Disclaimer: กระทู้นี้เป็นเพียงการนำเสนอข้อเท็จจริงและความคิดเห็นส่วนตัวในบางส่วนจากประสบการณ์ตรงของผู้เขียน ไม่ได้มีบรรทัดไหนที่มีเจตนาชี้ชวนหรือแนะนำในการลงทุน
สืบเนื่องจากประชุมผู้ถือหุ้น UV ในวันศุกร์ผ่านมา
ประชุมผู้ถือหุ้น UV ซึ่งเป็นการประชุมที่พลาดไม่ได้เลยเนื่องด้วยวาระสำคัญ ในวาระการประชุมที่ 2 คือการลงคะแนนเสียงอนุมัติการขายหุ้น Goldenland ที่ UV ถืออยู่ในอัตรา 39.28% ในราคาเพียงแค่ 8.5 บาทต่อหุ้นเท่านั้น ซึ่งถือว่าเป็นการประเมินที่ต่ำกว่ามูลค่าและอีกทั้งเป็นการขายธุรกิจGOLD ที่เป็น Growth stock และเป็นแหล่งที่มาของรายได้หลักของบริษัท Univenture ออกไปในราคาไม่สมศักดิ์ศรี
ก่อนที่เราจะมาพูดถึงกระบวนการ delisting หรือเพิกถอนหลักทรัพย์ เราจะพูดถึงประวัติความเป็นมาของหุ้นหลักๆในพอร์ตของเสี่ยก่อน
ซึ่งที่พระเอกของเราก็คือ UV กับ Gold นั่นเอง
เริ่มจากประวัติความเป็นมาของบริษัทมาก่อน
ในช่วงปี 2555 เป็นช่วงที่มีข่าวคึกโครมกันทั้งประเทศเมื่อ เสี่ยเจริญได้ประกาศอภิมหาดีลระดับประเทศของการเข้าซื้อหุ้น F&N
และ
ในปี2550 เสี่ยได้ใช้บริษัท อเดลฟอร์สในการเข้าทำเทนเดอร์ Offer ซื้อหุ้นบริษัท Univenture ในอัตราส่วน 50%
และในปี 2555 ใช้บริษัท Univenture ในการเทค Over golden land ในช่วงไทม์ไลน์ที่ใกล้เคียงกัน
โดยการที่ใช้ UV มา Takeover golden land นั้นก็เพื่อให้เกิดกระแสเงินสดสำหรับเดินงานในธุรกิจ Gold
ในช่วงนั้นที่ gold ถูก takeover นั้น ผมเพิ่งเข้ามหาวิทยาลัย และเป็นเรื่องน่าประหลาดใจสำหรับคนที่ความรู้น้อยอย่างผมมาก ว่าเสี่ยสนใจบริษัทนี้ไปทำไมในเมื่อผลประกอบการยังขาดทุนอยู่
แต่ความจริงแล้วสิ่งที่เสี่ยสนใจไม่ใช่กำไรเลยแต่มันคือ
Assets ต่างๆที่ยังไม่ได้ถูก write up ต่างหาก ไม่ว่าจะเป็นโรงแรมต่างๆระดับ 5ดาวในย่านสาธรและหลังสวน และ office เกรดเอในย่านเพลินจิต
ยกตัวอย่างเช่น Marriott Mayfair , Ascott Bangkok , Sathorn Square
Asset ที่ยังไม่ได้ถูก write upคือ หมายความว่าทรัพย์สินเหล่านั้นมันยังไม่ได้ถูกปรับราคาให้อยู่ในมูลค่าที่แท้จริงของมัน
พูดกันง่ายๆภาษาชาวบ้านคือ"
เราได้ซื้อโรงแรมหรูๆและออฟฟิศหรูๆกันมาในราคาที่ถูกๆนะครับ"
ซึ่งถึงแม้ว่าgold จะมีหนี้มหาศาลและ UV จะมีหนี้มหาศาลจากการ takeover เช่นกันแต่ทุกปัญหามีทางออกในเมื่อท่านคือผู้นำในการ financial engineering ท่านจึงได้ ออก หุ้นเพิ่มทุน pp และ property fund ออกมารวมไปถึงการลดทุนจดทะเบียนบริษัทเพื่อล้างขาดทุนสะสม ทำให้เกิดกระแสเงินสดหลายพันล้านเกิดเป็นสภาพคล่องไปดำเนินงานกิจการไปได้อย่างสะดวกและดีทีเดียว
เมื่อเกิดเป็น Property fund แม้จะทำให้มีภาระต้องแบ่งปันผลจ่ายในราคาสูงแต่ก็ทำให้เกิดกระแสเงินสดมาดำเนินงาน ซื้ออสังหาริมทรัพย์มาพัฒนา โดย ธุรกิจหลักของ Gold คือพัฒนาและขายอสังหาในแนวราบ (บ้านเดี่ยว) และ ธุรกิจการให้เช่า แบ่งเป็น ออฟฟิศ อพาร์ทเม้นท์และโรงแรม 5 ดาว ซึ่งเป็น recurring income ที่เกิดจาก Asset เดิมที่ Takeover มาบริหาร
เนื่องจาก Detail จริงๆมันเยอะมากๆเราจะขอข้ามช็อตไปดู
ผลประกอบการที่ผ่านมาหลังจากการถูก Take over
นับจาก ปี 2557 ที่มีกำไร EPS(Earning per share)ที่ 0.20 บาทต่อหุ้น
และมาจนถึงปัจจุบันในปี Q1 ปี 2561 เรามีกำไรที่ 0.91 บาทต่อหุ้น!!
