วันนี้จะขอแชร์เรื่องราวของตัวเองนะคะ เป็นมุมมืดในใจที่เก็บเอาไว้ลึกๆ
ขอแชร์เพื่ออาจจะเป็นประโยชน์กับคนอื่นบ้าง หรืออย่างน้อยก็ได้ความบันเทิงประมาณนึง
แต่จะดีมาก ถ้าพ่อแม่ที่มีลูก ได้เข้ามาอ่านกระทู้นี้ และลดความคาดหวังและความกดดันที่มีต่อลูกลงนะคะ
ย้อนไปเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว เราเป็นเด็กที่เอ็นทรานซ์ไม่ติดสักมหาวิทยาลัยค่ะ
ประเด็นนี้ในหลายครอบครัวมันอาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่โต ก็เรียนมหาวิทยาลัยเปิด หรือเอกชนได้
แต่นั่นไม่ใช่ครอบครัวเรา ทั้งพ่อและแม่ของเราจบกับรั้วชมพูค่ะ ความคาดหวังในตัวเราเลยสูงตามไปด้วย
(ในครอบครัวของเรา พี่น้องของพ่อแม่ รวมถึงลูกพี่ลูกน้องของเรา ไม่มีใครเรียนเอกชนค่ะ
ทุกคนล้วนจบจาก มหาวิทยาลัยอันดับ 1-5 ของประเทศ มีเราคนเดียวจริงๆ ที่จบเอกชน)
หลังจากรู้ว่าเราไม่ติดที่ไหนเลย พ่อกับแม่ก็โกรธมาก หลังจากที่เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยเอกชนตอน ปี 1
เราจะมีเคอร์ฟิวค่ะ ต้องกลับถึงบ้านตอน 6 โมงเย็น ห้ามเลท การรับน้องหรือกิจกรรมหลังจากนั้น เราเข้าร่วมไม่ได้ค่ะ
ทุกวันหลังจากกลับบ้านมาแล้ว พ่อแม่จะเรียกเราเข้าไปในห้องนอนเขา
สิ่งที่เราต้องทำคือนั่งลงที่พื้น ขณะที่พ่อแม่นั่งที่เก้าอี้ตรงข้ามกับเรา 1-2 ชั่วโมงต่อจากนั้น
เราต้องนั่งนิ่งๆ ก้มหน้า ห้ามพูด ห้ามเถียง จากนั้นพ่อแม่จะบอกว่าผิดหวังในตัวเราแค่ไหน
โง่ๆ อย่างเรา จบไปก็หางานทำไม่ได้ ไม่ต้องคิดเรื่องแฟนเลย โง่แบบนี้ใครจะเอาทำเมีย
พ่อแม่เราอับอายมาก เมื่อภารโรงหรือคนงานที่ทำงานคุยให้ฟังว่า ลูกเขาเอ็นติดที่นั่นที่นี่
แล้วเราเป็นใคร พ่อแม่จบอะไรมา ชีวิตดีกว่าเขาตั้งเยอะ ทำไมเราทำไม่ได้
เนื้อหาหลักๆ จะเป็นประมาณนี้ตลอดทั้งเทอม 1 เราได้แต่นั่งฟังทุกวัน
ปกติแล้วเราจะไม่ได้เป็นคนที่เครียดอะไรเท่าไหร่ค่ะ แต่ด้วยความกดดันที่เกิดขึ้น
มันทำให้เราเป็นไมเกรนตั้งแต่อายุ 18 ปวดหัวจนอ้วก เรื่องนี้ไม่มีใครรู้ แน่นอนว่าพ่อแม่ของเราก็ด้วย
เรานอนหลับไปพร้อมน้ำตาอาบแก้มทุกวันมาตลอด 1 เทอมเต็ม
เทอม 1 เราทำเกรดได้ดีมาก ไม่ใช่เพราะมหาวิทยาลัยไม่แข็ง แต่เป็นเพราะเราชอบวิชาที่เรียนจริงๆ
