ในซีซั่น 1 และ 2 ต้นๆ มันจะเป็นเรื่องของการไขคดี สืบสวนล่าตัวอาชญากร โดยมีอาชญากรตัวเอ้ หรือเจ้าพ่อที่มีอิทธิพล มาร่วมมือกับ FBI เพื่อเดินแผนจัดระเบียบสังคมและจัดระบบอำนาจตามแบบของตัวเอง
พอเริ่มถึงปลายซีซั่น 2 เรื่อยมาถึงซีซั่น 6 มันก็ยังคงเป็นแนวสืบสวนอยู่ แต่มันมีสีสันมีบทหลากหลายขึ้น มีเรื่องของการวางแผนชิงไหวชิงพริบระหว่างเจ้าพ่อผู้มีอิทธิพลฝ่ายต่างๆ มีมาเฟียหรือคนมีอิทธิพลที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐบาล, CIA แล้วก็มีเรื่องการหักเหลี่ยมกัน ใช้ความคิดต่อรองกัน
เสน่ห์อย่างนึงของเรื่องนี้ก็ไม่พ้นเกี่ยวกับความรักความสัมพันธ์ของสมาชิกครอบครัว และชีวิตรักของตัวละครต่างๆ และที่โดดเด่นเป็นหัวใจหลักของเรื่องคือความสัมพันธ์ของตัวเอกในเรื่อง
เรย์มอนด์ เรดดิงตัน และเจ้าหน้าที่
อลิซซาเบท คีน ที่มีความผูกพันกันเหมือนพ่อลูก ยอมทำทุกอย่างเพื่อปกป้องซึ่งกัน
ซึ่งหนังก็ผูกปมเอาไว้เป็นเงื่อนงำว่าตกลงแล้วเขาเป็นพ่อลูกกันรึเปล่า ซึ่งแฟนๆก็ลุ้นและหวังว่าซีซั่น 7 จะมีคำตอบ หรือซีรีส์อาจจะดึงยืดออกไป หรือจะจบแบบคาปมเอาไว้ไม่มีคำตอบก็ยังไม่รู้แน่ชัด
เรื่องนี้ไม่ใช่หนังอวยชาติแนวให้อเมริกาเป็นพระเอก แต่สื่อออกมาเกือบจะสะท้อนความเป็นจริงว่า ประเทศต่างๆมักมีผู้มีอิทธิพล มีเครือข่ายมาเฟียกุมอำนาจและเดินหมากเดินเกมอยู่เบื้องหลัง แล้วก็มีคนของรัฐบาลที่เป็นเครือข่ายเจ้าพ่อ เครือข่ายอาชญากรกันทั้งนั้น
โดยในเรื่องอาจไม่ถึงพูดถึงกลุ่ม ยิวไซออนิสต์ หรือ ฟรีเมสัน อะไรเหล่านี้ แต่ได้อุปโลกน์สมมุติกลุ่มขึ้นมาในเรื่องชื่อว่า "คาบาล" ซึ่งมีอิทธิพลเดินเกมอยู่เบื้องหลังรัฐบาลสหรัฐและประเทศอื่นๆ รวมทั้ง CIA
ถ้าพูดถึงแนวอาชญากรแล้ว ผมจะชอบสไตล์นี้เป็นการส่วนตัว คือปกติจะไม่ชอบแนวอวยเจ้าหน้าที่รัฐว่าซื่อสัตย์โปร่งใส เหมือนพวกแนว Breaking bad และ Better call Saul ที่เหมือนทำนิทานสอนประชาชนว่า ต้องรักษากฎหมายนะ ถ้าเป็นอาชญากรหรือมีเล่ห์เหลี่ยมต่อกฎหมายแสดงว่าเป็นคนไม่ดี สุดท้ายจะไม่ได้ดี ส่วนเจ้าหน้าที่รัฐคือดี กระบวนการยุติธรรมดี รัฐบาลดี (เวลามีหนังออกมาแนวนี้ผมจะรู้สึกว่าน้ำเน่า ไม่ได้ถ่ายทอดความเป็นจริงของโลก)
ใน The blacklist มันก็มีเหมือนกันที่มีบทบาทของเจ้าหน้าที่รัฐ ตำรวจ อัยการ ศาล ที่เถรตรงซื่อสัตย์ แต่มันมีก็มีบทอีกขั้วนึงด้วย คือทำให้เห็นว่าเจ้าหน้าที่รัฐดีๆมันก็ต้องมีสีเทาบ้าง ทำเพื่อประโยชน์ตัวเองหรือพวกพ้องบ้าง ขณะเดียวกันก็มีเจ้าหน้าที่รัฐที่ไม่โปร่งใส ตั้งแต่ระดับประธานาธิบดี แล้วก็มีระดับคนในรัฐบาล ซีไอเอ และตำรวจ ที่เป็นมาเฟียหรือมีผลประโยชน์ร่วมกับมาเฟีย
มาถึงตอนนี้ให้คะแนนคร่าวๆ 8.8 เต็ม 10 ละกัน แต่สุดท้ายก็ต้องรอดูวิธีจบว่าจะปิดฉากได้ดีมั้ย เพราะส่วนมากซีรีส์แถวหน้าหลายๆเรื่องพอทำยืดยาวแล้วหลังๆมักจะออกทะเลหรือปิดฉากไม่สวยและเรตติ้งตกไป แต่สำหรับ The blacklist ตอนนี้กระแสตอบรับยังถือว่าดี แฟนๆไม่ผิดหวัง
