เมื่อความตายมาใกล้เรา ควรทำอย่างไรดีครับ

        เมื่อก่อนผมเป็นคนที่ เมื่อได้ยินคำว่า"ตาย" ก็ร็สึกเฉยๆ เออ ความตายก็ตายเท่านั้นจบไม่มีอะไรมาก แต่เมื่อมาถึงวันหนึ่ง ยายของผมเสีย(ท่านเป็นมะเร็ง อยู่มาได้หลายปี แต่พอมาวันหนึ่งอยู่ดีๆก็เหมือนจะหยุดหายใจ ตอนนั้นต้องรีบไปช่วยยาย ช่วยเรียกรถโรงพยาบาล ตอนนั้น กลัวที่สุด กลัวที่จะเสียยายไป กลัวจนมือสั่นตัวสั่นเลยครับ พออยู่โรงบาล อยู่ได้2-3อาทิตย์ท่านก็เสีย) วันสุดท้ายที่ยายเสีย วันสุดท้าย แม่โทรเรียกตอนเช้า บอกให้มาดูยายหน่อยลูก ยายเขาใกล้ไปแล้วนะ พอไปถึงได้ซักพัก วินาทีที่เครื่องวัดชีพจรเหลือ ศูนย์ วินาทีนั้นแม่..งเป็นอะไรที่โคตรแย่
       พอดีถึงวันเผา เห็นแม่เราร้องไห้ มันเป็นอะไรที่โคตรบีบหัวใจเลยอะ แย่สุดๆ พอวันรุ่งขึ้น มาเก็บกระดูกอัฐิ ผมก็คิดว่า คนเรา คนๆหนึ่งที่พูดคุยกันทุกวัน เจอหน้ากันทุกวัน วันๆหนึ่งจะเหลือเพียงกระดูกชิ้นเล็กๆ จะไม่ได้คุยกันอีก ต่อให้ตามหาทั่วโลกก็ไม่ได้เจอเขาอีกแล้ว ความตายมันน่ากลัวขนาดนี้เลยหรอวะ มันน่าใจหายมากเลย ถ้าเกิดวันหนึ่ง มันมาถึงคิว ปู่เรา ย่าเรา พ่อเรา แม่เรา เราจะรับมือกับมันยังไงนะ พอทุกคนตายแล้วจะเหลือเราคนเดียว ทุกคนที่เรารักจะหายไปหมด (นึกถึงตอนเด็กๆที่เราเจอพวกเขา มันเป็นความทรงที่มีความสุขสุดๆ แต่เมื่อพวกเขาจากเราไป เหลือแค่เรา เราจะอยู่อย่างไง) ผมก็นึก ทำไมคนเราเกิดมาต้องเจอกับความทุกข์แบบนี้ด้วยนะ ความทุกข์ที่มันเจ็บเหลือเกิน ความตายเมื่อนึกมันทีไร มันทำให้กลัวจับใจเลย นึกวนเวียนอยู่นั่นแหละ แล้วถ้าวันมันมาคิวเราล่ะ?

    ผมอยากจะเข้าใจความตายไม่ใช่ในแบบนี้ ผมอยากจะเข้าใจความตายในแบบเราควรปล่อยวาง ทำใจยอมรับให้ได้ ช่วยหน่อยนะครับ 

     อธิบายความตายให้ผมที

     ปล.ได้ทุกคำสอนได้ทุกศาสนาเลยนะครับ ผมเปิดรับฟังหมดนะครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 13
ตอนยายผมเสียด้วยโรคมะเร็ง ก็คิดเหมือนเจ้าของกระทู้เลยครับ แต่ตอนนั้นผมยังเด็กมาก ยังไม่รู้จักความตาย ก็ถามผู้ใหญ่ว่ายายไปนอนในโลงทำไม แล้วทำไมไม่ลุกมากินข้าว

พอรู้ว่าความตายเป็นแบบนี้ พอรู้ว่าเขาเผาร่างคุณยาย พอรู้ว่าทุกคนต้องเป็นเหมือนยายทั้งเราและคนรอบตัวเรา ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่เห็นความสุขในโลกอีกเลย แม้จะยังเล่นสนุกแต่มันก็เป็นเพียงความเพลิดเพลินที่ทำให้ลืมความทุกข์ไปชั่วคราวเท่านั้น ไม่มีอะไรทำให้เราพ้นจากความตายได้