เอาเกรดไปให้พ่อแม่ดู หวังว่าเขาจะดีใจบ้าง หรืออย่างน้อยก็เลิกด่าเรา
แต่เราก็ต้องผิดหวัง เมื่อชั่วโมงนรกนั้นมันยังไม่จบ ต่อไปเรื่อยๆ จนถึงเทอม 2
พอเข้าเทอม 2 ร่างกายของเรายิ่งเครียดมากขึ้น เราหันไปพึ่งเหล้าและบุหรี่เต็มรูปแบบ
เริ่มไม่สนใจพ่อแม่จริงจัง ไม่สนใจเคอร์ฟิว ไม่สนใจเข้าเรียน เพราะเกรดดีไป ก็ไม่มีใครดีใจกับเรา
เราสูบบุหรี่และกินเหล้าจัดมาก สมองเริ่มเบลอ เพราะกินติดต่อกันเป็นเวลาหลายเดือน
เสื้อผ้าเหม็นบุหรี่กับเหล้าไปหมด เพื่อนก็มีแต่เพื่อนในกลุ่มกินเหล้า โดดเรียนเป็นว่าเล่น
วิชาไหนไม่เช็คชื่อก็ไม่เข้าเลย ยังดีที่การเก็บคะแนนในห้องน้อยมากเลยไม่กระทบเท่าไหร่
เรามีทำงานส่งและผลสอบก็ออกมาโอเค เกรดเลยไม่ร่วงแต่ดีขึ้นไปเรื่อยๆ ทั้งที่เข้าเรียนน้อยนี่แหละ
จนในที่สุดเกิดเหตุการณ์แตกหักกับพ่อแม่ เราหนีออกจากบ้านในช่วงสิ้นสุดปี 1
ตอนนั้นคิดอย่างเดียวคือ ขอมีพ่อแม่ใหม่ในชาตินี้ไม่ได้ ก็ไปหาพ่อแม่ใหม่เอาชาติหน้าก็ได้
หนีออกจากบ้านไปสงบสติอารมณ์สักพักก็เริ่มคิดอะไรหลายๆ อย่าง ที่เห็นแก่ตัวสุดๆ
เราหนีออกจากบ้านได้ระยะเวลานึงก็กลับมาบ้าน สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนไป คือความชินชากับพ่อแม่
คำด่าคำว่าที่กระหน่ำเข้ามา มันทำอะไรเราไม่ได้อีกแล้ว พ่อแม่หมดความสำคัญสำหรับเราไปเลย
มันดูเหมือนเราอาจจะอวดดี เนรคุณ และอกตัญญู แต่ความรู้สึกที่เกิดขึ้น เราไม่ได้บังคับมันให้คิดและรู้สึกกับพ่อแม่แบบนี้
แต่มันเหมือนแรงกดดันและความรู้สึกด้านลบทั้งหมด มันอัดแน่นและระเบิดออกมาในครั้งเดียว
คนเป็นลูกที่ดี ไม่ควรจะรู้สึกกับพ่อแม่แบบเดียวกับที่เราเป็น หลายครั้งหลายคราที่เราบอกกับตัวเองว่า
เพราะพ่อแม่รักและห่วงเรามาก เขาจึงดุด่าว่ากล่าว เพื่อให้เราเป็นคนที่ดีขึ้น
แต่ก็หลายครั้งหลายคราอีกเหมือนกัน ที่เราอยากทิ้งชีวิตแบบนี้ และโหยหาการเป็นเด็กกำพร้าที่ไม่ต้องได้รับความรักแบบนี้เสียดีกว่า
วันจบการศึกษาเราไม่มีโมเม้นที่ดีใจอย่างใครเขา เราไม่มีวันรับปริญญา ไม่มีภาพถ่ายกับพ่อแม่
ไม่ใช่เพราะเขาอายเกินกว่าที่จะยินดีกับเรา แต่เป็นเราต่างหากที่รู้สึกขยะแขยงกับความยินดีของเขา
