ปริศนาหินลึกลับโบราณ

มีสรรพสิ่งที่เกิดขึ้นจากธรรมชาติหลายอย่าง ที่ยังคงมีปริศนาจากต้นกำเนิด 

Al Naslaa Rock ปริศนาหินผ่าซีกลึกลับ แห่งดินแดนทะเลทราย
Al Naslaa Rock ตั้งอยู่กลางทะเลทราย ในโอเอซิสเทย์มา ณ ประเทศซาอุดิอาราเบีย สิ่งนี้เป็นหินลึกลับจากโบราณกาล ที่ผ่านการทรงตัวอย่างดีเยี่ยมเป็นเวลาหลายร้อยปี ตรงกลางของหินมีรอยผ่าซีกคล้ายถูกตัดด้วยมีดที่คมกริบ รอยแตกที่อยู่ตรงกลางถือมีความสมบูรณ์มาก ขนาดมองด้วยตาเปล่าแล้วจะเห็นได้ว่ารอยตรงกลางนั้น ได้แบ่งหินทั้งสองซีกได้อย่างเท่ากัน

อีกทั้งหินคู่นี้ยังตั้งอยู่บนแท่นหินที่มีขนาดเล็ก ซึ่งไม่น่าจะรองรับน้ำหนักของหินยักษ์ทั้งคู่ได้ 
ต้นกำเนิดรอยแตกของหินนั้นยังไม่ทราบแน่ชัด แต่มีสมมติฐานว่าอาจจะมาจากปรากฎการณ์ธรรมชาติที่เขื่อนของภูเขาไฟปรับตัวลดลงทำให้แร่ธาตุและสิ่งที่อยู่ใต้ดินผุดขึ้นมา บ้างก็ว่าหินก้อนดังกล่าวเก่าเกินไปจึงเกิดการผุพัง แต่หลายคนก็ตั้งข้อสงสัยว่ารอยแตกทำไมถึงมีขนาดช่องว่างที่เกือบเป็นเส้นตรงขนาดนี้ 

อีกทั้งบนแผ่นหินยังมีร่องรอยอารยธรรมโบราณหลงเหลืออยู่ เป็นภาพเขียนเก่าแก่
อ้างอิง : http://unusualplaces.org/al-naslaa-rock-formation

Klerksdorp sphere วัตถุโลหะทรงกลมลึกลับ
Klerksdorp sphere
หรือ ร่องวงกลม เป็นโลหะลึกลับที่มีการค้นพบกว่า 3 ทศวรรษที่ผ่านมา โดยคนงานเหมืองใน Ottosdal เมืองเล็กๆ ในประเทศแอฟริกาใต้ได้ขุดค้นพบวัตถุโลหะทรงกลมลึกลับจำนวนหนึ่ง ขึ้นมาในชั้นหินแร่ไพโรฟิลไลท์ โดยไม่ทราบที่มา และแหล่งกำเนิดได้ว่าแท้จริงแล้วมันคืออะไรกันแน่

มันเป็นวัตถุโลหะทรงกลมลึกลับนี้วัดขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางรอบวงได้ประมาณ 1 นิ้วกว่าๆ (0.5-10 ซม.) และมี 2 แบบ คือโลหะสีน้ำเงินอ่อน มีสีขาวเป็นจุดๆ อีกแบบเป็นทรงกลวง ข้างในบรรจุข้าวสาลี  และจากการตรวจสอบหาอายุวัตถุลึกลับนี้จากชั้นของหินพบว่ามันมีอายุนานถึง 2,800 ล้านปี!!(ในวีพีมีเดียอังกฤษบอกว่า 3,000 ล้านปี) ซึ่งมันเป็นยุคพรีแคมเบรียนหรือบรมยุคกำเนิดโลก 

ดูจากยุคแล้วก็บอกได้แน่นอนว่าไม่มีวิทยาการที่สามารถใช้ไฟหลอมโลหะเป็นทรงกลมได้แน่ๆ แถมเป็นยุคที่ไม่มีมนุษย์อีก ทำให้จนบัดนี้ก็ยังไม่มีใครทราบคำตอบว่าใครเป็นทำโลหะทรงกลมเหล่านั้น?? และทำเพื่ออะไร?? ทำให้ตั้งข้อสมมุติฐานว่าเกิดจากธรรมชาติเท่านั้น.....

