จากเด็กบ้านนอก...สู่เด็กนอก....ผมอยากไปเรียนเมืองนอกครับ

อยากไปเรียนนอกทำยังไงดี...คำถามนี้คงไม่ต้องมีอะไรยากสำหรับลูกผู้มีสตางค์ เพียงแค่พร้อมเมื่อไหร่ ก็แพ็คกระเป๋าแล้วก็บิน...แต่สำหรับเด็กบ้านนอกอย่างผมแล้ว พ่อแม่ ไม่มีสตางค์ส่งไปเรียนนอกแน่นอน...แม้กระทั่งค่าเทอมเข้ามหาวิทยาลัยยังต้องคิดยาก...การไปเรียนเมืองนอกของผมมันช่างแลกมากับอย่างแรกเลยก็คือความฝัน ความพยายาม ความตั้งใจ และอีกอย่างที่สำคัญสุดๆเหมือนกันก็คือ “ภาษาอังกฤษ”

ขอเล่าถึงภาษาอังกฤษนิดนึง บังเอิญว่าผมมีความทรงจำตอนเด็ก ๆที่ชัดเจนมาก จริงๆแล้ว จำได้ตั้งแต่อนุบาลซะด้วยซ้ำ แต่ไม่เกี่ยวกับเรื่องที่เขียนตอนนี้ ก็เลยเริ่มตอนประถมล่ะกัน...สมัยผมเป็นเด็กบ้านนอก ป.1 – ป. 4 ก็จะมีแค่วิชาหลัก ๆ แค่ กพอ สลน สปช คณิตศาสตร์ ภาษาไทย ส่วนวิชาภาษาอังกฤษนั้นจะมาเริ่มตอน ป. 5 ซึ่งตอนปิดเทอมตอนป. 4 จะขึ้น ป. 5 นั้น แม่ผมได้ย้ำว่า “วิชาภาษาอังกฤษ เป็นวิชาที่เพิ่มเติมมาอีกวิชานึง ดังนั้น เราควรให้ความสำคัญและต้องสนใจ และตั้งใจเรียนเป็นพิเศษ” ดูสิครับ vision ของคุณแม่ผม แม่ค้าที่ บขส. ที่จังหวัดทางถาคอีสาน ผู้ซึ่งเรียนจบแค่ชั้น มศ. 3 จะมองได้เห็นอนาคตได้ไกลขนาดนี้ ซึ่งผมก็ทำตาม ผมตั้งใจเรียนภาษาอังกฤษมาตั้งแต่ ป. 5 เป็นต้นมา ซึ่งผมก็ทำได้ดีซะด้วยสิ พอจบ ป.6 จะเข้าม. 1 เพื่อน ๆผมก็พากันไปสอบเข้า สาธิต มข. พากันเข้า กทม.กัน บางคน...ส่วนผมน่ะเหรอครับ ก็คงอยู่บ้านนอกต่อไป

พอเข้ามาชั้น ม. 1 ที่โรงเรียนประจำจังหวัด ข่าวรุ่นพี่คนนึงดังทั่วเมือง ซึ่งผมกับพี่เขาไม่รู้จักกันเป็นการส่วนตัว และก็ไม่เคยเจอ ไม่เคยคุยกันด้วยซ้ำ แต่ชื่อพี่เขาได้รับการกล่าวขานเป็นอย่างมาก...เพราะอะไรนั่นเหรอครับ ก็เพราะพี่เขาเป็นคนแรกของโรงเรียน ในตอนนั้น ที่สามารถสอบได้ทุน ก.พ. ไปเรียนต่อที่ประเทศเยอรมันนีได้... เพราะชื่อพี่คนนี้กรอกหูทุกวันๆๆๆ จึงทำให้ผมคิดว่า เอาล่ะ...อยากไปเมืองนอกเหมือนพี่เขาจังเลย อยากไปๆๆ ทำไงดี ตอนนั้นเป็นแฟนคลับ ประจำพี่เขาเลยครับ...พอพี่เขาไปเยอรมัน ก็จะเขียนจดหมายกลับมาโรงเรียน ครูแนะแนวก็จะเอาไปติดไว้หน้าห้องแนะแนว ผมน่ะเหรอครับ..ไปอ่าน จม. ของพี่เขาทุกฉบับ ที่หน้าห้องแนะแนว ที่ อาคาร 1 ผมถือว่าพี่คนนี้แหละ เป็นแรงบันดาลใจทำให้ผมอยากมาต่างประเทศ และหลังจากนั้นมารุ่นพี่ก็ได้ทุน ก.พ. อีกนั่นแหละไปเรียนต่อ ป.ตรี ถึง ป.เอกที่สหรัฐอเมริกา และหลังจากนั้น ทุกๆปี รุ่นพี่ๆ ก็พากันสอบได้ทุน ก.พ. ปีละคน สองคนบ้าง ยิ่งทำให้ผมอยากไปเมืองนอกเข้าไปใหญ่ แต่ก็เอาว่ะ...ประเทศไหนก็ได้ตอนนั้น ขอให้ได้ไปเมืองนอก เพราะอยากไปบักคัก (อยากไปมาก) ตอนม. 3 ก็มีทุน ก.พ. ได้ไปเรียน ม. 4 ถึง ป.โท ที่ญี่ปุ่น (ญี่ปุ่นก็เอา ขอให้เป็นเมืองนอก) ผมก็ไปสมัครสอบก.พ. สรุปก็ไม่ได้...ซึ่งความตั้งใจที่จะไปเมืองนอก ก็ต้องอกหักไปเป็นครั้งแรก