เราไปรับใบปริญญาหลังจากที่เขามีพิธีรับจริงกันไปแล้ว การรับปริญญาของเราเลยใช้เวลาแค่ 10 นาทีเท่านั้น
และไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น นอกจากค่าเดินทางไป
ทุกวันนี้เราทำงานโดยไม่มีใครสนใจว่าเราจบจากที่ไหน คณะอะไรด้วยซ้ำ
ค่าของตัวเรามันคือประสบการณ์และทักษะที่เรามีล้วนๆ สิ่งที่เราเรียนมาสมัยปริญญา ไม่มีโอกาสได้เอามาใช้
ทักษะที่เรามีตอนนี้เราสร้างมันขึ้นมาเอง โดยไม่ต้องรับแรงกดดันจากใคร
เราเรียนรู้ เข้าใจได้เร็ว และสนุกไปกับการเรียน เราทดลองใช้จริง มีประสบการณ์จริง ได้พัฒนาฝีมือจริง
หลายๆ คนเคยบอกเราว่า เมื่อมีลูก เราจะเข้าใจความหวังดีของพ่อกับแม่เราเอง
แต่ก็กลับกันนะ เราไม่เคยเข้าใจการกระทำที่พ่อแม่เราทำสักนิดเดียว
เราเลี้ยงลูกต่างกับพ่อแม่สิ้นเชิง ปราศจากความกดดันและพลังงานเชิงลบ
เราให้เขาเรียนในสิ่งที่อยากเรียน โดยไม่สนใจด้วยซ้ำว่าเขาจะทำมันได้ดีมากน้อยแค่ไหน
สิ่งที่เขาชอบ เขาจะมีแนวทางของมัน และเราก็มั่นใจในแววตาของเขาเช่นกันค่ะ
ขอแท็คเรื่องสั้นนะคะ แม้ไม่ใช่นิยาย แต่ว่าสำนวนเราเริ่มเหมือนแล้วแหละ 555
โง่ที่สุดในตระกูล เป็นความอับอายของพ่อแม่ ความกดดันแย่ๆ ที่พ่อแม่สร้างขึ้นมา
ขอแชร์เพื่ออาจจะเป็นประโยชน์กับคนอื่นบ้าง หรืออย่างน้อยก็ได้ความบันเทิงประมาณนึง
แต่จะดีมาก ถ้าพ่อแม่ที่มีลูก ได้เข้ามาอ่านกระทู้นี้ และลดความคาดหวังและความกดดันที่มีต่อลูกลงนะคะ
ย้อนไปเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว เราเป็นเด็กที่เอ็นทรานซ์ไม่ติดสักมหาวิทยาลัยค่ะ
ประเด็นนี้ในหลายครอบครัวมันอาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่โต ก็เรียนมหาวิทยาลัยเปิด หรือเอกชนได้
แต่นั่นไม่ใช่ครอบครัวเรา ทั้งพ่อและแม่ของเราจบกับรั้วชมพูค่ะ ความคาดหวังในตัวเราเลยสูงตามไปด้วย
(ในครอบครัวของเรา พี่น้องของพ่อแม่ รวมถึงลูกพี่ลูกน้องของเรา ไม่มีใครเรียนเอกชนค่ะ
ทุกคนล้วนจบจาก มหาวิทยาลัยอันดับ 1-5 ของประเทศ มีเราคนเดียวจริงๆ ที่จบเอกชน)
หลังจากรู้ว่าเราไม่ติดที่ไหนเลย พ่อกับแม่ก็โกรธมาก หลังจากที่เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยเอกชนตอน ปี 1