 แต่นักธรณีวิทยาได้ไขปริศนาแล้วว่า เจ้าวัตถุลึกลับนี้ไม่ใช่ฝีมือมนุษย์แน่นอน หากแต่มันเกิดจากธรรมชาติที่ได้สร้างสรรค์ออกมา โดยเรียกว่าปรากฏการณ์แปรสภาพ ก้อนคอนครีชั่น (Concretions) ซึ่งเกิดจากดินตะกอนเถ้าภูเขาไฟหรืออาจเป็นก้อนแร่เหล็กสีน้ำตาลที่บ่มเพาะจับตัวเป็นก้อนประมาณ 3000 ล้านปี โดยส่วนมากจะเป็นรูปไข่หรือทรงกลม แม้ว่าจะเป็นรูปร่างผิดปกติไปบ้างแต่ก็มาจากธรรมชาติ

โดยเปลี่ยนรูปเปลี่ยนสีเนื่องด้วยสภาพดินฟ้าอากาศและการออกซิไดซ์ ซึ่งด้วยรูปร่างแปลกดังกล่าวทำให้หลายคนมักตีความผิดว่าเกิดจากฝีมือมนุษย์ และหลักฐานที่เชื่อถือว่าคือมีการพบก้อนคอนครีชั่นในชั้นที่พบว่าอายุถึง 2.7- 28ล้านปีในออสเตรเลียซึ่งมีรูปร่างเหมือนวัตถุลึกลับดังกล่าวไม่มีผิด
abc-manman.blogspot

The Ica Stones หินแกะสลักอิคา
ในช่วงทศวรรษ 1930 บิดาของดร.ฮาเวียร์ คาบรีบรา นักมานุษยวิทยาวัฒนธรรม ผู้ศึกษาเรื่องราวของชนพื้นเมืองในเปรู ได้พบหินหลายร้อยก้อนตามหลุมศพของชาวอินคาโบราณ ดร.คาบรีบราได้สานต่องานของพ่อ ด้วยการสะสมก้อนหิน ซึ่งเป็นหินภูเขาไฟเหล่านี้ได้มากถึงกว่า 1,100 ก้อน ซึ่งประมาณว่ามีอายุราว 500-1,500 ปี และต่อมารู้จักกันในชื่อก้อนหินอิคา

หินเหล่านี้มีรอยสลัก บางชิ้นเป็นเรื่องราวทางเการแพทย์ เช่นผ่าตัด  ตัดหัวใจ และปลูกถ่ายสมอง แต่ที่น่าทึ่งที่สุดก็คือ ภาพสลักรูปไดโนเสาร์ ทั้งบรอนโตซอ รัส ไทรเซอราท็อป สเตโกซอรัส และเทอโรซอร์ รูปของคนขี่ไดโนเสาร์ รูปกล้องโทรทัศน์ แล้วก็แผนที่โลกที่มองลงมาจากทางอากาศ  ปัจจุบัน ยังไม่มีนักโบราณคดีคนใดอธิบายเรื่องนี้ได้  แม้นักวิชาการบอกว่า หินอิคาเป็นของที่กุขึ้นมาเอง แต่ก็ไม่เคยมีการ วิจัยเพื่อพิสูจน์ความจริงหรือหักล้างในเรื่องนี้ หินอิคาจึงเป็นก้อนหินที่น่าพิศวงต่อไป

มีไขปริศนา อายุของหินจริงถูกพบว่าปลอมทั้งหมด โดยระบุว่า บาสิลิโอ (Basilio Uschuya) เกษตรกรท้องถิ่นได้นำหินที่อ้างว่าพบในถ้ำดังกล่าวไปขายแก่นักท่องเที่ยว จนถูกตำรวจจับฐานค้าวัตถุโบราณ หากต่อมาในปี 1973 เขายืนยันว่าขั้นหินดังกล่าวเขาปั้นแต่งขึ้นโดยคัดลอกภาพจากหนังสือการ์ตูน หนังสือและนิตยสาร แม้ว่าต่อมาเขาจะกลับคำว่าพยายามแก้ตัวเพื่อหลีกเลี่ยงจำคุกก็ตาม ในปี 1977 