พอย้อนกลับมาตอน ม. 2 เห็นรุ่นพี่ ม. 3 ลูกอาจารย์หมวดวิทย์ท่านนึงสอบได้ ทุน พสวท. ได้ขึ้นหน้าเสาธง เท่ห์ขนาด พี่เขาเก่งด้วย..พอเราขึ้น ม. 3 ก็เลยไปสอบบ้าง เพราะ อยากเท่ห์ อยากขึ้นหน้าเสาธง บังเอิญว่าสอบได้จริงๆครับ และก็มีคำถามจากเพื่อน ๆรอบข้าง และจากคุณครูบ้างว่า “เธอชอบวิทยาศาสตร์จริงหรือเปล่า” คำตอบก็คือ “ก็ชอบนะ” อยากเป็นนักวิทยาศาสตร์หรือเปล่า..ตอนนั้นคือ ไม่รู้สิ แต่ชอบวิทยาศาสตร์/คณิตศาสตร์ และก็ทำได้ดี และอีกคำถามนึงที่โดนถามก็คือ เธอจะเอาทุน พสวท. เพราะได้ไปเมืองนอกใช่ไหม....คำตอบของผมก็คือ “ใช่เลย” เพราะ เรียนวิทยาศาสตร์เราก็เรียนได้ดี ไม่ได้แย่อะไร บวกกับ มีโอกาสได้ไปเมืองนอก...ทำไมจะไม่เอาล่ะ อีกอย่างถ้าจะรอจบ ม.6 ไปสอบเข้าเรียนหมอ พ่อแม่ ก็คงไม่สามารถจ่ายค่าเทอมระดับมหาลัย เพื่อที่จะเรียนหมอได้แน่นอน....สรุป ผมเอาทุน พสวท. เพราะว่าอยากไปเมืองนอกครับ (ความคิด ณ ตอนนั้นจริง ๆ ) พสวท. สมัยนั้น ส่วนภูมิภาค เขาคัดเลือกเอา 6 คนทั่วภาคอีสาน เพื่อที่ไปฝึกฝนให้เรียนวิทยาศาสตร์อย่างเข้มข้นที่ศูนย์ พสวท. แก่นนครวิทยาลัย สรุปว่าผมก็ได้เริ่มออกจากบ้านตั้งแต่ตอนนั้นมา

พอได้เข้ามาเรียน พสวท ที่แก่นนครได้ปีกว่า ๆ โครงการ พสวท. ก็ทำให้ฝันของผมเป็นจริงขึ้นมาจริง ๆ ซึ่งนั่นก็คือผมได้รับคัดเลือกให้ไปเข้าร่วมโครงการ International Science School ที่ซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลียเป็นเวลาสองสัปดาห์ เพื่อได้รับอบรมกับนักเรียนระดับ high school ที่มาจากทั่วโลกในสาขาวิชาฟิสิกส์...และนั่นแหละเป็นการขึ้นเครื่องบินครั้งแรกของเด็กบ้านนอกอย่างผม การไปออสเตรเลียครั้งนั้นทำให้ผมได้เห็นต่างบ้านต่างเมือง ได้ใช้ภาษาอังกฤษ และทำให้ผมติดใจอยากไปอีก ๆ ดังนั้นความคิดที่ว่าจะไปเรียนต่อที่ต่างประเทศก็ยังมีต่อไป และผมก็ยังรอคอยโอกาสนั้นเรื่อยๆมา