เราจะมีเคอร์ฟิวค่ะ ต้องกลับถึงบ้านตอน 6 โมงเย็น ห้ามเลท การรับน้องหรือกิจกรรมหลังจากนั้น เราเข้าร่วมไม่ได้ค่ะ
ทุกวันหลังจากกลับบ้านมาแล้ว พ่อแม่จะเรียกเราเข้าไปในห้องนอนเขา
สิ่งที่เราต้องทำคือนั่งลงที่พื้น ขณะที่พ่อแม่นั่งที่เก้าอี้ตรงข้ามกับเรา 1-2 ชั่วโมงต่อจากนั้น
เราต้องนั่งนิ่งๆ ก้มหน้า ห้ามพูด ห้ามเถียง จากนั้นพ่อแม่จะบอกว่าผิดหวังในตัวเราแค่ไหน
โง่ๆ อย่างเรา จบไปก็หางานทำไม่ได้ ไม่ต้องคิดเรื่องแฟนเลย โง่แบบนี้ใครจะเอาทำเมีย
พ่อแม่เราอับอายมาก เมื่อภารโรงหรือคนงานที่ทำงานคุยให้ฟังว่า ลูกเขาเอ็นติดที่นั่นที่นี่
แล้วเราเป็นใคร พ่อแม่จบอะไรมา ชีวิตดีกว่าเขาตั้งเยอะ ทำไมเราทำไม่ได้
เนื้อหาหลักๆ จะเป็นประมาณนี้ตลอดทั้งเทอม 1 เราได้แต่นั่งฟังทุกวัน
ปกติแล้วเราจะไม่ได้เป็นคนที่เครียดอะไรเท่าไหร่ค่ะ แต่ด้วยความกดดันที่เกิดขึ้น
มันทำให้เราเป็นไมเกรนตั้งแต่อายุ 18 ปวดหัวจนอ้วก เรื่องนี้ไม่มีใครรู้ แน่นอนว่าพ่อแม่ของเราก็ด้วย
เรานอนหลับไปพร้อมน้ำตาอาบแก้มทุกวันมาตลอด 1 เทอมเต็ม
เทอม 1 เราทำเกรดได้ดีมาก ไม่ใช่เพราะมหาวิทยาลัยไม่แข็ง แต่เป็นเพราะเราชอบวิชาที่เรียนจริงๆ
เอาเกรดไปให้พ่อแม่ดู หวังว่าเขาจะดีใจบ้าง หรืออย่างน้อยก็เลิกด่าเรา
แต่เราก็ต้องผิดหวัง เมื่อชั่วโมงนรกนั้นมันยังไม่จบ ต่อไปเรื่อยๆ จนถึงเทอม 2
พอเข้าเทอม 2 ร่างกายของเรายิ่งเครียดมากขึ้น เราหันไปพึ่งเหล้าและบุหรี่เต็มรูปแบบ
เริ่มไม่สนใจพ่อแม่จริงจัง ไม่สนใจเคอร์ฟิว ไม่สนใจเข้าเรียน เพราะเกรดดีไป ก็ไม่มีใครดีใจกับเรา
เราสูบบุหรี่และกินเหล้าจัดมาก สมองเริ่มเบลอ เพราะกินติดต่อกันเป็นเวลาหลายเดือน
เสื้อผ้าเหม็นบุหรี่กับเหล้าไปหมด เพื่อนก็มีแต่เพื่อนในกลุ่มกินเหล้า โดดเรียนเป็นว่าเล่น
วิชาไหนไม่เช็คชื่อก็ไม่เข้าเลย ยังดีที่การเก็บคะแนนในห้องน้อยมากเลยไม่กระทบเท่าไหร่
เรามีทำงานส่งและผลสอบก็ออกมาโอเค เกรดเลยไม่ร่วงแต่ดีขึ้นไปเรื่อยๆ ทั้งที่เข้าเรียนน้อยนี่แหละ
จนในที่สุดเกิดเหตุการณ์แตกหักกับพ่อแม่ เราหนีออกจากบ้านในช่วงสิ้นสุดปี 1
ตอนนั้นคิดอย่างเดียวคือ ขอมีพ่อแม่ใหม่ในชาตินี้ไม่ได้ ก็ไปหาพ่อแม่ใหม่เอาชาติหน้าก็ได้
หนีออกจากบ้านไปสงบสติอารมณ์สักพักก็เริ่มคิดอะไรหลายๆ อย่าง ที่เห็นแก่ตัวสุดๆ
