By มาร์ตี้ แม็คฟราย
หลังจากที่มีหนัง Spin-off ที่ไปเล่าเรื่องบรรดาผีมาตั้งหลายเรื่อง จนดูเหมือนจักรวาล Conjuring ดูจะเริ่มห่างไกลกับเรื่องราวหลักมากขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่การย้อนกลับไปเล่าต้นกำเนิดตุ๊กตาผีสิงใน Annabelle: Creation (2017) ผีแม่ชีใน The Nun (2018) ไปจนถึงผีสาวเม็กซิโกใน The Curse of the Weeping Woman (The Curse of La Llorona) (2018)
การมาของ Annabelle Comes Home จึงเป็นเหมือนการบอกและพาแฟน ๆ ที่ติดตามกันมาให้รู้ว่าทิศทางของหนังดูเหมือนกำลังจะกลับเข้ารูปเข้ารอยเส้นเรื่องหลักอีกครั้ง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือการปรากฏตัวของ เอ็ด และ ลอว์เรน วอร์เรน ที่เราได้เห็นตัวอย่างด้วยแล้ว ความคาดหวังถึงเรื่องราวที่จะนำพาไปสู่หนังอย่าง The Conjuring 3 (กำหนดเข้าฉายปี 2020) ก็ยิ่งเด่นชัดเข้าไปอีก
แต่นั่นทำให้หลายคน (รวมถึงผู้เขียน) ลืมไปว่า หนังเล่าถึง Annabelle ไม่ใช่ The Conjuring 2.5 เสียหน่อย การปรากฏตัวของสามีภรรยานักปราบผีในหนังเรื่องนี้ จึงเป็นเพียงตัวละครรับเชิญที่โผล่มาเพียงต้นเรื่องราว 15 นาที อันเป็นฉากที่เล่าต่อจากฉากเปิดใน The Conjuring (2013) ที่เอ็ดและลอว์เรนไปรับตุ๊กตาผีมาเก็บไว้ในที่ที่มันควรจะอยู่ 15 นาทีของหนังในช่วงแรก จึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุดของหนังเรื่องนี้อย่างชัดเจน ไม่ใช่เพราะน่ากลัวหรือเล่าเรื่องดี แต่เพราะพลังดาราของ Patrick Wilson และ Vera Farmiga และบารมีของสองตัวละครมากกว่า
ซึ่งหลังจากนั้น หนังก็ได้กลายสภาพเป็นหนังบ้านผีสิงที่อุดมไปด้วยความซ้ำซากจากบรรยากาศเดิม ๆ และตัวละครแบบเดิม ๆ ที่เห็นได้ทั่วไปตั้งแต่หนังผียุค 90
ต้องบอกก่อนว่าผู้เขียนก็นับเป็นแฟนของจักรวาล The Conjuring คนหนึ่ง ที่ติดตามและดูหนังในจักรวาลทุกเรื่องตั้งแต่ The Conjuring ภาคแรก โดยความรู้สึกแล้วก็มีทั้งหนังที่ชอบมาก และไม่ชอบเลย โดยหนังตุ๊กตาผีเรื่องล่าสุดก็คงต้องจัดอยู่เกือบรั้งท้าย เพราะความเบาหวิวเหลือทนของบทหนัง ที่ภาคนี้ต้องบอกว่า ไม่มีอะไรเลย