ก็เก็บงำความในใจไว้หลายปี เพราะถามใครก็ไม่มีใครให้คำตอบแบบกระจ่างได้ พ่อแม่แค่ปลอบใจ พี่ชายก็บอกว่าตายแล้วสูญ แต่ทำไมล่ะ คนเราเกิดมาเพื่อต้องมารับรู้ความทุกข์เท่านั้นหรือ เกิดมาเพื่อที่ตายแล้วเราก็จะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเราเคยเกิดมา เกิดมาเพื่อโดนลงโทษให้ลำบากกับความทุกข์สารพัด เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า หิว ง่วง ขับถ่าย เจ็บป่วย เหงาหงอย เศร้าโศก โมโหโกรธา คับข้องใจ เสียใจ แก่ชรา ด้วยอายุที่น้อยนิดและตายไปอย่างไม่มีค่าเมื่อเทียบกับวันเวลาของจักรวาล ทำไมมนุษย์จึงไม่มีความสมบูรณ์ ทำไมจึงมีแต่ข้อบกพร่อง แล้วชีวิตที่เกิดมาแค่ชั่วแว่บหนึ่งของจักรวาลโดยที่เมื่อตายแล้วเราจะลืมทุกสิ่งมันมีความหมายอะไร ทำไมผู้คนจึงทำเหมือนตัวเองไม่มีวันตาย ทำไมจึงไม่มีใครสนใจจะหาคำตอบ ทำไมจึงต้องทำร้ายกันในเมื่อทุกคนก็กำลังจะตายเหมือน ๆ กัน และเจอความทุกข์สารพัดไม่ต่างกันเลย ทำไมจึงไม่มีวิธีที่จะทำให้ทุกคนพ้นจากสภาพนี้

จนในที่สุดเก็บงำความกลัวไว้ไม่ไหว ไหน ๆ เราก็หนีมันไม่พ้นก็เรียนรู้มันดีกว่า ความตายคืออะไร ใครกล่าวถึงความตายไว้อย่างไรบ้าง ต้องเรียนรู้ให้หมดอย่างน้อยจะได้ปลงเพื่อมีชีวิตต่อไป และนั่นแหละทำให้ทุกวันนี้ไม่กลัวตายโดยที่เรายังคงนึกถึงมันอยู่ทุกวัน ไม่ได้ทำเหมือนมันไม่มีอยู่อย่างคนอื่นเขา

จากการศึกษาค้นคว้าทดลองและรวบรวมข้อมูลมาหลายปี เพื่อพิสูจน์ทรรศนะของผู้รู้เรื่องความตายในแบบต่าง ทำให้เราเปิดโลกทัศน์ขึ้นมาก พบว่าการตายแล้วสูญมีเหตุผลสนับสนุนที่อ่อนที่สุด ทั้ง ๆ ที่เราคิดว่ามันเป็นไปได้มากที่สุดเพราะเราจำเรื่องราวในอดีตชาติไม่ได้ ทว่าแม้แต่วงการวิทยาศาสตร์เองก็มีหลักฐานยืนยันมากมายว่ามีเหตุการณ์แปลก ๆ ที่เรามองข้ามไม่ได้ว่ามันอาจจะมีอะไรอยู่หลังความตายนั้น เช่นประสบการณ์เฉียดตาย ประสบการณ์วิญญาณออกจากร่างที่ผู้ป่วยสามารถพูดถึงถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนั้นได้อย่างถูกต้องทั้ง ๆ ที่เขาหมดสติอยู่ การสะกดจิตคนไข้ที่ให้ผลเหนือความคาดหมาย เมื่อหลักฐานต่าง ๆ สวนทางกับความคิดเดิมของเราที่ว่ามันต้องสูญอย่างมาก ก็เลยต้องตีวงเพื่อศึกษาเรื่องนี้ให้มากขึน คือ ถ้ามันไม่สูญล่ะแล้วมันจะเป็นอย่างไร

วันหนึ่งผมฝันเห็นว่าเราอยู่ในสถานที่หนึ่งที่มืดมิดจนไม่เห็นอะไรเลย ทว่ากลับมีแต่เปลวไฟอยู่รอบตัว ร้อนและทรมานมาก คิดอะไรไม่ออกเลยนอกจากความเจ็บปวด คิดซ้ำ ๆ ว่าทำไมต้องเป็นแบบนี้ มีแต่เปลวไฟสุดลูกหูลูกตาเหมือนทะเลเพลิง มืดและกว้างเหมือนจักรวาลแต่มีแค่เปลวเพลิงและตัวเราเท่านั้น เป็นฝันสั้น ๆ ที่ทรมานที่สุดในชีวิตจนสะดุ้งตื่น คราวนี้กลัวความตายหนักเลย เพราะถ้าไม่ใช่ตายแล้วสูญล่ะ แต่ตายแล้วต้องติดอยู่ในฝันแบบนั้นไปตลอดกาล ที่เคยกลัวเรื่องอื่น ๆ กลายเป็นเรื่องเล็กน้อยไปเลย ที่เราใันเห็นมันคืออะไร หรือเป็นเพราะความตายมันเป็นแบบนั้น

