[CR] บอกเล่าประสบการณ์ นั่งรถตู้จากกระบี่ไปปีนัง! สักครั้งเมื่อยังนั่งไหว กับแม่วัย 52

เมื่อชีวิตโหยหาความท้าทายและกลิ่นอายแห่งประวัติศาสตร์

แผนการเดินทางไปยัง 'ปีนัง' เมืองมรดกโลกจึงได้ถูกวางขึ้น พร้อมด้วยสมาชิกในกรุ๊ปอีก 1 คนถ้วน (มีเเค่ผมกับเเม่)

แต่นั่งเครื่องไปมันก็ธรรมดาไป มีหรือที่พวกเราจะเลือก

(เพราะมันแพง) ดังนั้นพวกเราก็เลยตัดสินใจ นั่ง 'รถตู้' จากกระบี่นี่แหละ ..

ซึ่งจะใช้เวลาร่วม 10 ชั่วโมงจนกว่าเราจะถึงจุดหมาย

ถามว่าเมื่อยมั้ย 

เมื่อย!

ถามว่าสนุกมั้ย

สนุก!

ถามว่ามันนานเกินไปไหมกับ 10 ชม.

นานชิบหัยยยยยยย!!!
ล้อเล่น ระดับนี้ชิลๆ แม่บอกว่าเมื่อก่อน เเม่คืออันดับ 1 ของห้อง (เรื่องเรียนเหรอเเม่ เก่งจัง)

ป่าว .. เรื่องเที่ยว

และเรื่องมันก็มีอยู่ว่า ..


และนี่ก็ครืออออออ รีวิว พาแม่ไปทรมานสังขารที่ปีนัง อัง อัง อัง อัง


ประเทศมาเลเซีย ใช้สกุลเงิน ริงกิตมาเลเซีย เรตก็ประมาณ 1 ริงกิต = 8 บาท
การเดินทางในปีนัง มีหลากหลายวิธี เช่น การนั่งรถบัส, แท็กซี, และ Grab ซึ่งวิธีที่ผมคิดว่าคุ้มเเละสะดวกที่สุดนั่นก็คือ Grab นั่นเองครับ เพราะ Grab ที่นี่ราคาถูกมาก เริ่มต้นที่ 5 ริงกิต (40 บาท) ไปจนถึง 10 ริงกิต (นี่นั่งจาก Komtar ไปยัง Penang Hill เลยนะ)



การจราจรค่อนข้างติดขัดในบางช่วง ถนนมากกว่า 70% เป็นถนน One way แต่ตัวเมืองมีการวางผังที่ดีมากๆ (เป็นบล็อกๆ ทำให้ยากที่จะเดินหลง)


ผมกับเเม่เลือกพักที่ข้างๆ Komtar ซึ่งเป็นตึกที่สูงที่สุดในปีนัง ด้านบนมีสกายวอล์ค ด้านล่างเป็นชุมทางรถเมล์ คล้ายๆอนุสาวรีชัยบ้านเรา ที่เลือกพักแถวนี้เพราะคิดว่ามันสะดวกดี เเต่มารู้ทีหลังว่า ..

พักตรงไหนก็เหมือนกันนั่นเเหละ เพราะนั่ง Grab ลูกเดียว


สิ่งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกก็คือตึกที่ถูกสร้างในสไตล์ชิโนโปรตูกีส (คล้ายๆที่เมืองเก่าภูเก็ต แต่ที่ปีนังนี่คือเยอะมากกก มีแต่ตึกแบบนี้ทั้งเมือง เดินทั้งวันก็ไม่เบื่อ เเต่ร้อนโว้ยย)


Day 1


กำหนดการออกเดินทาง คือ 7 โมงเช้า จากตัวเมืองกระบี่ โดยรถตู้จะวนรับผู้โดยสารในตัวเมืองจนครบ (ส่วนมากจะเป็นชาวต่างชาติ) ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังหาดใหญ่เพื่อเปลี่ยนรถ เราจะถึงหาดใหญ่ประมาณ 11.30 น. และรอรถที่มาเปลี่ยน ซึ่งจะออกประมาณ 12.30 น. ไปยังด่าน อำเภอสะเดา เพื่อผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งเป็นไปได้ด้วยความโฟลว์เพราะ ตม. มาเลเซีย ไม่เคยถามคำถามอะไรทั้งนั้น มีหาวใส่ด้วย และเราก็เเค่ยื่นพาสปอร์ตให้เขา ก่อนเเสกนลายนิ้วมือเป็นเสร็จสิ้นกระบวนการ


ประมาณ 6 โมงเย็น หลังจากวนส่งผู้โดยสารครบทั้งหมด เหลือสองเเม่ลูกจากกระบี่เป็นคู่สุดท้าย เราก็มาถึงที่พักจนได้ เป็นน รร. ขนาดเล็กกระทัดรัด ชื่อว่า 118 Hotel ตั้งอยู่ใกล้ๆกับวัดฮินดูหลังนี้เเหละ


เราเช็กอินอย่างรวดเร็ว และรีบเดินไปหาอะไรทานที่ Kimberley Street คล้ายๆถนนคนเดินบ้านเรา

เดินไปตรงซอยนี้


และนี่คือ Street art ภาพเเรกที่เราพบครับ อยู่ในตรอกใกล้ๆร้าน Backlane ก่อนที่จะเลี้ยวไปยัง Kimberley Street


อาหารที่เราเลือกกินก็คือ ชาก๋วยเตี๋ยว (อ่านงี้ปะวะ) เขียนเป็นภาษาอังกฤษว่า Cha Kuoay Tiew มั้ง คนขายตะโกนว่า ผัดทายย ผัดทายย ซิมิล่า ทู ผัดทายย คัม คัม เทค อะ ซี๊ท