เราคงไม่ได้มาดูหนังผีเพื่อหวังว่าจะมาเจอเรื่องราวหรือบทภาพยนตร์ชั้นเยี่ยม ทุกคนรู้กันดีในข้อนี้ แต่ ‘ตุ๊กตาผีกลับบ้าน’ เรื่องนี้เทียบกับหนังเรื่องอื่นในจักรวาลก็ยังไม่ได้เลย ไม่ต้องไปเอ่ยถึง The Conjuring ทั้งสองภาค แต่ลองดูพวกภาค Spin-off อย่าง Annabelle: Creation ตัวหนังอ่อนเรื่องบทเหมือนกัน แต่อย่างน้อยหนังก็ยังมีเส้นเรื่องและจุดหมายให้คนดูติดตาม เช่นเราอยากรู้ว่าสุดท้ายแล้วเกิดอะไรขึ้นกับบ้านหลังนี้ ตุ๊กตาแอนนาเบลล์แท้จริงคือวิญญาณตนไหน และจุดจบจะไปอยู่ที่ไหน แม้แต่ผีแม่ชีใน The Nun ที่บทก็แย่เหมือนกัน แต่อย่างน้อยก็มีการเปิดปมปริศนาบางอย่างให้คนดูติดตาม และเฝ้าดูว่าสุดท้ายแล้วผีแม่ชีนี่มันมีที่มาอย่างไร (แม้สุดท้ายมันจะหักหลังคนดูด้วยการไม่ให้คำตอบอยู่ดี) ก็ตาม
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นใน Annabelle Comes Home ไม่ได้มีเรื่องราวตั้งต้น ไม่ได้มีสถานการณ์หรือเรื่องราวน่าสนใจใคร่รู้ชวนหาคำตอบใด ๆ ไม่ได้มีผีมารังควาญครอบครัวสุดซวยที่ต้องเอาตัวรอด แต่มันคือหนังบ้านผีที่ถูกสร้างให้ฉากผีเกิดขึ้นจากตัวละครสุดแสนจำเจในหนังสยองขวัญ ที่ทำให้เกิดเรื่องขึ้นมา พูดง่าย ๆ คือเดินหน้าหาเรื่องใส่ตัวด้วยสติปัญญาต่ำกว่าระดับน้ำทะเล หนังทั้งเรื่องจึงวนเวียนกับฉากสารพัดผีในบ้านวอร์เรน ที่ออกมายืดเส้นยืดสายทักทายมนุษย์เพราะคงไม่ได้เจอกันนาน จุดมุ่งหมายของหนังจึงมีแค่การเอาตัวรอดของตัวละครจากบรรดาผีในบ้าน จบ.
หนังผีบทเบาหวิว สามารถเอาตัวรอดได้จากอะไร? ฉากสยองขวัญนั่นไง! แต่ก็ไม่ใช่กับเรื่องนี้อยู่ดี ลองดูใน Annabelle: Creation บทหนังก็ไม่ได้มีอะไรมากมาย แทบจะเป็นฉากผีร้อยเรียงต่อกัน และแน่นอนกับตัวละครก็มีระดับสติปัญญาระดับน้ำทะเลพอกัน แต่อย่างน้อยหนังก็มีฉากสยองขวัญที่น่ากลัว ส่งผลต่อตัวละคร และเต็มไปด้วยอารมณ์โหดเหี้ยมที่จริงจังตลอดทั้งเรื่อง
หรือจะเป็นกรณีของ The Curse of the Weeping Woman เนื้อเรื่องไม่ได้มีอะไรซับซ้อน แต่ซีเรียสและมีที่มาที่ไปมากกว่าเยอะ ซึ่งก็สอบผ่านในเรื่องฉากสยองขวัญเหมือนกัน โดยฉากสยองขวัญในเรื่องนี้มีชั้นเชิง ไม่ต้องอารัมภบทมาก แต่ปล่อยหมักฮุกแรง แถมยังมีฉากปราบผีของหมอผีเม็กซิโกซึ่งน่าจะเป็นจุดที่น่าสนใจที่สุดของหนังมาชูโรงอีกด้วย ซึ่งมันไม่เกิดขึ้นกับ Annabelle Comes Home ที่หนังฉากผียืดยาดและปูอารมณ์นานเกินไป จนไม่น่ากลัว ปูสถานการณ์แบบให้คนดูคิดนำว่ามาแน่ ถึงจุดหนึ่งก็ใช้ Jump Scare (จังหวะตุ้งแช่) โผล่มาให้คนดูตกใจ แบบนี้ซ้ำไปซ้ำมาตลอดทั้งเรื่อง ยังดีที่ได้การแสดงที่มีเสน่ห์ของสาวน้อยอย่าง Mckenna Grace ในบท จูดี้ วอร์เรน ที่ทำให้ตัวละครนี้ดูน่าสนใจพอที่อยากจะเห็นเธอในหนังเรื่องต่อ ๆ ไป ในจักรวาล
