พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้ความเป็นคนจนก็เป็นทุกข์ของบุคคลผู้บริโภคกามในโลก
แม้การกู้ยืมก็เป็นทุกข์ของบุคคลผู้บริโภคกามในโลก
แม้การรับใช้ดอกเบี้ยก็เป็นทุกข์ของบุคคลผู้บริโภคกามในโลก
แม้การทวงก็เป็นทุกข์ของบุคคลผู้บริโภคกามในโลกแม้การติดตามก็เป็น
ทุกข์ของบุคคลผู้บริโภคกามในโลก แม้การจองจำก็เป็นทุกข์ของบุคคลผู้บริโภคกามในโลกด้วย
ประการฉะนี้ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนไม่มีศรัทธาในกุศลธรรม ไม่มีหิริในกุศลธรรม
ไม่มีโอตตัปปะในกุศลธรรม ไม่มีวิริยะในกุศลธรรม ไม่มีปัญญาในกุศลธรรม บุคคลนี้เรียกว่า
เป็นจนเข็ญใจยากไร้ในวินัยของพระอริยเจ้าฉันนั้นเหมือนกัน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนจนเข็ญใจไร้ทรัพย์สมบัตินั้นแล เมื่อไม่มีศรัทธาในกุศลธรรม
ไม่มีหิริในกุศลธรรม ไม่มีโอตตัปปะในกุศลธรรม
ไม่มีวิริยะในกุศลธรรม ไม่มีปัญญาในกุศลธรรมย่อมประพฤติทุจริตด้วยกายวาจาใจ
เรากล่าวการประพฤติทุจริตของเขาว่า เป็นการกู้ยืมเขาย่อมตั้งความปรารถนาลามก
เพราะเหตุแห่งการปกปิดกายทุจริตนั้น ย่อมปรารถนาว่าชนเหล่าอื่นอย่ารู้จักเรา
ย่อมดำริย่อมกล่าววาจา ย่อมพยายามด้วยกายว่าชนเหล่าอื่นอย่ารู้จักเราเขา
ย่อมตั้งความปรารถนาลามก เพราะเหตุแห่งการปกปิดวจีทุจริตนั้นฯลฯ
เขาย่อมตั้งความปรารถนาลามก เพราะเหตุแห่งการปกปิดมโนทุจริตนั้น
ย่อมปรารถนาว่าชนเหล่าอื่นอย่ารู้จักเรา ย่อมพยายามด้วยกายว่าชนเหล่าอื่นอย่ารู้จักเรา
เรากล่าวเหตุการปกปิดทุจริตของเขานั้นว่าเป็นการรับใช้ดอกเบี้ยเพื่อนพรหมจรรย์ผู้มีศีลเป็น
ที่รักได้กล่าวกะเขาอย่างนี้ว่า ก็ท่านผู้มีอายุรูปนี้เป็นผู้กระทำอย่างนี้เป็นผู้ประพฤติอย่างนี้
เรากล่าวการถูกว่ากล่าวของเขาว่าเป็นการทวงดอกเบี้ยอกุศลวิตกที่เป็นบาปประกอบด้วยความ
เดือดร้อน ย่อมครอบงำเขา ผู้อยู่ป่า ผู้อยู่โคนไม้ หรือผู้อยู่ในเรือนว่าง
เรากล่าวการถูกอกุศลวิตกครอบงำนี้ของเขาว่า เจ้าหนี้ติดตามเขาคนจนเข็ญใจยากไร้นั้นแล
ครั้นประพฤติทุจริตด้วยกายวาจาใจ เมื่อตายไปแล้ว ย่อมถูกจองจำในเรือนจำ คือนรก บ้าง
หรือในเรือนจำ คือกำเนิดดิรัจฉาน บ้าง
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่พิจารณาเห็นเรือนจำอื่น เพียงแห่งเดียว
ซึ่งร้ายกาจที่ทารุณอย่างนี้เจ็บปวดอย่างนี้ กระทำอันตรายแก่การบรรลุนิพพาน
