เปิดศักราชใหม่ใช้ “เครื่องบินไฟฟ้า” รับส่งผู้โดยสาร

วันที่ 26 June 2019

ปัจจุบันภาวะโลกร้อนเป็นที่ตระหนักของหลายฝ่าย รวมถึงอุตสาหกรรมการบินที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากในแต่ละปี บริษัทผู้ผลิตเครื่องบินจึงหันมาสนใจพัฒนาเครื่องบินที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้ามากขึ้น นอกจากจะช่วยลดการปล่อยมลพิษแล้ว ยังลดต้นทุนค่าเชื้อเพลิงด้วย
“บีบีซี” รายงานว่า งานแสดงนวัตกรรมการบินและอวกาศนานาชาติ “ปารีส แอร์โชว์” ครั้งที่ 53 ประเทศฝรั่งเศส ระหว่าง 17-23 มิ.ย. 2019 บริษัทผู้ผลิตเครื่องบินจัดแสดงเครื่องบินต้นแบบ ทั้งโมเดลที่ใช้พลังงานไฟฟ้า 100% และแบบที่ใช้พลังงานไฟฟ้าผสมผสานกับเชื้อเพลิง (ไฮบริด)

“อิเวียเอชั่น” 

บริษัทของอิสราเอล ที่เปิดตัว “อลิซ” เครื่องบินโดยสารขนาด 9 ที่นั่ง ที่ทำการบินได้ระยะทาง 1,040 กม. ระดับความสูง 3,000 เมตร ด้วยความเร็ว 440 กม./ชม. “อลิซ” ขับเคลื่อนด้วยใบพัดส่วนหาง 1 ใบ และอีก 2 ใบในส่วนของปีกเพื่อควบคุมทิศทาง

พัฒนาโดย “ซีเมนส์” บริษัทด้านวิศวกรรมพลังงานของเยอรมนี และ “แม็กนิเอ็กซ์” บริษัทวิจัยออกแบบระบบพลังงานไฟฟ้าของสหรัฐอเมริกา เป็นผู้ร่วมออกแบบมอเตอร์ โดย “เคปแอร์” สายการบินของสหรัฐได้สั่งจองอลิซสำหรับให้บริการเที่ยวบินระยะสั้น คาดว่าจะขึ้นบินได้จริงในปี 2020 และมีแผนจะพัฒนาอลิซให้สามารถบินได้ไกลมากขึ้นถึง 1,500 กม.

เครื่องบิน Alice บรรทุกผู้โดยสารได้เพียง 9 คน แต่นี่คือขนาดที่เหมาะสมสำหรับการใช้งานของ Cape Air แล้ว เนื่องจากสายการบินนี้ให้บริการไฟลท์สั้นๆ จำนวนหลายเที่ยวต่อวัน โดยสายการบินนี้มีเครื่องบินทั้งหมด 92 ลำ

MagniX ผู้ผลิตมอเตอร์ให้เครื่องบินรุ่นนี้ระบุว่าการใช้พลังงานไฟฟ้านั้นถูกกว่าใช้น้ำมันราว 10 เท่า รวมถึงค่าบำรุงรักษาโดยรวมก็ต่ำกว่า การเตรียมเครื่องให้พร้อมบินก็เร็วกว่า รวมถึงระบบต่างๆ ก็ทนทานกว่า ทำให้เครื่องบินไฟฟ้าจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้หลายล้านดอลลาร์ต่อปี

นอกจากนี้ยังมีเรื่องของมลพิษด้วย ซึ่งตามสถิติชี้ว่าธุรกิจการบินมีส่วนปล่อยมลพิษคิดเป็น 2-3% ของมลพิษทั้งโลก ทำให้ประเทศสวีเดนและนอร์เวย์ประกาศเปลี่ยนไฟลท์สั้นๆ ไปให้บริการด้วยเครื่องบินไฟฟ้าทั้งหมดภายในปี 2040
ที่มา - Quartz
prachachat.net

“รอย กันซาร์สกี” 

