เชื่อว่าผู้ที่วางแผนซื้อบ้านหรือกำลังยื่นขอสินเชื่อบ้านหลายคนคงเคยได้ยินและตั้งคำถามว่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MRR คืออะไร MMR และ MLR ต่างกันอย่างไร ซึ่งตัวอักษรย่อพวกนี้คืออัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ต้องเจอและจำเป็นต้องรู้ เพื่อเป็นประโยชน์ในการช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นเมื่อต้องผ่อนบ้าน
MRR คืออะไร?
Minimum Retail Rate หรือ MRR คือ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ธนาคารพาณิชย์เรียกเก็บจากลูกค้ารายย่อยชั้นดี ใช้ได้สำหรับเงินกู้ทุกประเภทที่มีกำหนดระยะเวลาแน่นอน เช่น สินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่อบ้าน สินเชื่อบัตรเครดิต เป็นต้น ถือเป็นอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงแบบลอยตัวที่ธนาคารพาณิชย์ใช้กันมากที่สุดในธุรกรรมการให้สินเชื่อ
นอกจากอัตราดอกเบี้ย MRR แล้วยังมีอัตราดอกเบี้ย MLR และอัตราดอกเบี้ย MOR อีกด้วย โดยสินเชื่อแต่ละตัวนั้นมีเงื่อนไขและแตกต่างกันออกไปตามที่ธนาคารแต่ละแห่งกำหนด ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย
ข้อแตกต่างระหว่าง MRR, MLR และ MOR
1. MLR คือ อัตราดอกเบี้ยที่เรียกเก็บจากลูกค้ารายใหญ่ชั้นดีประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา โดยต้องมีประวัติการเงินที่ดีและมีหลักทรัพย์ค้ำประกันในการกู้ที่มากพอ
2. MOR คือ อัตราดอกเบี้ยที่เรียกเก็บจากลูกค้ารายใหญ่ชั้นดีประเภทเงินเบิกเกินบัญชี หรือการเบิกเงินทางโอดี ซึ่งจะประเมินจากคุณสมบัติของผู้กู้ เช่น หลักทรัพย์ค้ำประกัน
3. ธนาคารจะเรียกเก็บอัตราดอกเบี้ย MRR จากลูกค้ารายย่อยชั้นดี แต่จะเรียกเก็บอัตราดอกเบี้ย MLR และ MOR จากลูกค้ารายใหญ่ แต่มีบางกรณีที่ธนาคารจะให้อัตราดอกเบี้ย MLR กับลูกค้าทั่วไปได้ไม่ได้เฉพาะแค่ลูกค้ารายใหญ่เท่านั้น ซึ่งทางธนาคารจะเสนอให้ก็ต่อเมื่อเป็นการกู้สินเชื่อระยะยาวที่มีระยะเวลากำหนดไว้แน่นอน
4. MRR คือ อัตราดอกเบี้ยที่คนทั่วไปมีโอกาสผ่านได้ง่ายกว่าอัตราดอกเบี้ยอื่น แต่ก็จะมีความเสี่ยงสูงกว่า และมีความผันผวนพอสมควร จึงทำให้ดอกเบี้ยสูงกว่า MLR อีกทั้งยังมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้ง่ายกว่าอีกด้วย
5. ธนาคารมักจะใช้ MRR และ MLR เป็นอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้าน เพราะมีกำหนดระยะเวลาที่แน่นอน ซึ่งหากเทียบกับธนาคารอื่น บางที MRR ของธนาคารใหญ่บางแห่งอาจเท่ากับ MLR ของธนาคารขนาดกลางบางแห่ง
6. MOR เป็นอัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารส่วนใหญ่มักจะใช้กับกรณีสินเชื่อเงินทุนหมุนเวียน ซึ่งก็คือวงเงินเบิกเกินบัญชี ที่ทำผ่านบัญชีกระแสรายวัน และส่วนใหญ่ใช้เช็คในการเบิกถอน