ซึ่งเป็นธรรมเกษมจากโยคะ หาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้อย่างนี้
เหมือนเรือนจำ คือนรก หรือเรือนจำ คือกำเนิดดิรัจฉานเลยฯ
ความเป็นคนจน และการกู้ยืมเรียกว่า เป็นทุกข์ในโลก คนจนกู้ยืมเลี้ยง
ชีวิตย่อมเดือดร้อนเจ้าหนี้ทั้งหลาย ย่อมติดตามเขา เพราะไม่ใช้หนี้นั้น
เขาย่อมเข้าถึงแม้การจองจำก็การจองจำนั้น เป็นทุกข์ของชนทั้งหลายผู้
บูชาการได้กาม
ในวินัยของพระอริยเจ้าผู้ใด ไม่มีศรัทธา ไม่มีหิริ
ไม่มีโอตตัปปะ พอกพูนบาปกรรม กระทำกายทุจริต วจีทุจริต และ
มโนทุจริต ย่อมปรารถนา ย่อมดำริว่า คนเหล่าอื่นอย่ารู้จักเราพอกพูน
บาปกรรมในที่นั้นๆอยู่บ่อยๆ ด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ เราตถาคต
ย่อมกล่าวว่าเป็นทุกข์เหมือนอย่างนั้น เขาผู้มีบาปกรรมมีปัญญาทราม
ทราบความชั่วของตนอยู่เป็นคนจนมีหนี้สินเลี้ยงชีวิตอยู่ ย่อมเดือด
ร้อนลำดับนั้นความดำริที่มีในใจ เป็นทุกข์เกิดขึ้น เพราะความเดือดร้อน
อันเป็นเครื่องทรมานใจสของเขา ย่อมติดตามเขาที่บ้านหรือที่ป่า
เขาผู้มีบาปกรรมมีปัญญาทรามทราบความชั่วของตนอยู่
ย่อมเข้าถึงกำเนิดดิรัจฉานบางอย่าง หรือถูกจองจำในนรก
ก็การจองจำนั้น เป็นทุกข์ที่นักปราชญ์หลุดพ้นไปได้
บุคคลผู้ยังใจให้เลื่อมใสให้ทานด้วยโภคทรัพย์ทั้งหลายที่ได้มาโดย
ชอบธรรมย่อมเป็นผู้ยึดถือชัยชนะไว้ได้ในโลกทั้งสองของผู้มีศรัทธาอยู่
ครองเรือน คือเพื่อประโยชน์เกื้อกูลในปัจจุบัน และเพื่อความสุขใน
สัมปรายภพการบริจาคของคฤหัสถ์ดังกล่าวมานั้น ย่อมเจริญบุญ
ผู้ใดมีศรัทธาตั้งมั่นมีใจประกอบด้วยหิริ มีโอตตัปปะ มีปัญญาดีและ
สำรวมในศีลในวินัยของพระอริยเจ้า ผู้นั้นแล เราเรียกว่า มีชีวิตเป็นสุข
ในวินัยของพระอริยเจ้า ฉันนั้นเหมือนกัน เขาได้ความสุขที่ไม่มีอามิส
ยังอุเบกขา(ในจตุตถฌาน) ให้ดำรงมั่น ละนิวรณ์๕ประการ เป็นผู้
ปรารภความเพียรเป็นนิตย์ บรรลุฌานทั้งหลาย มีเอกัคคตาจิตปรากฏ
มีปัญญารักษาตัว มีสติ จิตของเขาย่อมหลุดพ้นโดยชอบ เพราะทราบเหตุ
ในนิพพานเป็นที่สิ้นสังโยชน์ทั้งปวงตามความเป็นจริง เพราะไม่ถือ
มั่นโดยประการทั้งปวง หากว่าเขาผู้มีจิตหลุดพ้นโดยชอบคงที่อยู่ใน
นิพพานเป็นที่สิ้นไปแห่งกิเลสเป็นเครื่องประกอบสัตว์ไว้ในภพ ย่อมมี
ญาณหยั่งรู้ว่าความหลุดพ้นของเราไม่กำเริบไซร้ ญาณนั้นแลเป็นญาณ
ชั้นเยี่ยมญาณนั้นเป็นสุข ไม่มีสุขอื่นยิ่งกว่า ญาณนั้นไม่มีโศกหมดมัว
หมองเป็นญาณเกษมสูงสุดกว่าความไม่มีหนี้ฯ
- ฉกฺก. อํ. ๒๒/๓๙๒/๓๑๖.