และหากวัดจากนั่นหมายความว่ากำไรจาก Q1 ปี 2557 กับ ไตรมาสล่าสุด Q2 ปี 2562
0.04 กับ 0.28
ผ่านไป 5 ปี
กำไรต่อหุ้นโตขึ้นมาถึง 600% พระเจ้าช่วยด้วยยยยยย ย ยยยยยย!!!!นี่มันหุ้นห่านทองคำอะไรกันนี่!!!!!???
และหากท่านลองสังเกตดูดีๆ ว่า จาก EBITDA(กำไรขั้นต้น) ของในปี 2557 เมื่อเทียบกับ 2561
EBITDA ของทั้งปี 2557 ยังแทบเทียบไม่ได้กับกำไรเพียงแค่ 1 Quarter ของปี 2561 !!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
เอาล่ะสิ
ในขณะที่กำไรของบริษัทอสังหาที่ผ่านมาบางบริษัทนั้นรูดลงอย่างต่อเนื่องแต่กลับมีบางบริษัทกำไรพุงปลิ้นอย่างต่อเนื่องในสมรภูมิรบอันดุเดือดของ Housing Market
นี่เป็นเพียงการเกริ่นนำเท่านั้นครับ เดี๋ยวไว้ดึกๆผมจะมาเขียนต่อในเรื่องของ
-เป้าหมายธุรกิจของ Gold เหตุผลที่ว่าทำไมถึงต้องเพิกถอนให้ได้
-Recurring income รายได้ที่มั่นคงของ บริษัทอสังหา
-สิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากการ Delist (เพิกถอน)
-ราคาไหนที่เหมาะสม ราคาที่ผู้บริหารใช้คำนวน
-โครงสร้างผู้ถือหุ้น ขั้นตอนการ Delist (เพิกถอน)
-คำแก้ต่างบางส่วนของที่ปรึกษาอิสระ (ฟังแล้วมันน่าเจ็บใจสุดๆ)
[เกมที่รายย่อยแพ้ราบคาบ]ผ่าแผนอสังหาของเจริญ ศิริวัฒนภักดี ภายใต้หุ้น UV & Gold
สืบเนื่องจากประชุมผู้ถือหุ้น UV ในวันศุกร์ผ่านมา
ประชุมผู้ถือหุ้น UV ซึ่งเป็นการประชุมที่พลาดไม่ได้เลยเนื่องด้วยวาระสำคัญ ในวาระการประชุมที่ 2 คือการลงคะแนนเสียงอนุมัติการขายหุ้น Goldenland ที่ UV ถืออยู่ในอัตรา 39.28% ในราคาเพียงแค่ 8.5 บาทต่อหุ้นเท่านั้น ซึ่งถือว่าเป็นการประเมินที่ต่ำกว่ามูลค่าและอีกทั้งเป็นการขายธุรกิจGOLD ที่เป็น Growth stock และเป็นแหล่งที่มาของรายได้หลักของบริษัท Univenture ออกไปในราคาไม่สมศักดิ์ศรี
ก่อนที่เราจะมาพูดถึงกระบวนการ delisting หรือเพิกถอนหลักทรัพย์ เราจะพูดถึงประวัติความเป็นมาของหุ้นหลักๆในพอร์ตของเสี่ยก่อน
ซึ่งที่พระเอกของเราก็คือ UV กับ Gold นั่นเอง
เริ่มจากประวัติความเป็นมาของบริษัทมาก่อน
ในช่วงปี 2555 เป็นช่วงที่มีข่าวคึกโครมกันทั้งประเทศเมื่อ เสี่ยเจริญได้ประกาศอภิมหาดีลระดับประเทศของการเข้าซื้อหุ้น F&N
และ
ในปี2550 เสี่ยได้ใช้บริษัท อเดลฟอร์สในการเข้าทำเทนเดอร์ Offer ซื้อหุ้นบริษัท Univenture ในอัตราส่วน 50%
และในปี 2555 ใช้บริษัท Univenture ในการเทค Over golden land ในช่วงไทม์ไลน์ที่ใกล้เคียงกัน
โดยการที่ใช้ UV มา Takeover golden land นั้นก็เพื่อให้เกิดกระแสเงินสดสำหรับเดินงานในธุรกิจ Gold
ในช่วงนั้นที่ gold ถูก takeover นั้น ผมเพิ่งเข้ามหาวิทยาลัย และเป็นเรื่องน่าประหลาดใจสำหรับคนที่ความรู้น้อยอย่างผมมาก ว่าเสี่ยสนใจบริษัทนี้ไปทำไมในเมื่อผลประกอบการยังขาดทุนอยู่