ได้มีการพิสูจน์แล้วว่าหินดังกล่าวถูกแกะสลักโดยกระดิ่งผูกคอวัวและเครื่องมือทันตแพทย์ โดยเขาบอกว่าหินดังกล่าวนั้นทำง่ายกว่าทำฟาร์มบนบกอีก เขายังกล่าวว่าเขาไม่ได้ทำหินทั้งหมด เพราะยังมีนักเกาะสลักคนอื่นๆ นอกเหนือจากเขาอีกที่ขายหินเหล่านี้ให้นักท่องเที่ยว โดยอ้างว่าเป็นของแปลก และในปี 1998 นักตรวจสอบชาวสเปนได้ประกาศผลการศึกษาสี่ปี

พบว่าหินดังกล่าวเป็นเรื่องหลอกลวงโดยอ้างว่าร่องรอยของสีที่วาดเป็นสีที่ทันสมัยและการเกาะสลักก็เช่นกัน นอกจากนี้ส่วนใหญ่เป็นหินที่พบตามแม่น้ำหรือสถานที่กลางแจ้งอื่นๆ และไม่ได้อยู่ในสุสานโบราณ ถ้าของเก่าจริงควรมีการกัดเซาะมากซึ่งเป็นปกติของหินอายุมาก โดยเขาสรุปว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นไม่ใช่รวมถึงหินทั้งหมด แต่กระนั้นการตรวจสอบแสดงให้เห็นว่าหินทั้งหมดเป็นของปลอมเพื่อหลอกขายนักท่องเที่ยว
generalmenmen.blogspot

The Dropa Stones แผ่นศิลาทรงกลมลึกลับ
ในปี 1938 นักโบราณคดีกลุ่มหนึ่งนำโดยดร.ชีปูเตย ได้เข้าไปสำรวจเทือกเขาเป่ยอัน-คารา-ยูลา ในเมืองจีน ได้ค้นพบสิ่งมหัศจรรย์ในถ้ำแห่งหนึ่งเข้า สิ่งมหัศจรรย์นี้เป็นวัตถุอารยธรรมโบราณฝังไว้

รูปร่างเหมือนแผ่นศิลาทรงกลมหลายร้อยแผ่นฝังอยู่ฝุ่นตามพื้นถ้ำ ศิลาเหล่านี้วัดเส้นผ่าศูนย์กลางได้ประมาณ 9 นิ้ว แต่ละแผ่นมี รอยสลักเป็นวงกลมที่ศูนย์กลาง แล้วแกะหมุนวนแบบลายก้นหอย ดูคล้ายแผ่นเสียง 

ทว่ามีอายุราว 10,000-12,000 ปี เมื่อเพ่งพินิจให้ดีก็จะพบว่า ที่จริงแล้ว เส้นสายเหล่านั้นเป็น อักษรภาพตัวเล็กจิ๋วที่บอกเล่าเรื่องราวที่เหลือเชื่อว่า ครั้งหนึ่งเคยมียานอวกาศบินมาตก ที่เทือกเขาแห่งนั้น ยานอวกาศที่ว่ามีนักบินเป็นเผ่าชนที่เรียกตัวเองว่า โดรปา ซึ่งมีการพบซากของมนุษย์ที่อาจเป็นลูกหลานของชนกลุ่มนี้ในถ้ำด้วย