ว่าด้วยคนจนเข็ญใจ....
แม้การกู้ยืมก็เป็นทุกข์ของบุคคลผู้บริโภคกามในโลก
แม้การรับใช้ดอกเบี้ยก็เป็นทุกข์ของบุคคลผู้บริโภคกามในโลก
แม้การทวงก็เป็นทุกข์ของบุคคลผู้บริโภคกามในโลกแม้การติดตามก็เป็น
ทุกข์ของบุคคลผู้บริโภคกามในโลก แม้การจองจำก็เป็นทุกข์ของบุคคลผู้บริโภคกามในโลกด้วย
ประการฉะนี้ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนไม่มีศรัทธาในกุศลธรรม ไม่มีหิริในกุศลธรรม
ไม่มีโอตตัปปะในกุศลธรรม ไม่มีวิริยะในกุศลธรรม ไม่มีปัญญาในกุศลธรรม บุคคลนี้เรียกว่า
เป็นจนเข็ญใจยากไร้ในวินัยของพระอริยเจ้าฉันนั้นเหมือนกัน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนจนเข็ญใจไร้ทรัพย์สมบัตินั้นแล เมื่อไม่มีศรัทธาในกุศลธรรม
ไม่มีหิริในกุศลธรรม ไม่มีโอตตัปปะในกุศลธรรม
ไม่มีวิริยะในกุศลธรรม ไม่มีปัญญาในกุศลธรรมย่อมประพฤติทุจริตด้วยกายวาจาใจ
เรากล่าวการประพฤติทุจริตของเขาว่า เป็นการกู้ยืมเขาย่อมตั้งความปรารถนาลามก
เพราะเหตุแห่งการปกปิดกายทุจริตนั้น ย่อมปรารถนาว่าชนเหล่าอื่นอย่ารู้จักเรา
ย่อมดำริย่อมกล่าววาจา ย่อมพยายามด้วยกายว่าชนเหล่าอื่นอย่ารู้จักเราเขา
ย่อมตั้งความปรารถนาลามก เพราะเหตุแห่งการปกปิดวจีทุจริตนั้นฯลฯ
เขาย่อมตั้งความปรารถนาลามก เพราะเหตุแห่งการปกปิดมโนทุจริตนั้น
ย่อมปรารถนาว่าชนเหล่าอื่นอย่ารู้จักเรา ย่อมพยายามด้วยกายว่าชนเหล่าอื่นอย่ารู้จักเรา
เรากล่าวเหตุการปกปิดทุจริตของเขานั้นว่าเป็นการรับใช้ดอกเบี้ยเพื่อนพรหมจรรย์ผู้มีศีลเป็น
ที่รักได้กล่าวกะเขาอย่างนี้ว่า ก็ท่านผู้มีอายุรูปนี้เป็นผู้กระทำอย่างนี้เป็นผู้ประพฤติอย่างนี้
เรากล่าวการถูกว่ากล่าวของเขาว่าเป็นการทวงดอกเบี้ยอกุศลวิตกที่เป็นบาปประกอบด้วยความ
เดือดร้อน ย่อมครอบงำเขา ผู้อยู่ป่า ผู้อยู่โคนไม้ หรือผู้อยู่ในเรือนว่าง
เรากล่าวการถูกอกุศลวิตกครอบงำนี้ของเขาว่า เจ้าหนี้ติดตามเขาคนจนเข็ญใจยากไร้นั้นแล
ครั้นประพฤติทุจริตด้วยกายวาจาใจ เมื่อตายไปแล้ว ย่อมถูกจองจำในเรือนจำ คือนรก บ้าง
หรือในเรือนจำ คือกำเนิดดิรัจฉาน บ้าง
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่พิจารณาเห็นเรือนจำอื่น เพียงแห่งเดียว
ซึ่งร้ายกาจที่ทารุณอย่างนี้เจ็บปวดอย่างนี้ กระทำอันตรายแก่การบรรลุนิพพาน
ซึ่งเป็นธรรมเกษมจากโยคะ หาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้อย่างนี้