ปัญหาของหนังเนื้อเรื่องและฉากสยองขวัญของหนังเรื่องนี้ จึงน่าจะมาจาก Gary Dauberman ผู้เขียนบทของแฟรนไชส์ที่เขียนบทให้หนัง Spin-off ไล่ตั้งแต่ Annabelle (ยกเว้น The Curse of the Weeping Woman) ที่ได้โอกาสมารับงานเขียนบทควบกำกับเป็นครั้งแรกกับหนังเรื่องนี้ กับผลลัพธ์ที่ออกมาก็ชัดเจนว่าฝีมือด้านการกำกับของเขาก็คงยังต้องปรับปรุงอีกเยอะทีเดียว
เพราะใน Annabelle: Creation ที่ผู้กำกับ David F. Sandberg ก็โชว์ฝีมือจนเฉิดฉาย และตามรอยป๋าดันอย่าง James Wan ไปกำกับหนังฮีโร่อย่าง Shazam! (2019) หรือ The Curse of the Weeping Woman ที่ผู้กำกับ Michael Chaves ก็โชว์ฝีมือด้านหนังสยองขวัญที่ฝีมือละม้ายคล้ายคลึงกับ James Wan เสียเหลือเกิน จนได้รับความไว้วางใจให้กำกับหนังใหญ่ของจักรวาลเรื่องต่อไปอย่าง The Conjuring 3 แทนที่ตัวพ่ออย่าง James Wan
ก็ได้แต่หวังว่าโปรเจกต์ต่อจากนี้จะสามารถนำแฟรนไชส์ให้กลับมาสู่มาตรฐานเดิมที่ James Wan ได้สร้างเอาไว้ รวมถึงสร้างจักรวาลให้มีความเชื่อมโยงในเส้นเรื่องหลักมากกว่านี้ ไม่ใช่ดูเหมือนสร้างหนังผี Spin-off มาขายโดยใช้คำว่าจักรวาลเป็นจุดขายเท่านั้น แต่ไม่เคยใช้ประโยชน์กับความเป็นจักรวาลหนังจริง ๆ สักที
ติดตามบทความจากภาพยนตร์เรื่องอื่น ๆได้ที่
https://www.facebook.com/thelastseatsontheleft
[Review] Annabelle Comes Home: มหกรรมโชว์ผี ณ บ้านตระกูลวอร์เรน
หลังจากที่มีหนัง Spin-off ที่ไปเล่าเรื่องบรรดาผีมาตั้งหลายเรื่อง จนดูเหมือนจักรวาล Conjuring ดูจะเริ่มห่างไกลกับเรื่องราวหลักมากขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่การย้อนกลับไปเล่าต้นกำเนิดตุ๊กตาผีสิงใน Annabelle: Creation (2017) ผีแม่ชีใน The Nun (2018) ไปจนถึงผีสาวเม็กซิโกใน The Curse of the Weeping Woman (The Curse of La Llorona) (2018)
การมาของ Annabelle Comes Home จึงเป็นเหมือนการบอกและพาแฟน ๆ ที่ติดตามกันมาให้รู้ว่าทิศทางของหนังดูเหมือนกำลังจะกลับเข้ารูปเข้ารอยเส้นเรื่องหลักอีกครั้ง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือการปรากฏตัวของ เอ็ด และ ลอว์เรน วอร์เรน ที่เราได้เห็นตัวอย่างด้วยแล้ว ความคาดหวังถึงเรื่องราวที่จะนำพาไปสู่หนังอย่าง The Conjuring 3 (กำหนดเข้าฉายปี 2020) ก็ยิ่งเด่นชัดเข้าไปอีก