ชีวิตม.ปลายที่ขอนแก่น ก็เป็นไปอย่างสนุกสนานร่าเริง...ความฝันอันนั้นก็ยังไม่เคยเลือนลาง...ยังฝันว่า จบ ม.6 จะสอบชิงทุน พสวท. ไปเรียนสหรัฐอเมริกาให้ได้ ตอนนั้น สหรัฐอเมริกาที่เดียวเลย เพราะเห็นรุ่นพี่หลายๆ คนก็ไปเรียนที่นั่น แต่โชคชะตาช่างโหดร้ายเหลือเกิน ช่วงที่ผมกำลังจะจบม.หก ช่วงปี 2540-2541 ช่วงที่พลเอกชวลิต เป็นนายกรัฐมนตรี ตอนนั้นเศรษฐกิจฟองสบู่แตก ย่ำแยกมาก ผมจำได้ 1 USD เคยถึง 50 THB ช่วงนั้นมองดูค่าเงินบาท ยังกะตัวเองเล่นหุ้นอย่างนั้นแหละ แต่จุดประสงค์ของผมก็คือ แค่จะอธิษฐานให้ค่าเงินบาทช่วงนั้นจะแข็งค่าขึ้นเพื่อที่จะได้มีทุนไปเรียนต่างประเทศกลับคืนมา....สรุปว่าทุนไปเรียนต่างประเทศไม่ว่าของเจ้าไหน ๆ รวมถึง พสวท. โดนตัดหมดครับ...อกหักเป็นครั้งที่สอง 😭

เมื่อ ทุน ป.ตรี – ป.เอก ต่างประเทศโดนตัด เพราะไม่มีเงิน ก็ผมก็เลยต้องได้เข้ามาเรียนคณะวิทยาศาสตร์ ม.ขอนแก่น ตามระเบียบของทุน พสวท. ศูนย์ภาคอีสาน...แต่ความตั้งใจขอผมที่จะมาเรียนเมืองนอกยังไม่ได้หมดไป รอทุนต่อ โท เอก ต่างประเทศก็ได้ สรุปก็ได้เรียนจบ ป.ตรี ที่ขอนแก่นแหละครับ ชีวิตนักศึกษามหาวิทยาลัยนี่ก็ช่างสนุกซะจริง ๆ ถึงแม้ว่าผมไม่ได้ไปเรียนต่างประเทศตั้งแต่ ป.ตรี แต่ชีวิตในรั้วสีอิฐนี่ก็สนุกสนานเหลือเกิน คุ้มค่ามาก ๆ วิชาเลือกเสรีของผมขณะที่อยู่ขอนแก่นนั้นเป็นวิชาทางภาษาของคณะมนุษย์ศาสตร์หมดเลยครับ เคยเข้าไปขอนั่งเรียนวิชา speaking กับอาจารย์ฝรั่ง ตอนแรกหัวหน้าภาควิชาภาษาอังกฤษจะไม่ให้เรียนเกรงว่าจะไม่เหมาะกับผม เพราะเพื่อน ๆร่วมคลาสเรียนเดียวกันนั้นเป็นนักศึกษาคณะมนุษยศาสตร์เอกวิชาภาษาทั้งหมด ผมก็ได้เข้าไปคุยกับหัวหน้าภาควิชาภาษาอังกฤษ และสุดท้ายอาจารย์ท่านก็ให้ผมได้เข้าไป audit เรียนแบบฟรี ๆ หัวเราะ ก็สนุกสนานดีครับ ได้debate กับเพื่อน ๆร่วมชั้นเป็นภาษาอังกฤษ และเนื่องจากว่าผมได้โผล่หน้าไปคณะมนุษยศาสตร์บ่อยมาก จนกระทั่งอาจารย์ประจำคณะท่านนึงถามผมว่า “ทำไมเธอไม่สอบเข้ามาเรียนคณะนี้เลยล่ะ ไปเรียนวิทยาศาสตร์ทำไม” เห็นไหมล่ะครับวิสัยทัศน์ของคุณนายแม่ผม ผู้ซึ่งจบการศึกษาแค่ มศ.3 ได้ปลูกฝังให้ผมเห็นคุณค่าของวิชาภาษาอังกฤษ และผมก็ปฏิบัติตามและก็รู้สึกชอบวิชานี้ขึ้นมาจริง ๆ

เนื่องจากว่าผมมีความสนุกและมันส์กับการใช้ภาษาอังกฤษ ระหว่างที่อยู่ขอนแก่นนั่นแหละ ผมก็ได้ไปสมัครเป็นroommateของนักศึกษาที่มาเรียนระยะสั้นที่ ม.ขอนแก่น บังเอิญว่าผมได้รับคัดเลือก ข้อดีก็คือ ได้อยู่หอฟรีกับฝรั่ง และผมก็ได้ฝึกภาษาอังกฤษตั้งแต่ ปี 2 ยันปี 4 เลย การได้ไปเรียนวิชาภาษาอังกฤษที่คณะมนุษยศาสตร์เรื่อยๆ และได้พูดภาษาอังกฤษทุกวันกับรูมเมท ทำให้ผมรู้สึกคล่องปากในการพูด ดังนั้นผมก็เลยไม่เขินอายที่จะพูดภาษาอังกฤษเลย ถึงแม้ว่าตอนนั้นยังไม่ได้มาต่างประเทศจริงๆ