7. โดยทั่วไป อัตราดอกเบี้ย MRR จะสูงที่สุด ตามมาด้วย MOR และ MLR ตามลำดับ ซึ่งส่วนต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ย MRR และ MLR จะเป็นตัวสะท้อนระดับความเสี่ยงที่ต่างกันระหว่างลูกค้ารายใหญ่และรายย่อย
8. การคาดเดาทิศทางของอัตราดอกเบี้ย MLR และ MRR เป็นเรื่องที่ยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากกู้ในระยะยาว เราไม่ควรคิดว่าส่วนต่างระหว่าง MRR และ MLR จะเหมือนเดิมไปตลอด เพราะจากสถิติของธนาคารรายใหญ่ที่ผ่านมา ยิ่ง MLR สูงขึ้น ช่องว่างระหว่าง MLR และ MRR ก็จะมากขึ้นเรื่อย ๆ จึงทำให้ MRR สูงกว่า MLR มากขึ้นตามช่องว่าง และหาก MLR ต่ำลง ช่องว่างระหว่าง MLR และ MRR ก็จะแคบลงเช่นกัน
ข้อควรรู้ของอัตราดอกเบี้ย
1. ตามกฎของธนาคารแห่งประเทศไทย ธนาคารพาณิชย์จะต้องติดประกาศอัตราดอกเบี้ยให้ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นสาขาย่อยและสาขาสำนักงานใหญ่ของแต่ละธนาคาร รวมไปถึงเว็บไซต์ของธนาคารนั้น ๆ และควรเขียนหมายเหตุด้วยว่ากฎของธนาคารแห่งประเทศไทยไม่ได้บังคับใช้กับธนาคารรัฐ เช่น ธนาคารออมสิน เพราะธนาคารรัฐมีกฎหมายจัดตั้งเป็นพิเศษ เรื่องดอกเบี้ยจึงไม่ได้อยู่ภายใต้การกำกับของธนาคารแห่งประเทศไทย
2. อัตราดอกเบี้ย MRR, MOR และ MLR ของแต่ละธนาคารไม่จำเป็นต้องเท่ากัน เนื่องจากต้นทุนของแต่ละธนาคารไม่เท่ากัน โดยต้นทุนที่เกี่ยวข้องของแต่ละธนาคารอาจจะขึ้นอยู่กับปริมาณเงินสำรอง จำนวนหนี้เสีย และสภาพคล่องของธนาคาร
3. ถือเป็นเรื่องปกติหากมีลูกค้าสองคนเดินเข้าไปที่ธนาคารเดียวกันเพื่อขอกู้สินเชื่อเช่นเดียวกัน แต่ได้อัตราดอกเบี้ยต่างกัน เพราะสถาบันการเงินจะประเมินความเสี่ยงของลูกค้าแต่ละคนไม่เท่ากัน ยิ่งความเสี่ยงสูง อัตราดอกเบี้ยก็สูงตามไปด้วย เช่น ส่วนต่างระหว่างรายรับกับรายจ่าย หรือรายได้สุทธิ รวมไปถึงความสามารถในการชำระหนี้ของลูกค้าแต่ละรายที่มีไม่เท่ากัน
อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อกู้ซื้อบ้าน MRR, MLR และ MOR เป็นตัวแปรหลักที่มีผลต่อการคิดดอกเบี้ยสินเชื่อบ้าน อีกทั้งอัตราดอกเบี้ยของแต่ละธนาคารก็ไม่เท่ากัน หากถามว่าอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อตัวไหนดีกว่ากัน ก็คงไม่สามารถตัดสินได้เนื่องจากทุกอย่างขึ้นอยู่กับแผนการเงินของแต่ละคน เพราะฉะนั้นควรพิจารณาและเปรียบเทียบจากธนาคารต่าง ๆ โดยสามารถเช็กข้อมูลอัปเดตอัตราดอกเบี้ย MRR จากธนาคารต่าง ๆ ที่นี่
https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/สินเชื่อบ้าน/อัปเดตอัตราดอกเบี้ยเงินให้สินเชื่อบ้าน-MRR-MLR-MOR-6217
ที่มา :
https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/เตรียมตัวก่อนซื้อ/MRRคืออะไรต่างจากMLRและMORอย่างไร-15637
MRR คืออะไร ต่างจาก MLR และ MOR อย่างไร ?