แต่นั่นทำให้หลายคน (รวมถึงผู้เขียน) ลืมไปว่า หนังเล่าถึง Annabelle ไม่ใช่ The Conjuring 2.5 เสียหน่อย การปรากฏตัวของสามีภรรยานักปราบผีในหนังเรื่องนี้ จึงเป็นเพียงตัวละครรับเชิญที่โผล่มาเพียงต้นเรื่องราว 15 นาที อันเป็นฉากที่เล่าต่อจากฉากเปิดใน The Conjuring (2013) ที่เอ็ดและลอว์เรนไปรับตุ๊กตาผีมาเก็บไว้ในที่ที่มันควรจะอยู่ 15 นาทีของหนังในช่วงแรก จึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุดของหนังเรื่องนี้อย่างชัดเจน ไม่ใช่เพราะน่ากลัวหรือเล่าเรื่องดี แต่เพราะพลังดาราของ Patrick Wilson และ Vera Farmiga และบารมีของสองตัวละครมากกว่า
ซึ่งหลังจากนั้น หนังก็ได้กลายสภาพเป็นหนังบ้านผีสิงที่อุดมไปด้วยความซ้ำซากจากบรรยากาศเดิม ๆ และตัวละครแบบเดิม ๆ ที่เห็นได้ทั่วไปตั้งแต่หนังผียุค 90
ต้องบอกก่อนว่าผู้เขียนก็นับเป็นแฟนของจักรวาล The Conjuring คนหนึ่ง ที่ติดตามและดูหนังในจักรวาลทุกเรื่องตั้งแต่ The Conjuring ภาคแรก โดยความรู้สึกแล้วก็มีทั้งหนังที่ชอบมาก และไม่ชอบเลย โดยหนังตุ๊กตาผีเรื่องล่าสุดก็คงต้องจัดอยู่เกือบรั้งท้าย เพราะความเบาหวิวเหลือทนของบทหนัง ที่ภาคนี้ต้องบอกว่า ไม่มีอะไรเลย
เราคงไม่ได้มาดูหนังผีเพื่อหวังว่าจะมาเจอเรื่องราวหรือบทภาพยนตร์ชั้นเยี่ยม ทุกคนรู้กันดีในข้อนี้ แต่ ‘ตุ๊กตาผีกลับบ้าน’ เรื่องนี้เทียบกับหนังเรื่องอื่นในจักรวาลก็ยังไม่ได้เลย ไม่ต้องไปเอ่ยถึง The Conjuring ทั้งสองภาค แต่ลองดูพวกภาค Spin-off อย่าง Annabelle: Creation ตัวหนังอ่อนเรื่องบทเหมือนกัน แต่อย่างน้อยหนังก็ยังมีเส้นเรื่องและจุดหมายให้คนดูติดตาม เช่นเราอยากรู้ว่าสุดท้ายแล้วเกิดอะไรขึ้นกับบ้านหลังนี้ ตุ๊กตาแอนนาเบลล์แท้จริงคือวิญญาณตนไหน และจุดจบจะไปอยู่ที่ไหน แม้แต่ผีแม่ชีใน The Nun ที่บทก็แย่เหมือนกัน แต่อย่างน้อยก็มีการเปิดปมปริศนาบางอย่างให้คนดูติดตาม และเฝ้าดูว่าสุดท้ายแล้วผีแม่ชีนี่มันมีที่มาอย่างไร (แม้สุดท้ายมันจะหักหลังคนดูด้วยการไม่ให้คำตอบอยู่ดี) ก็ตาม
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นใน Annabelle Comes Home ไม่ได้มีเรื่องราวตั้งต้น ไม่ได้มีสถานการณ์หรือเรื่องราวน่าสนใจใคร่รู้ชวนหาคำตอบใด ๆ ไม่ได้มีผีมารังควาญครอบครัวสุดซวยที่ต้องเอาตัวรอด แต่มันคือหนังบ้านผีที่ถูกสร้างให้ฉากผีเกิดขึ้นจากตัวละครสุดแสนจำเจในหนังสยองขวัญ ที่ทำให้เกิดเรื่องขึ้นมา พูดง่าย ๆ คือเดินหน้าหาเรื่องใส่ตัวด้วยสติปัญญาต่ำกว่าระดับน้ำทะเล หนังทั้งเรื่องจึงวนเวียนกับฉากสารพัดผีในบ้านวอร์เรน ที่ออกมายืดเส้นยืดสายทักทายมนุษย์เพราะคงไม่ได้เจอกันนาน จุดมุ่งหมายของหนังจึงมีแค่การเอาตัวรอดของตัวละครจากบรรดาผีในบ้าน จบ.