The blacklist ซีรีส์ชั้นดี ที่มีอะไรให้ติดตามค้นหา
ในซีซั่น 1 และ 2 ต้นๆ มันจะเป็นเรื่องของการไขคดี สืบสวนล่าตัวอาชญากร โดยมีอาชญากรตัวเอ้ หรือเจ้าพ่อที่มีอิทธิพล มาร่วมมือกับ FBI เพื่อเดินแผนจัดระเบียบสังคมและจัดระบบอำนาจตามแบบของตัวเอง
พอเริ่มถึงปลายซีซั่น 2 เรื่อยมาถึงซีซั่น 6 มันก็ยังคงเป็นแนวสืบสวนอยู่ แต่มันมีสีสันมีบทหลากหลายขึ้น มีเรื่องของการวางแผนชิงไหวชิงพริบระหว่างเจ้าพ่อผู้มีอิทธิพลฝ่ายต่างๆ มีมาเฟียหรือคนมีอิทธิพลที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐบาล, CIA แล้วก็มีเรื่องการหักเหลี่ยมกัน ใช้ความคิดต่อรองกัน
เสน่ห์อย่างนึงของเรื่องนี้ก็ไม่พ้นเกี่ยวกับความรักความสัมพันธ์ของสมาชิกครอบครัว และชีวิตรักของตัวละครต่างๆ และที่โดดเด่นเป็นหัวใจหลักของเรื่องคือความสัมพันธ์ของตัวเอกในเรื่อง เรย์มอนด์ เรดดิงตัน และเจ้าหน้าที่ อลิซซาเบท คีน ที่มีความผูกพันกันเหมือนพ่อลูก ยอมทำทุกอย่างเพื่อปกป้องซึ่งกัน
ซึ่งหนังก็ผูกปมเอาไว้เป็นเงื่อนงำว่าตกลงแล้วเขาเป็นพ่อลูกกันรึเปล่า ซึ่งแฟนๆก็ลุ้นและหวังว่าซีซั่น 7 จะมีคำตอบ หรือซีรีส์อาจจะดึงยืดออกไป หรือจะจบแบบคาปมเอาไว้ไม่มีคำตอบก็ยังไม่รู้แน่ชัด
เรื่องนี้ไม่ใช่หนังอวยชาติแนวให้อเมริกาเป็นพระเอก แต่สื่อออกมาเกือบจะสะท้อนความเป็นจริงว่า ประเทศต่างๆมักมีผู้มีอิทธิพล มีเครือข่ายมาเฟียกุมอำนาจและเดินหมากเดินเกมอยู่เบื้องหลัง แล้วก็มีคนของรัฐบาลที่เป็นเครือข่ายเจ้าพ่อ เครือข่ายอาชญากรกันทั้งนั้น
โดยในเรื่องอาจไม่ถึงพูดถึงกลุ่ม ยิวไซออนิสต์ หรือ ฟรีเมสัน อะไรเหล่านี้ แต่ได้อุปโลกน์สมมุติกลุ่มขึ้นมาในเรื่องชื่อว่า "คาบาล" ซึ่งมีอิทธิพลเดินเกมอยู่เบื้องหลังรัฐบาลสหรัฐและประเทศอื่นๆ รวมทั้ง CIA
ถ้าพูดถึงแนวอาชญากรแล้ว ผมจะชอบสไตล์นี้เป็นการส่วนตัว คือปกติจะไม่ชอบแนวอวยเจ้าหน้าที่รัฐว่าซื่อสัตย์โปร่งใส เหมือนพวกแนว Breaking bad และ Better call Saul ที่เหมือนทำนิทานสอนประชาชนว่า ต้องรักษากฎหมายนะ ถ้าเป็นอาชญากรหรือมีเล่ห์เหลี่ยมต่อกฎหมายแสดงว่าเป็นคนไม่ดี สุดท้ายจะไม่ได้ดี ส่วนเจ้าหน้าที่รัฐคือดี กระบวนการยุติธรรมดี รัฐบาลดี (เวลามีหนังออกมาแนวนี้ผมจะรู้สึกว่าน้ำเน่า ไม่ได้ถ่ายทอดความเป็นจริงของโลก)
ใน The blacklist มันก็มีเหมือนกันที่มีบทบาทของเจ้าหน้าที่รัฐ ตำรวจ อัยการ ศาล ที่เถรตรงซื่อสัตย์ แต่มันมีก็มีบทอีกขั้วนึงด้วย คือทำให้เห็นว่าเจ้าหน้าที่รัฐดีๆมันก็ต้องมีสีเทาบ้าง ทำเพื่อประโยชน์ตัวเองหรือพวกพ้องบ้าง ขณะเดียวกันก็มีเจ้าหน้าที่รัฐที่ไม่โปร่งใส ตั้งแต่ระดับประธานาธิบดี แล้วก็มีระดับคนในรัฐบาล ซีไอเอ และตำรวจ ที่เป็นมาเฟียหรือมีผลประโยชน์ร่วมกับมาเฟีย
มาถึงตอนนี้ให้คะแนนคร่าวๆ 8.8 เต็ม 10 ละกัน แต่สุดท้ายก็ต้องรอดูวิธีจบว่าจะปิดฉากได้ดีมั้ย เพราะส่วนมากซีรีส์แถวหน้าหลายๆเรื่องพอทำยืดยาวแล้วหลังๆมักจะออกทะเลหรือปิดฉากไม่สวยและเรตติ้งตกไป แต่สำหรับ The blacklist ตอนนี้กระแสตอบรับยังถือว่าดี แฟนๆไม่ผิดหวัง