ได้มีการไขปริศนาว่า มันเป็นเรื่องหลอกลวงทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดิสต์ คนค้นพบ หรือมนุษย์ต่างดาวโดรปามันไม่เป็นความจริง โดยเรื่องนี้มาจากหนังสือ(นวนิยาย)และบทความนิตรสาร ที่อ้างว่าในปี 1947 มีนักวิทยาศาสตร์ที่สำรวจทิเบตและเข้าไปเยือนในเทือกเขาฮาบาหยันและได้พบชาวโดรปาและแผ่นดิสต์ดังกล่าวต่อมาเรื่องราวก็ถูกเพิ่มเรื่องเสริมแต่งขึ้นมา ไล่ตั้งแต่ ดร.ชีปูเตยรวมไปถึงนักวิทยาศาสตร์คนอื่นๆ ที่กล่าวมานั้นไม่มีตัวตนอยู่จริง ไม่ว่าจะเป็นการแปลทั้งที่ในรายงานบอกเป็นภาษาต่างดาวแต่ทำไมคนแปลถึงแปลได้ทั้งที่อักษรโบราณหลายภาษาบนโลกยังแปลไม่ได้(อย่างภาษาเกาะครีตและเกาะอิสเตอร์เป็นต้น)

แต่ทำไมนักวิชาการจีนดังกล่าวถึงแปลได้อย่างง่ายดายโดยไม่จำเป็นต้องใช้หลักการภาษาศาสตร์มารับรอง อีกทั้งภาพถ่ายดิสต์เป็นนั้นไม่ตรงกับข้อมูลที่ให้ไว้ คือดิสก์มีขนาด 12 นิ้ว แต่ภาพที่ถ่ายนั้นกลับเห็นชัดว่าดิสต์มีขนาดใหญ่มาก

ประการที่สองภาพที่แสดงไม่มีร่องลึกควรเป็น และดิสต์ที่อ้างว่าเก็บในพิพิธภัณฑ์หลายแห่งในจีน แต่พอตรวจสอบดีๆ แล้วไม่พบพิพิธภัณฑ์ใดไม่มีดิสต์ดังกล่าวเลย 

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
และไม่สามารถยืนยันข้อมูลได้ว่าดิสต์ดังกล่าวถูกส่งไปยังสหภาพโซเวียตเพื่อวิเคราะห์ และสุดท้ายโดรปานั้นมีจริงหากแต่ไม่ใช่มนุษย์ต่างดาว พวกเขาคือเผ่าเร่ร่อนที่อาศัยมากที่สุดในภาพเหนือที่ราบสูงทิเบต ซึ่งคำว่าโดรปาแปลประมาณว่า “ความเหงา”
generalmenmen.blogspot.

‘Skystone’ หินลึกลับสีฟ้า

ปริศนา! ‘หินลึกลับสีฟ้า’ อายุหลายหมื่นปีที่ไม่มีใครเคยพบหรือรู้จักมาก่อน หรือนี่อาจเป็นอารยธรรมที่สาบสูญในแอฟริกา

อัญมณีลึกลับที่ไม่มีใครรู้จักนี้มีชื่อว่า ‘Skystone’ หรือ ‘หินสีฟ้าลึกลับ’ (Mysterious Blue Stone) ถูกพบโดย Angelo Pitoni นักธรณีวิทยาชาวอิตาลี ที่ถูกว่าจ้างให้เดินทางไปสำรวจยังเซอร์ราลีโอนใกล้ชายแดนประเทศกินี เมื่อปี 1990 หนึ่งในดินแดนแห่งอัญมณีล้ำค่า จากนายจ้างรายหนึ่งเพื่อหาทำเลลงทุน แต่แล้วการเดินทางครั้งนี้มันได้เปลียนชีวิตเขาไปตลอดกาล

ในระหว่างที่กำลังสำรวจบริเวณชายแดนของประเทศเซียร์ราลีโอนเมืองโคนาครีของกีนี หนึ่งในทีมงานได้พบกับวัตถุปริศนาจึงเรียกเขาไปดู และเมื่อไปถึงเขาก็แปลกใจอย่างมากเพราะมันเป็นก้อนหินสีฟ้าใสที่เหมือนกับน้ำทะเล นับเป็นสิ่งแปลกประหลาดที่สุดเท่าที่เขาเคยพบมา

เมื่อกลับมายังยุโรปเขานำหินลึกลับนี้ ไปให้กับสถาบันวิทยาศาสตร์ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์, ประเทศอิตาลี, ประเทศเนเธอร์แลนด์, ประเทศญี่ปุ่นทำการตรวจสอบ ทั้งหมดให้ข้อมูลตรงกันว่าเป็นแร่ที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน ซึ่งสีของหินก้อนของมันไม่เหมือนก้อนหินชนิดไหน ๆ (มีลักษณะเหมือนก้อนหินมากกว่าอัญมณีอย่าง เพชร หรือพลอย)