เหมือนเรือนจำ คือนรก หรือเรือนจำ คือกำเนิดดิรัจฉานเลยฯ
ความเป็นคนจน และการกู้ยืมเรียกว่า เป็นทุกข์ในโลก คนจนกู้ยืมเลี้ยง
ชีวิตย่อมเดือดร้อนเจ้าหนี้ทั้งหลาย ย่อมติดตามเขา เพราะไม่ใช้หนี้นั้น
เขาย่อมเข้าถึงแม้การจองจำก็การจองจำนั้น เป็นทุกข์ของชนทั้งหลายผู้
บูชาการได้กาม
ในวินัยของพระอริยเจ้าผู้ใด ไม่มีศรัทธา ไม่มีหิริ
ไม่มีโอตตัปปะ พอกพูนบาปกรรม กระทำกายทุจริต วจีทุจริต และ
มโนทุจริต ย่อมปรารถนา ย่อมดำริว่า คนเหล่าอื่นอย่ารู้จักเราพอกพูน
บาปกรรมในที่นั้นๆอยู่บ่อยๆ ด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ เราตถาคต
ย่อมกล่าวว่าเป็นทุกข์เหมือนอย่างนั้น เขาผู้มีบาปกรรมมีปัญญาทราม
ทราบความชั่วของตนอยู่เป็นคนจนมีหนี้สินเลี้ยงชีวิตอยู่ ย่อมเดือด
ร้อนลำดับนั้นความดำริที่มีในใจ เป็นทุกข์เกิดขึ้น เพราะความเดือดร้อน
อันเป็นเครื่องทรมานใจสของเขา ย่อมติดตามเขาที่บ้านหรือที่ป่า
เขาผู้มีบาปกรรมมีปัญญาทรามทราบความชั่วของตนอยู่
ย่อมเข้าถึงกำเนิดดิรัจฉานบางอย่าง หรือถูกจองจำในนรก
ก็การจองจำนั้น เป็นทุกข์ที่นักปราชญ์หลุดพ้นไปได้
บุคคลผู้ยังใจให้เลื่อมใสให้ทานด้วยโภคทรัพย์ทั้งหลายที่ได้มาโดย
ชอบธรรมย่อมเป็นผู้ยึดถือชัยชนะไว้ได้ในโลกทั้งสองของผู้มีศรัทธาอยู่
ครองเรือน คือเพื่อประโยชน์เกื้อกูลในปัจจุบัน และเพื่อความสุขใน
สัมปรายภพการบริจาคของคฤหัสถ์ดังกล่าวมานั้น ย่อมเจริญบุญ
ผู้ใดมีศรัทธาตั้งมั่นมีใจประกอบด้วยหิริ มีโอตตัปปะ มีปัญญาดีและ
สำรวมในศีลในวินัยของพระอริยเจ้า ผู้นั้นแล เราเรียกว่า มีชีวิตเป็นสุข
ในวินัยของพระอริยเจ้า ฉันนั้นเหมือนกัน เขาได้ความสุขที่ไม่มีอามิส
ยังอุเบกขา(ในจตุตถฌาน) ให้ดำรงมั่น ละนิวรณ์๕ประการ เป็นผู้
ปรารภความเพียรเป็นนิตย์ บรรลุฌานทั้งหลาย มีเอกัคคตาจิตปรากฏ
มีปัญญารักษาตัว มีสติ จิตของเขาย่อมหลุดพ้นโดยชอบ เพราะทราบเหตุ
ในนิพพานเป็นที่สิ้นสังโยชน์ทั้งปวงตามความเป็นจริง เพราะไม่ถือ
มั่นโดยประการทั้งปวง หากว่าเขาผู้มีจิตหลุดพ้นโดยชอบคงที่อยู่ใน
นิพพานเป็นที่สิ้นไปแห่งกิเลสเป็นเครื่องประกอบสัตว์ไว้ในภพ ย่อมมี
ญาณหยั่งรู้ว่าความหลุดพ้นของเราไม่กำเริบไซร้ ญาณนั้นแลเป็นญาณ
ชั้นเยี่ยมญาณนั้นเป็นสุข ไม่มีสุขอื่นยิ่งกว่า ญาณนั้นไม่มีโศกหมดมัว
หมองเป็นญาณเกษมสูงสุดกว่าความไม่มีหนี้ฯ
- ฉกฺก. อํ. ๒๒/๓๙๒/๓๑๖.