกัน  แม่สามีมาประสบปัญหาการเงินทำให้ไม่สามารถช่วยเหลือใดๆได้ นอกจากให้รถกะบะไว้ใช้เพื่อจะได้ไปหาหมอสะดวก ขอบคุณค่ะ ซึ่งก็จอดไว้นิ่งๆจะใช้เฉพาะไปหาหมอ มีมอไซค์1คันใช้ทำงาน  กะจะเข้าทำงานใน กทม.ก็ไม่มีคนอยุ่กับลูกเวลาสามีไปกรีดยางตอนดึก ลูกสาว4ขวบและชอบหยุดหายใจแบบชะงัก เป็นบางคืน บางคืนสำลักน้ำลายอาเจือน จึงไม่พร้อมไปทำงาน กทม. ไปก็ต้องมีค่าใช้จ่าย ซึ่งเราก็ไม่พร้อม ในเรื่องของเงินค่าใช้จ่ายเลยหลักๆและ เหมือนฟ้าฝ่า เมื่อเจ้าของสวนยางขายที่   ทำให้สามีตกงาน มา 2เดือน และดิฉันก็เลยไปรับจ้างอีกคนยกมันสำปะหลังช่วยสามีอีกแรงแต่ดันปวดท้องตอนยก เลยต้องหาหมอและฟ้าผ่ารอบที่2ปรากฎว่ามีก้อนเนื้อตรงรังไข่ ถึง3 เซ็น บอกตามตรงมันจุกแต่ตายไม่ได้แต่ต้องปฎิเสธการรักษา เพราะเราไม่มีเงินพอจะรักษาตัวเองเงินทุกบาทต้องเก็บไว้ให้ลูก และกินแต่ละวันยังไม่อยากจะพอ ห่วงลูกสุดชีวิตสามียังรับจ้างตัดหัวมันบ้างวันละ150 บาท ของานเค้าทำ ดิฉันก็สมัครงานอย่างบ้าคลั่งเหมือนเดิม อดทนเจ็บท้องไปก่อนและ แต่ละครั้ง  เดินสมัครงานทุกวัน มีเงินติดตัวเพียงค่ารถห้ามทำหายไม่งั้นลำบากแน่ มีชุดสมัครงานเพียงชุดเดียว  และก็ไม่มีงานเลยแม้กระทั้งร้านหมูกะทะ แค่หวังว่าจะมีเงินมาจุนเจือครอบครัว ตอนนี้หน้าแล้ง  งานสวนรับจ้างก็น้อยมาก  วันนี้ที่ดิฉันตัดสินใจมาตั้งกระทู้  เพราะรู้สึกว่า ชีวิตมันยากแต่ไม่อยากคิดลบ โทรหาเพื่อนเก่าที่เคยลำบากมาด้วยหวังของาน และขอความช่วยเหลือเล็กน้อย เพื่อนบอกว่ามีโทรศัพท์และอินเตอร์เน็ตได้ขายไหม จะบอกว่าโทรศพท์จอแตก เป็นซัมซุงที่ติดสก๊อตเทป และใช้ไวไฟจากศาลาประชาคมของหมู่บ้าน เพราะบ้านอยุ่ติดเลยเท่านั้น  ไม่ได้เป็นเครื่องแพงๆจะได้ราคา เสื้อผ้าที่เคยมีก็ขายหมดแล้ว เหล็ก ขวด ของเก่าที่สะสมไว้ก็ขายเป็นค่าน้ำค่าไฟ สุดท้ายเพื่อนที่ติดเงินดิฉันอยุ่60000เลยโอนเงินมาให้200บาทประทังชีวิตซื้อปลากระป๋องน้ำมันพืชและไข่ไก่ และเหลือเงินไว้ซื้อนมและขนมให้ลูก ติดกระเป๋าไป รร. ดิฉันไม่โกรธเพื่อนแต่กลับขอบคุณที่ยังช่วยเหลือ 200บาทเธอมีค่ามาก ดิฉันกับสามี แทบไม่อยากมองหน้ากันเพราะชอบมีคำถามว่าจะเอาไงดี จะทำไงดี มันเครียดเลยเลือกจะเงียบสงบจิตใจ หลีกเลี่ยงการคุยไม่รู้เป็นวิธีที่ถูกไหม แต่เราไม่รู้จะคุยอะไรกัน และก็ดันมีความคิดไม่อยากอยู่กลับเข้ามาในสมอง มันเป็นอารมณ์ที่เคยเกิดขึ้นแต่ดิฉันต้องสู้กับมัน  และสุดท้ายดิฉันยังคงหวังว่าชีวิตของครอบครัวดิฉันต้องเจอแสงสว่างสักวัน  ดิฉันยังหวังว่า ซึมเศร้าเพื่อนรักจะไม่กลับมาตอนนี้นะ  เพราะเรากลัวเธอเหลือเกิน เราไม่อยากตาย อาการก่อนตายมันน่ากลัว ขอร้องอย่ากลับมา ให้เวลาให้เราได้อยู่กับลูกและชื่นชมความสำเร๋จของลูกก่อน อย่ากลับมานะซึมเศร้าเพื่อนรัก  วันนี้ซึ่งจริงๆมีรายละเอียดเยอะมากกับชีวิตที่เจอแต่เล่าคร่าวๆพอให้ตัวเองสบายใจ และอยากมีเพื่อน ใครสักคนที่เข้าใจแม้จะรู้ว่าเราไม่สามารถทำให้ใครเข้าใจเราได้ทั้งหมด  และขอเป็นกำลังใจให้ตัวเองและคนที่เจอปัญหาแบบหาทางไม่เจอเช่นนี้ อดทน และมีสติ สู้ให้ได้(บอกตัวเองล้วนๆ) สุดท้ายจะเป็นยังไง ดิฉันยังไม่ทราบได้ พรุ่งนี้จะเดินไปเช่นไรยังไม่รู้  แต่อยากจะเขียนเล่าเรื่อยๆจังเลยค่ะ เหมือนเล่าให้เพื่อนฟัง แต่ก็ไม่รู้จะมีใครอยากฟัง เช้านี้สามีไปวัดเพื่อช่วยกวาดถูศาลาและเอาข้าวก้นบาตรมาให้เราแม่ลูกทาน ใครจะไปรู้ว่า คนเคยมีทุกอย่างจะต้องมาเจอกับปัญหาเช่นนี้ มันอายที่ต้องไปขอร้องความช่วยเหลือหรือเห็นใจจากคนที่เราคิดว่าเป็นเป็นเพื่อนแต่ช่างมันดิฉันเข้าใจในโลกทุกคนต่างมีเหตุผล  ดิฉันหวังว่าเรื่องนี้จะมีประโยชน์กับใครบ้างนะคะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่