ระหว่างเรียนที่ขอนแก่นช่วง ปี 3 ปี4 อาจารย์ภาควิชาเคมีได้เชิญ guest speaker จากสหรัฐอเมริกามาพูดวิชา chromatography ผมก็ได้เข้าฟัง กับอาจารย์ท่านนั้น และหลังจากเข้าคลาสนั้นผมก็ได้เข้าไปพูดคุยกับอาจารย์ท่านนั้นขออีเมลล์กัน และหลังจากท่านกลับอเมริกา ผมก็ได้อีเมลล์สอบถามถึงเรื่องทุนมาเรียนต่อ ป.โท ที่มหาลัยของอาจารย์ท่านนั้นและช่วงปีสาม ขึ้น ปีสี่ ผมได้รับความอนุเคราะห์จากอาจารย์ฝรั่งท่านนั้นให้ไปทำวิจัยระยะสั้นที่มหาวิทยาลัยของอาจารย์เอง ซึ่งการไปครั้งนั้นก็เป็นการไปต่างประเทศครั้งที่สองของผม การมาครั้งนั้นผมก็ได้ไปคุยกับโปรเฟสเซอร์หลายๆท่านเรื่องงานวิจัย และแนวทางในการมาศึกษาต่อระดับปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยแห่งนั้น ก่อนจบ

อยู่ม.ขอนแก่นมาเกือบจบปี 4แล้ว แต่ 4 ปี  ก็ยังไม่ได้ทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นเท่าไหร่ ดังนั้นทุน พสวท. ที่ส่งนักศึกษาไปต่างประเทศก็พอมีกลับมาบ้าง แต่มีสาขาละ 1-2คนเท่านั้น...ซึ่งผมน่ะเหรอครับ ไม่ได้เก่งระดับ Top 10 ของประเทศ หรือ Top 2 ของชาว พสวท. ขนาดนั้น สรุป...ผมก็ชวดทุน พสวท. ต่างประเทศไปก็อกหักไปอีกรอบตามระเบียบ...อกหักบ่อยมาก

แต่....ผมก็ยังมีแผนสำรอง ไม่ได้หวังว่าตัวเองจะได้ทุน พสวท.ไปต่อระดับ โท เอก ส่วนภาษาอังกฤษของผม ตาม vision ของท่านแม่ผมเอง ผมก็สั่งสมมาตั้งแต่ป. 5 โดยไม่ละทิ้ง ตอนปี 3 ระดับ ป.ตรี ผมได้ไปสอบ TOEFL สมัยที่ผมสอบนั้นเป็นปีแรกที่เขาสอบ computer based หรือ CBT ที่อาคารมณียา ก่อนหน้าผมปีนึงเป็น paper based ค่าสมัครสอบตอนนั้นก็ 110 USD มันช่างแพงมหาโหด สำหรับเด็กบ้านนอกอย่างผม บวกกับค่ารถทัวร์เข้า กทม. อีก รวมๆค่าใช้จ่ายแล้วก็ราวๆ หกพันบาท...ซึ่งมันมากกว่าเงินที่ผมใช้ใน 1 เดือนซะอีก ใครจะคิดครับว่าสอบครั้งแรก ผมผ่านพอดีเป๊ะ ๆ 210-213 CBT ก็ราวๆ 550 แบบ paper based ผมก็เลยได้ประหยัดตังค์ค่าสอบอีกรอบไป

สรุปว่าผมไม่ได้ทุน พสวท. มาเรียนโทเอก ที่ต่างประเทศ แต่ระหว่างที่ผมได้ไปทำวิจัยระยะสั้นที่สหรัฐอเมริกาตอนปี สามขึ้นปีสี่ ผมได้คุยกับโปรเฟสเซอร์ไว้บ้างแล้ว และผมก็มีคะแนน TOEFL ที่สอบไว้ตั้งแต่ปีสามแล้ว ผมก็เลยได้ยื่นใบสมัครไปที่มหาวิทยาลัยแห่งนั้นเลย ภาคการศึกษาสุดท้ายช่วงเดือนมกราคมปี 2003 ปรากฎว่าผมได้ตอบรับเข้ามหาวิทยาลัยที่ผมได้ไปทำวิจัยในระยะสั้นช่วงที่เรียนปีสาม...สรุปว่า..ผมได้ไปเรียนเมืองนอกจริงๆๆครับ...ดีใจสุด ๆ และในที่สุดผมก็ทำได้ ทำได้จริง ๆ.....ไชโยๆๆๆๆๆๆ ได้มาเรียนเมืองนอกแล้ว โดยที่ไม่ต้องใช้จ่ายตังค์อะไรซักบาทจากทางบ้าน...และในปีเดียวกันเดือนสิงหาคม ผมก็ได้มาเรียนระดับปริญญาโทที่สหรัฐอเมริกา รัฐแคลิฟอร์เนียร์
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่