เราหนีออกจากบ้านได้ระยะเวลานึงก็กลับมาบ้าน สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนไป คือความชินชากับพ่อแม่
คำด่าคำว่าที่กระหน่ำเข้ามา มันทำอะไรเราไม่ได้อีกแล้ว พ่อแม่หมดความสำคัญสำหรับเราไปเลย
มันดูเหมือนเราอาจจะอวดดี เนรคุณ และอกตัญญู แต่ความรู้สึกที่เกิดขึ้น เราไม่ได้บังคับมันให้คิดและรู้สึกกับพ่อแม่แบบนี้
แต่มันเหมือนแรงกดดันและความรู้สึกด้านลบทั้งหมด มันอัดแน่นและระเบิดออกมาในครั้งเดียว
คนเป็นลูกที่ดี ไม่ควรจะรู้สึกกับพ่อแม่แบบเดียวกับที่เราเป็น หลายครั้งหลายคราที่เราบอกกับตัวเองว่า
เพราะพ่อแม่รักและห่วงเรามาก เขาจึงดุด่าว่ากล่าว เพื่อให้เราเป็นคนที่ดีขึ้น
แต่ก็หลายครั้งหลายคราอีกเหมือนกัน ที่เราอยากทิ้งชีวิตแบบนี้ และโหยหาการเป็นเด็กกำพร้าที่ไม่ต้องได้รับความรักแบบนี้เสียดีกว่า
วันจบการศึกษาเราไม่มีโมเม้นที่ดีใจอย่างใครเขา เราไม่มีวันรับปริญญา ไม่มีภาพถ่ายกับพ่อแม่
ไม่ใช่เพราะเขาอายเกินกว่าที่จะยินดีกับเรา แต่เป็นเราต่างหากที่รู้สึกขยะแขยงกับความยินดีของเขา
เราไปรับใบปริญญาหลังจากที่เขามีพิธีรับจริงกันไปแล้ว การรับปริญญาของเราเลยใช้เวลาแค่ 10 นาทีเท่านั้น
และไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น นอกจากค่าเดินทางไป
ทุกวันนี้เราทำงานโดยไม่มีใครสนใจว่าเราจบจากที่ไหน คณะอะไรด้วยซ้ำ
ค่าของตัวเรามันคือประสบการณ์และทักษะที่เรามีล้วนๆ สิ่งที่เราเรียนมาสมัยปริญญา ไม่มีโอกาสได้เอามาใช้
ทักษะที่เรามีตอนนี้เราสร้างมันขึ้นมาเอง โดยไม่ต้องรับแรงกดดันจากใคร
เราเรียนรู้ เข้าใจได้เร็ว และสนุกไปกับการเรียน เราทดลองใช้จริง มีประสบการณ์จริง ได้พัฒนาฝีมือจริง
หลายๆ คนเคยบอกเราว่า เมื่อมีลูก เราจะเข้าใจความหวังดีของพ่อกับแม่เราเอง
แต่ก็กลับกันนะ เราไม่เคยเข้าใจการกระทำที่พ่อแม่เราทำสักนิดเดียว
เราเลี้ยงลูกต่างกับพ่อแม่สิ้นเชิง ปราศจากความกดดันและพลังงานเชิงลบ
เราให้เขาเรียนในสิ่งที่อยากเรียน โดยไม่สนใจด้วยซ้ำว่าเขาจะทำมันได้ดีมากน้อยแค่ไหน
สิ่งที่เขาชอบ เขาจะมีแนวทางของมัน และเราก็มั่นใจในแววตาของเขาเช่นกันค่ะ
ขอแท็คเรื่องสั้นนะคะ แม้ไม่ใช่นิยาย แต่ว่าสำนวนเราเริ่มเหมือนแล้วแหละ 555