เครื่องบินแบบไฮบริดชื่อ “อี-แฟน เอ็กซ์” ที่แอร์บัสกำลังพัฒนายร่วมกับบริษัทผลิตเครื่องยนต์อังกฤษ โรลส์รอยซ์ และกลุ่มอุตสาหกรรมเยอรมันอย่าง ซีเมนส์ ในภาพจากจินตนาการของศิลปิน 

ซีอีโอของแม็กนิเอ็กซ์ระบุว่า แต่ละปีมีตั๋วโดยสารเที่ยวบินระยะสั้นไม่เกิน 500 ไมล์ ถูกจำหน่ายราว 2,000 ล้านใบ ดังนั้น โอกาสทางธุรกิจสำหรับเครื่องบินไฟฟ้าในเที่ยวบินระยะสั้นและระยะกลางมีแนวโน้มที่ดี อีกทั้ง “เครื่องบินไฟฟ้า” มีค่าใช้จ่ายถูกกว่าเชื้อเพลิงมาก เทียบกับค่าใช้จ่ายเชื้อเพลิงของเครื่องบินเทอร์โบขนาดเล็ก “เซสน่า คาราวาน” ซึ่งอยู่ที่ราว 400 ดอลลาร์สหรัฐต่อการบิน 100 ไมล์ แต่เครื่องบินไฟฟ้าจะมีค่าใช้จ่ายเพียง 8-12 ดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น และมีหลายบริษัทได้เปิดตัว “เครื่องบินไฮบริด” เช่น “บีเออี 146” พัฒนาในโครงการ “อีแฟน เอ็กซ์” ด้วยความร่วมมือของโรลส์-รอยซ์, แอร์บัส และซีเมนส์ โดยใช้มอเตอร์ไฟฟ้า 2 เมกะวัตต์ คาดว่าจะเริ่มบินครั้งแรกในปี 2021
prachachat.net

“ยูไนเต็ด เทคโนโลยีส์” 

Zunum Aero เครื่องบินพลังงานไฟฟ้าไฮบริด

ร่วมกับบริษัท “แพรตต์ แอนด์ วิตนีย์” ได้โชว์เคสเครื่องบินไฮบริดต้นแบบ “โปรเจ็กต์ 804” ที่ทดลองใช้มอเตอร์ไฟฟ้า 1 เมกะวัตต์กับระบบภายในเครื่อง โดยช่วยประหยัดเชื้อเพลิงได้ถึง 30% คาดว่าจะทดลองบินในปี 2022 ทั้งยังมีเครื่องบิน “ซูนัม แอโร” ของ “โบอิ้ง” ที่มีการใช้ใบพัดไฟฟ้าที่พัฒนาโดยบริษัทซาฟรานของฝรั่งเศส


Zunum Aero มีแผนการสร้างศูนย์วิจัยพัฒนาเครื่องบินพลังงานไฟฟ้าที่เมืองชิคาโกและเริ่มทดสอบเครื่องบินครั้งแรกในปี 2019 เป้าหมายของบริษัทคือพัฒนาเทคโนโลยีเครื่องบินพลังงานไฟฟ้าให้สามารถบรรทุกผู้โดยสาร 50 คนบินได้ระยะทาง 1609 กิโลเมตรภายในปี 2030
ที่มาของข้อมูล
zunum.aero/aircraft, futurism.com , venturebeat.com
prachachat.net
nextwider.com



“ยูบีเอส” 
ธนาคารเพื่อการลงทุนระหว่างประเทศของสวิตเซอร์แลนด์ คาดว่าอุตสาหกรรมการบินจะเปลี่ยนไปใช้เครื่องแบบไฮบริดและเครื่องบินไฟฟ้าทั้งลำในเที่ยวบินท้องถิ่นมากขึ้น โดยดีมานด์ของเครื่องบินไฮบริดจะมากถึง 550 ลำ ระหว่างปี 2028-2040 แต่ “เที่ยวบินระยะไกล” ยังเป็นไปได้ยาก แม้ว่ามอเตอร์ไฟฟ้า เครื่องกำเนิดไฟฟ้า ระบบกระจายพลังงานไฟฟ้า และระบบควบคุมจะพัฒนาอย่างรวดเร็ว แต่เทคโนโลยีแบตเตอรี่ยังไม่สามารถพัฒนาให้ใช้ได้นานเพียงพอ