โดยมีองค์ประกอบของออกซิเจนสูงกว่า 77 เปอร์เซ็นต์ และส่วนประกอบอื่นๆ อย่างคาร์บอน ซิลิคอน แคลเซียม อีกอย่างละเล็กน้อย นักวิจัยได้ทำการตรวจสอบสารประกอบอินทรีย์ภายในก้อนหินลึกลับนี้ ซึ่งคาดว่ามันมีอายุถึง 15,000 – 55,000 ปี ทำให้แม้แต่นักวิทยาศาสตร์ก็ยังตั้งคำถามว่าแล้วมันมาจากไหน และเกิดขึ้นได้อย่างไร?

นักทฤษฎีได้ออกมาตั้งสมมติฐานเกี่ยว ‘สกายสโตน’ เอาไว้ว่า มันอาจเป็นร่องรอยของอารยธรรมที่สาบสูญไปในดินแดนเซียร์ราลีโอนก็เป็นได้ หรืออาจจะเป็นแร่ธาตุที่มาจากนอกโลก ก็ยังไม่มีใครฟันธงได้ จนทุกวันนี้เรื่องราวของก้อนหินลึกลับสีฟ้าก็ยังเป็นปริศนา และยังไม่มีใครพบหินในลักษณะเดียวกันนี้อีกเลย
starsmanman.blogspot

Sayhuite เป็นหินลึกลับที่มีลายเรขาคณิต

นี่คือ Sayhuite เป็นหิน ลึกลับ !? ที่มีลายเรขาคณิต มากกว่า 200 ลาย ทั้งยังมีใบหน้าของสัตว์เลื้อยคลานอย่าง กบ หรือแม้กระทั่ง แมว อยู่อีกด้วย ....!!
.
โดยหินก้อนนี้ ตั้งอยู่ห่างไปทางตะวันออกของเมือง Abancay กว่า 47 กิโลเมตร หรืออยู่ห่างจากเมืองกุสโกนาน 3 ชั่วโมง ก้อนหินถูกตั้งไว้บนเนินเขา มีบ่อน้ำเล็กๆ แม่น้ำ อุโมงค์ และทางน้ำล้อมรอบ ซึ่งนักวิจัยยังคงไม่ทราบวัตถุประสงค์ที่สร้างมันขึ้นมา

แต่นักวิจัย Dr. Alan Amdrews คาดว่าหินอาจจะถูกนำมาใช้โดยวิศวกรในยุคโบราณเพื่อเป็นต้นแบบการออกแบบและทดสอบระบบการจัดการน้ำ เพราะหินมีร่องรอยการแก้ไขหลายครั้งเพื่อเปลี่ยนแปลงทิศทางของน้ำ
.
ด้วยความแปลกและเป็นปริศนาลึกลับทำให้โบราณสถานแห่งนี้กลายเป็นที่ท่องเที่ยวยอดนิยม แต่นักวิจัยบางคน ก็เชื่อว่ามันเป็นศูนย์กลางทางศาสนา
เพื่อใช้ในการบูชาน้ำและจัดพิธีกรรมเพื่อบูชาน้ำ ร่องรอยการแกะสลักบนหินเป็นหลักฐานที่ช่วยยืนยัน แต่ก็เป็นเพียงข้อสันนิษฐานเท่านั้น !!!

นอกจากนี้วิศวกร สมัยใหม่ยังคาดอีกด้วยว่าอาจเป็นหินที่สร้างขึ้นโดยชาวอินคา ดังนั้นหินนี้อาจเป็นชิ้นส่วนหนึ่งทางวัฒนธรรมของชาวอินคาที่หลงเหลืออยู่ แต่ก็ยังไม่มีข้อสรุปแต่อย่างใด และหินนี้ก็ยังคงเป็นปริศนา ให้สำรวจต่อไปว่าจริงๆแล้ว มันเอาไว้ทำอะไรกันแน่ !?
soccersuck.com
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่