แต่ความจริงแล้วสิ่งที่เสี่ยสนใจไม่ใช่กำไรเลยแต่มันคือ Assets ต่างๆที่ยังไม่ได้ถูก write up ต่างหาก ไม่ว่าจะเป็นโรงแรมต่างๆระดับ 5ดาวในย่านสาธรและหลังสวน และ office เกรดเอในย่านเพลินจิต
ยกตัวอย่างเช่น Marriott Mayfair , Ascott Bangkok , Sathorn Square
Asset ที่ยังไม่ได้ถูก write upคือ หมายความว่าทรัพย์สินเหล่านั้นมันยังไม่ได้ถูกปรับราคาให้อยู่ในมูลค่าที่แท้จริงของมัน
พูดกันง่ายๆภาษาชาวบ้านคือ"เราได้ซื้อโรงแรมหรูๆและออฟฟิศหรูๆกันมาในราคาที่ถูกๆนะครับ"
ซึ่งถึงแม้ว่าgold จะมีหนี้มหาศาลและ UV จะมีหนี้มหาศาลจากการ takeover เช่นกันแต่ทุกปัญหามีทางออกในเมื่อท่านคือผู้นำในการ financial engineering ท่านจึงได้ ออก หุ้นเพิ่มทุน pp และ property fund ออกมารวมไปถึงการลดทุนจดทะเบียนบริษัทเพื่อล้างขาดทุนสะสม ทำให้เกิดกระแสเงินสดหลายพันล้านเกิดเป็นสภาพคล่องไปดำเนินงานกิจการไปได้อย่างสะดวกและดีทีเดียว
เมื่อเกิดเป็น Property fund แม้จะทำให้มีภาระต้องแบ่งปันผลจ่ายในราคาสูงแต่ก็ทำให้เกิดกระแสเงินสดมาดำเนินงาน ซื้ออสังหาริมทรัพย์มาพัฒนา โดย ธุรกิจหลักของ Gold คือพัฒนาและขายอสังหาในแนวราบ (บ้านเดี่ยว) และ ธุรกิจการให้เช่า แบ่งเป็น ออฟฟิศ อพาร์ทเม้นท์และโรงแรม 5 ดาว ซึ่งเป็น recurring income ที่เกิดจาก Asset เดิมที่ Takeover มาบริหาร
เนื่องจาก Detail จริงๆมันเยอะมากๆเราจะขอข้ามช็อตไปดู
ผลประกอบการที่ผ่านมาหลังจากการถูก Take over
นับจาก ปี 2557 ที่มีกำไร EPS(Earning per share)ที่ 0.20 บาทต่อหุ้น
และมาจนถึงปัจจุบันในปี Q1 ปี 2561 เรามีกำไรที่ 0.91 บาทต่อหุ้น!!
และหากวัดจากนั่นหมายความว่ากำไรจาก Q1 ปี 2557 กับ ไตรมาสล่าสุด Q2 ปี 2562
0.04 กับ 0.28
ผ่านไป 5 ปี
กำไรต่อหุ้นโตขึ้นมาถึง 600% พระเจ้าช่วยด้วยยยยยย ย ยยยยยย!!!!นี่มันหุ้นห่านทองคำอะไรกันนี่!!!!!???
และหากท่านลองสังเกตดูดีๆ ว่า จาก EBITDA(กำไรขั้นต้น) ของในปี 2557 เมื่อเทียบกับ 2561
EBITDA ของทั้งปี 2557 ยังแทบเทียบไม่ได้กับกำไรเพียงแค่ 1 Quarter ของปี 2561 !!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
เอาล่ะสิ
ในขณะที่กำไรของบริษัทอสังหาที่ผ่านมาบางบริษัทนั้นรูดลงอย่างต่อเนื่องแต่กลับมีบางบริษัทกำไรพุงปลิ้นอย่างต่อเนื่องในสมรภูมิรบอันดุเดือดของ Housing Market
นี่เป็นเพียงการเกริ่นนำเท่านั้นครับ เดี๋ยวไว้ดึกๆผมจะมาเขียนต่อในเรื่องของ
-เป้าหมายธุรกิจของ Gold เหตุผลที่ว่าทำไมถึงต้องเพิกถอนให้ได้
-Recurring income รายได้ที่มั่นคงของ บริษัทอสังหา
-สิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากการ Delist (เพิกถอน)
-ราคาไหนที่เหมาะสม ราคาที่ผู้บริหารใช้คำนวน
-โครงสร้างผู้ถือหุ้น ขั้นตอนการ Delist (เพิกถอน)
-คำแก้ต่างบางส่วนของที่ปรึกษาอิสระ (ฟังแล้วมันน่าเจ็บใจสุดๆ)