เรียกขนาดนี้แม่ก็รีบดึงมือผมเข้าไปนั่งอย่างรวดเร็ว ทาสการตลาดที่แท้ทรู


Street art ซ่อนตัวอยู่ทุกที่ แม้กระทั่งตรงที่เขาล้างจาน


ด้านบนอาคารก็มี


ซอกตึกก็ไม่เว้น


เดินเรื่อยๆ เหนื่อยก็หยุดพัก เเล้วก็เดินต่อ

Kimberley Street ยามเย็น


พอตกค่ำ เราก็เรียก Grab กลับโรงเเรม โดยให้ Grab ไปส่งตรงหน้าห้าง กามา (ชื่อน่าหวาดหวั่นมาก) สิริราคา 5 ริงกิต หรือประมาณ 40 บาท


Day 2



รุ่งเช้าของวันที่ 2 เราตั้งนาฬิกาปลุกไว้ที่ ตี5 เพื่อจะไปขึ้นปีนังฮิลล์ให้ทันรอบเช้า เพราะกลัวคนเยอะ แต่พอไปถึง คนก็เยอะอยู่ดีนั่นเเหละ ..สำหรับการเดินทางมาที่นี่ ถ้าเรียก Grab ราคาจะอยู่ที่ 10 ริงกิต เเต่พวกเราเลือกนั่งรถเมล์มาจากใต้ตึก Komtar ราคาคนละ 2 ริงกิต (โปรดเตรียมเงินมาให้พอเพราะคนขับจะไม่ทอนให้ และให้เราขึ้นจากด้านหน้ารถ เท่านั้น!)

ณ จุดนี้กำเงินไปคนละ 30 ริงกิต (ประมาณ 240 บาท) เพื่อซื้อตั๋วรถรางแบบไป-กลับ หรือใครจะเดินขึ้นไปเองก็ได้ไม่ว่ากัน ได้ยินมาว่าใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงเอ๊งงงง


สถานีรถรางไปปีนังฮิลล์


วิวจากด้านบนปีนังฮิลล์ ซึ่งมองอะไรไม่ค่อยเห็นเพราะหมอกควันค่อนข้างหนา


ด้านบนจะมีศาสนสถานของศาสนาฮินดู เเละอิสลาม แถมยังมีทางเดินชมธรรมชาติ The Habitat ยอดฮิต (ตรงนี้เราไม่ได้ไปเพราะเเพงไปนิด 40 ริงกิต) Owl Museum (ก็ไม่ได้เข้า) แถมยังมีจุดที่คู่รักจะไปคล้องกุญแจไว้ด้วยกันเหมือนที่เกาหลี ฝรั่งเศส ฮ่องกง ปาย (สรุปคือมีทุกที่)


วัดฮินดูสีสันสุดจี๊ดจ๊าด


ราคาอาหารบนปีนังฮิลล์แพงกว่าด้านล่างนิดหน่อย แต่ก็พอรับได้เพราะปริมาณค่อนข้างเยอะ จานนี้คือ Nasi Lemak ซอสเเดงๆซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของอาหารมาเลเซีย กินคู่กับไก่ทอด ไข่ต้น ถั่วคั่ว เเละปลาชิ้งชั้ง


สดชื่นเหมือนยืนบนไหล่เขา


แดดร่ม ลมตก วิหกร้อง ก็ได้เวลาลงมาจากปีนังฮิลล์เรานั่งรถเมล์สาย 204 ไปลงที่สถานีหน้าวัด เก๊ก ลก สี่ (Kek Lok Si Temple) ซึ่งมีของขายเยอะเเยะมากมายก่ายกอง พ่อค้าเเม่ค้าพูดไทยปร๋อ .. ตัวนี้สิบเหรียญ ลดไม่ได้เเล้วข่า นี่ถูกมากเเล้วข่า

แต่ตัววัดดันมารีโนเวทกันตอนนี้!

ลิฟต์ก็ขึ้นไม่ได้ หลายๆจุดมีผ้าคลุมไว้ มีนั่งร้านมากมาย เราได้เเต่ยืนมองด้วยสายตาละห้อย เดินจ้อยคอตกออกมา ถ่ายรูปจากระยะไกลเเบบนี้ก็ได้


เพราะความร้อนระอุของสภาพอากาศ เราเลยตัดสินใจเรียก Grab มุ่งหน้าไปยัง Chew Jetty ชุมชนริมทะเล
Chew Jetty เป็นเเหล่งรวมของฝาก ของขึ้นชื่อคือไอศกรีมทุเรียน ชุมชนริมน้ำแห่งนี้ตั้งอยู่ไม่ไกลจาก Armenian Street ถนนสายหลักในการตามล่า Street art และถัดไปไม่ไกลจะมี Food Court น่านั่ง พร้อมดนตรีสดยามค่ำคืน


สตรีทอาร์ทใน Chew Jetty


และนี่คือภาพที่ผมตามหา Folklore by the Sea ที่แสดงวิถีชีวิตของชาวบ้านที่อาศัยอยู่ใกล้ๆทะเล

[มีต่อในส่วนของข้อมูลค่าใช้จ่ายกับการเดินทางอีกนิดนะครับ]
ชื่อสินค้า:   Penang Malaysia
คะแนน:     

CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้

  • - จ่ายเงินซื้อเอง หรือได้รับจากคนรู้จักที่ไม่ใช่เจ้าของสินค้า เช่น เพื่อนซื้อให้
  • - ไม่ได้รับค่าจ้างและผลประโยชน์ใดๆ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่