“กราเซีย วิตตาดินี” 
ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีของแอร์บัสระบุว่า เทคโนโลยีแบตเตอรีในปัจจุบันที่ใช้กับเครื่องบินไฟฟ้าสามารถรองรับระยะทางการบินได้เพียงครึ่งหนึ่งของระยะทางที่เครื่องบินแอร์บัส เอ 320 ทำได้ราว 5,400 กม.เท่านั้น ปัญหาใหญ่คือ 80% ของการปล่อยมลพิษโดยการบินมาจากเที่ยวบินระยะไกลมากกว่า 1,500 กม.ขึ้นไปหลายประเทศหันมาให้ความสำคัญกับการลดการปล่อยมลพิษของสายการบินมากขึ้น อย่าง “นอร์เวย์และสวีเดน” ตั้งเป้าว่าจะใช้เครื่องบินไฟฟ้าในเที่ยวการบินระยะสั้นภายในน่านฟ้าของตนทั้งหมดภายในปี 2040

สหราชอาณาจักร

image : https://fsmedia.imgix.net

เป็นประเทศแรกที่ตั้งเป้าหมายเพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนให้เป็น “ศูนย์” ภายในปี 2050 ทำให้ภาคธุรกิจการบินเริ่มปรับตัว เช่น “อีซีเจ็ต” สายการบินของอังกฤษได้ร่วมมือกับบริษัทไรต์อิเล็กทริกจะเริ่มให้บริการเครื่องบินไฟฟ้าในเที่ยวบินระยะสั้น “เส้นทางลอนดอน-อัมสเตอร์ดัม” ภายในปี 2027


เครื่องบินไฟฟ้าให้บริการในเส้นทางการบินระยะไม่เกิน 540 กิโลเมตรหรือไม่เกิน 2 ชั่วโมง เช่น เที่ยวบินลอนดอน-ปารีส ลอนดอน-อัมสเตอร์ดัม หรือเอดินเบิร์ก-บริสตอล  ระบบขับเคลื่อนด้วยใบพัดไฟฟ้าติดตั้งอยู่ที่ปีกเครื่องบินทั้ง 2 ข้าง ส่วนแบตเตอรี่ประสิทธิภาพสูงขนาดใหญ่ติดตั้งอยู่ใต้ห้องโดยสาร ความสามารถในการบรรทุกผู้โดยสารสูงสุดอยู่ที่ 180 คน

 ข้อดีของเครื่องบินไฟฟ้าคือไม่ก่อไอเสีย ไม่สร้างมลพิษทางอากาศ อีกทั้งยังส่งเสียงดังน้อยกว่าเครื่องบินที่ใช้เครื่องยนต์นํ้ามันเชื้อเพลิง “มีผู้โดยสารจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆที่ให้ความสำคัญเกี่ยวกับการสร้างมลพิษทางอากาศของเครื่องบินโดยสาร และถ้ามีทางเลือก พวกเขาก็ยินดีจะเลือกใช้เครื่องบินไฟฟ้าเพื่อการเดินทาง”
thaipurchasing.com
prachachat.net




“โจฮัน ลันด์เกรน”
 หัวหน้าผู้บริหารของอีซีเจ็ตระบุว่า “ขณะนี้เราสามารถมองเห็นอนาคตของการบินที่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเชื้อเพลิงฟอสซิลอีกต่อไป” “เครื่องบินไฟฟ้า”

นับเป็นความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของธุรกิจการบินที่ใช้เชื้อเพลิงมาอย่างยาวนาน เป็นการหันมาใส่ใจสิ่งแวดล้อม ทั้งประหยัดค่าใช้จ่าย ซึ่งในอนาคตหากมีการพัฒนาระบบจัดเก็บพลังงานไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพ เราอาจได้เห็นเครื่องบินไฟฟ้าที่สามารถบินข้ามโลกเป็นเรื่องปกติก็เป็นได้

prachachat.net
POSTJUNG
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่