MRR คืออะไร?
Minimum Retail Rate หรือ MRR คือ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ธนาคารพาณิชย์เรียกเก็บจากลูกค้ารายย่อยชั้นดี ใช้ได้สำหรับเงินกู้ทุกประเภทที่มีกำหนดระยะเวลาแน่นอน เช่น สินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่อบ้าน สินเชื่อบัตรเครดิต เป็นต้น ถือเป็นอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงแบบลอยตัวที่ธนาคารพาณิชย์ใช้กันมากที่สุดในธุรกรรมการให้สินเชื่อ
นอกจากอัตราดอกเบี้ย MRR แล้วยังมีอัตราดอกเบี้ย MLR และอัตราดอกเบี้ย MOR อีกด้วย โดยสินเชื่อแต่ละตัวนั้นมีเงื่อนไขและแตกต่างกันออกไปตามที่ธนาคารแต่ละแห่งกำหนด ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย
ข้อแตกต่างระหว่าง MRR, MLR และ MOR
1. MLR คือ อัตราดอกเบี้ยที่เรียกเก็บจากลูกค้ารายใหญ่ชั้นดีประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา โดยต้องมีประวัติการเงินที่ดีและมีหลักทรัพย์ค้ำประกันในการกู้ที่มากพอ
2. MOR คือ อัตราดอกเบี้ยที่เรียกเก็บจากลูกค้ารายใหญ่ชั้นดีประเภทเงินเบิกเกินบัญชี หรือการเบิกเงินทางโอดี ซึ่งจะประเมินจากคุณสมบัติของผู้กู้ เช่น หลักทรัพย์ค้ำประกัน
3. ธนาคารจะเรียกเก็บอัตราดอกเบี้ย MRR จากลูกค้ารายย่อยชั้นดี แต่จะเรียกเก็บอัตราดอกเบี้ย MLR และ MOR จากลูกค้ารายใหญ่ แต่มีบางกรณีที่ธนาคารจะให้อัตราดอกเบี้ย MLR กับลูกค้าทั่วไปได้ไม่ได้เฉพาะแค่ลูกค้ารายใหญ่เท่านั้น ซึ่งทางธนาคารจะเสนอให้ก็ต่อเมื่อเป็นการกู้สินเชื่อระยะยาวที่มีระยะเวลากำหนดไว้แน่นอน
4. MRR คือ อัตราดอกเบี้ยที่คนทั่วไปมีโอกาสผ่านได้ง่ายกว่าอัตราดอกเบี้ยอื่น แต่ก็จะมีความเสี่ยงสูงกว่า และมีความผันผวนพอสมควร จึงทำให้ดอกเบี้ยสูงกว่า MLR อีกทั้งยังมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้ง่ายกว่าอีกด้วย
5. ธนาคารมักจะใช้ MRR และ MLR เป็นอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้าน เพราะมีกำหนดระยะเวลาที่แน่นอน ซึ่งหากเทียบกับธนาคารอื่น บางที MRR ของธนาคารใหญ่บางแห่งอาจเท่ากับ MLR ของธนาคารขนาดกลางบางแห่ง
6. MOR เป็นอัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารส่วนใหญ่มักจะใช้กับกรณีสินเชื่อเงินทุนหมุนเวียน ซึ่งก็คือวงเงินเบิกเกินบัญชี ที่ทำผ่านบัญชีกระแสรายวัน และส่วนใหญ่ใช้เช็คในการเบิกถอน
7. โดยทั่วไป อัตราดอกเบี้ย MRR จะสูงที่สุด ตามมาด้วย MOR และ MLR ตามลำดับ ซึ่งส่วนต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ย MRR และ MLR จะเป็นตัวสะท้อนระดับความเสี่ยงที่ต่างกันระหว่างลูกค้ารายใหญ่และรายย่อย