หนังผีบทเบาหวิว สามารถเอาตัวรอดได้จากอะไร? ฉากสยองขวัญนั่นไง! แต่ก็ไม่ใช่กับเรื่องนี้อยู่ดี ลองดูใน Annabelle: Creation บทหนังก็ไม่ได้มีอะไรมากมาย แทบจะเป็นฉากผีร้อยเรียงต่อกัน และแน่นอนกับตัวละครก็มีระดับสติปัญญาระดับน้ำทะเลพอกัน แต่อย่างน้อยหนังก็มีฉากสยองขวัญที่น่ากลัว ส่งผลต่อตัวละคร และเต็มไปด้วยอารมณ์โหดเหี้ยมที่จริงจังตลอดทั้งเรื่อง
หรือจะเป็นกรณีของ The Curse of the Weeping Woman เนื้อเรื่องไม่ได้มีอะไรซับซ้อน แต่ซีเรียสและมีที่มาที่ไปมากกว่าเยอะ ซึ่งก็สอบผ่านในเรื่องฉากสยองขวัญเหมือนกัน โดยฉากสยองขวัญในเรื่องนี้มีชั้นเชิง ไม่ต้องอารัมภบทมาก แต่ปล่อยหมักฮุกแรง แถมยังมีฉากปราบผีของหมอผีเม็กซิโกซึ่งน่าจะเป็นจุดที่น่าสนใจที่สุดของหนังมาชูโรงอีกด้วย ซึ่งมันไม่เกิดขึ้นกับ Annabelle Comes Home ที่หนังฉากผียืดยาดและปูอารมณ์นานเกินไป จนไม่น่ากลัว ปูสถานการณ์แบบให้คนดูคิดนำว่ามาแน่ ถึงจุดหนึ่งก็ใช้ Jump Scare (จังหวะตุ้งแช่) โผล่มาให้คนดูตกใจ แบบนี้ซ้ำไปซ้ำมาตลอดทั้งเรื่อง ยังดีที่ได้การแสดงที่มีเสน่ห์ของสาวน้อยอย่าง Mckenna Grace ในบท จูดี้ วอร์เรน ที่ทำให้ตัวละครนี้ดูน่าสนใจพอที่อยากจะเห็นเธอในหนังเรื่องต่อ ๆ ไป ในจักรวาล
ปัญหาของหนังเนื้อเรื่องและฉากสยองขวัญของหนังเรื่องนี้ จึงน่าจะมาจาก Gary Dauberman ผู้เขียนบทของแฟรนไชส์ที่เขียนบทให้หนัง Spin-off ไล่ตั้งแต่ Annabelle (ยกเว้น The Curse of the Weeping Woman) ที่ได้โอกาสมารับงานเขียนบทควบกำกับเป็นครั้งแรกกับหนังเรื่องนี้ กับผลลัพธ์ที่ออกมาก็ชัดเจนว่าฝีมือด้านการกำกับของเขาก็คงยังต้องปรับปรุงอีกเยอะทีเดียว
เพราะใน Annabelle: Creation ที่ผู้กำกับ David F. Sandberg ก็โชว์ฝีมือจนเฉิดฉาย และตามรอยป๋าดันอย่าง James Wan ไปกำกับหนังฮีโร่อย่าง Shazam! (2019) หรือ The Curse of the Weeping Woman ที่ผู้กำกับ Michael Chaves ก็โชว์ฝีมือด้านหนังสยองขวัญที่ฝีมือละม้ายคล้ายคลึงกับ James Wan เสียเหลือเกิน จนได้รับความไว้วางใจให้กำกับหนังใหญ่ของจักรวาลเรื่องต่อไปอย่าง The Conjuring 3 แทนที่ตัวพ่ออย่าง James Wan
ก็ได้แต่หวังว่าโปรเจกต์ต่อจากนี้จะสามารถนำแฟรนไชส์ให้กลับมาสู่มาตรฐานเดิมที่ James Wan ได้สร้างเอาไว้ รวมถึงสร้างจักรวาลให้มีความเชื่อมโยงในเส้นเรื่องหลักมากกว่านี้ ไม่ใช่ดูเหมือนสร้างหนังผี Spin-off มาขายโดยใช้คำว่าจักรวาลเป็นจุดขายเท่านั้น แต่ไม่เคยใช้ประโยชน์กับความเป็นจักรวาลหนังจริง ๆ สักที
ติดตามบทความจากภาพยนตร์เรื่องอื่น ๆได้ที่ https://www.facebook.com/thelastseatsontheleft