8. การคาดเดาทิศทางของอัตราดอกเบี้ย MLR และ MRR เป็นเรื่องที่ยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากกู้ในระยะยาว เราไม่ควรคิดว่าส่วนต่างระหว่าง MRR และ MLR จะเหมือนเดิมไปตลอด เพราะจากสถิติของธนาคารรายใหญ่ที่ผ่านมา ยิ่ง MLR สูงขึ้น ช่องว่างระหว่าง MLR และ MRR ก็จะมากขึ้นเรื่อย ๆ จึงทำให้ MRR สูงกว่า MLR มากขึ้นตามช่องว่าง และหาก MLR ต่ำลง ช่องว่างระหว่าง MLR และ MRR ก็จะแคบลงเช่นกัน
ข้อควรรู้ของอัตราดอกเบี้ย
1. ตามกฎของธนาคารแห่งประเทศไทย ธนาคารพาณิชย์จะต้องติดประกาศอัตราดอกเบี้ยให้ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นสาขาย่อยและสาขาสำนักงานใหญ่ของแต่ละธนาคาร รวมไปถึงเว็บไซต์ของธนาคารนั้น ๆ และควรเขียนหมายเหตุด้วยว่ากฎของธนาคารแห่งประเทศไทยไม่ได้บังคับใช้กับธนาคารรัฐ เช่น ธนาคารออมสิน เพราะธนาคารรัฐมีกฎหมายจัดตั้งเป็นพิเศษ เรื่องดอกเบี้ยจึงไม่ได้อยู่ภายใต้การกำกับของธนาคารแห่งประเทศไทย
2. อัตราดอกเบี้ย MRR, MOR และ MLR ของแต่ละธนาคารไม่จำเป็นต้องเท่ากัน เนื่องจากต้นทุนของแต่ละธนาคารไม่เท่ากัน โดยต้นทุนที่เกี่ยวข้องของแต่ละธนาคารอาจจะขึ้นอยู่กับปริมาณเงินสำรอง จำนวนหนี้เสีย และสภาพคล่องของธนาคาร
3. ถือเป็นเรื่องปกติหากมีลูกค้าสองคนเดินเข้าไปที่ธนาคารเดียวกันเพื่อขอกู้สินเชื่อเช่นเดียวกัน แต่ได้อัตราดอกเบี้ยต่างกัน เพราะสถาบันการเงินจะประเมินความเสี่ยงของลูกค้าแต่ละคนไม่เท่ากัน ยิ่งความเสี่ยงสูง อัตราดอกเบี้ยก็สูงตามไปด้วย เช่น ส่วนต่างระหว่างรายรับกับรายจ่าย หรือรายได้สุทธิ รวมไปถึงความสามารถในการชำระหนี้ของลูกค้าแต่ละรายที่มีไม่เท่ากัน
อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อกู้ซื้อบ้าน MRR, MLR และ MOR เป็นตัวแปรหลักที่มีผลต่อการคิดดอกเบี้ยสินเชื่อบ้าน อีกทั้งอัตราดอกเบี้ยของแต่ละธนาคารก็ไม่เท่ากัน หากถามว่าอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อตัวไหนดีกว่ากัน ก็คงไม่สามารถตัดสินได้เนื่องจากทุกอย่างขึ้นอยู่กับแผนการเงินของแต่ละคน เพราะฉะนั้นควรพิจารณาและเปรียบเทียบจากธนาคารต่าง ๆ โดยสามารถเช็กข้อมูลอัปเดตอัตราดอกเบี้ย MRR จากธนาคารต่าง ๆ ที่นี่ https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/สินเชื่อบ้าน/อัปเดตอัตราดอกเบี้ยเงินให้สินเชื่อบ้าน-MRR-MLR-MOR-6217
ที่มา : https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/เตรียมตัวก่อนซื้อ/MRRคืออะไรต่างจากMLRและMORอย่างไร-15637