เมื่อตั้งใจจะศึกษาแล้วก็เปิดตำรามันทั้งหมดจากคนที่อ่านหนังสือแค่บทนำก็หลับแล้ว พบว่าประสบการณ์หลังความตายของแต่ละที่มีลักษณะคล้ายกัน มีจุดร่วมบางอย่างเหมือนกัน แต่ก็มักจะไปตันอยู่ ณ จุด ๆ หนึ่งทำให้เราศึกษาเพิ่มเติมไม่ได้  มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นที่เรามีทางไปต่อ เพราะเขามีคำตอบให้กับทุกคำถามในโลกที่เรารวบรวมข้อมูลมาเลย และยังมีหนทางพิสูจน์อีกด้วย หนึ่งเดียวนั้นคือศาสนาพุทธที่เรานับถือเพียงแค่ชื่อและไม่เคยรู้สึกศรัทธาใด ๆ และจากที่รวบรวมข้อมูลมา สิ่งที่เราฝันเห็นนั่นคือนรกนั่นเอง มันเหมือนกับคำบรรยายในตำราแทบทุกศาสนาเลย

แม้จะศึกษาไปมาก ๆ แต่ผมยังไม่เคยเชื่อว่ามีโลกหลังความตาย เพราะผมก็เหมือนคนอื่น ๆ ที่ใช้ประสบการณ์ตัวเองในการเชื่อและยังสลัดความมั่นใจที่ว่าตายแล้วสูญออกไปไม่ได้ จึงต้องใช้เวลาศึกษาและพิสูจน์ความเป็นของจริงอยู่อีกหลายปีที่โฟกัสมาที่ศาสนาพุทธจากหลักฐานอ้างอิงต่าง ๆ ว่าพุทธรู้เรื่องนี้มากที่สุด กล่าวเอาไว้เยอะที่สุด แต่ผมยังไม่มั่นใจว่าศาสนาพุทธจะรู้เรื่องนี้จริงหรือไม่

เมื่อข้อมูลทางวิชาการเริ่มถึงทางตัน ผมจึงต้องเริ่มขยับด้วยการทดลองทำสิ่งที่เขาแนะนำให้ทำเพื่อทำความรู้จักกับศาสตร์ของศาสนานี้ เช่น การรักษาศีลข้อที่ 1 คือไม่ตบยุงนั่นเอง ตอนนั้นถึงขั้นคิดว่าตัวเองคงรักษาศีลคนเดียวในโลก เพราะผมไม่เคยเห็นใครรักษาศีลเลย

เหมือนมันมีอะไรดึงดูด พอรักษาศีลไปทีละข้อจนครบ 5 ข้อ เริ่มมีเหตุให้เราต้องห่างจากกลุ่มเพื่อนขี้เมา ผมเป็นคนรักเพื่อนมาก มันเมาก็ไปกับเขาตลอดแต่ไม่เคยดื่มเพราะตั้งใจรักษาศีล เพื่อนบอกเราอยากจะบวชเหรอ เออ นั่นสิไม่เคยคิดเรื่องนี้ เราควรไปบวชเหรอ เก็บงำไว้ในใจ การบวชอาจทำให้เรารู้อะไรมากขึ้น

แต่พอมีโอกาสบวชจริง ๆ เราไม่คิดว่ามีประโยชน์สักเท่าไร เพราะเห็นพระที่ทำตัวเหมือนอยู่บ้านมาเยอะมาก เราอยากจะลองศึกษาและปฏิบัติธรรม แต่เมื่อมีคนชวนบวชเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จย่า ก็เลยลองดู คิดไปเองว่าอย่างน้อยก็ไปฝึกระเบียบวินัย ใครไม่อ่านพระไตรปิฎกเราจะอ่าน ใครไม่ปฏิบัติธรรมเราก็จะปฏิบัติของเราเอง คิดแบบนี้เลยยอมไปบวช

พอได้ไปบวชก็รู้เลย เรานี่กบในกะลามาก ของจริงอยู่ที่นี่ ที่คิดมาตลอดเหมือนเด็กอนุบาลคิดเรื่องจักรวาลเท่านั้น ทุกวันนี้ยังเรียนรู้ไม่จบ ที่ว่ารู้แล้วก็ยังคงมีสิ่งที่ต้องรู้อยู่อีกมากมาย ความรู้ไม่เคยตันเลยมีแต่ว่าเราจะโตพอที่จะเข้าใจมันไหม

ข้อสรุปของผมตอนนี้คงคล้าย ๆ กับสิ่งที่เราท่องบ่อย ๆ แต่ด้วยความเข้าใจที่มากขึ้น หลังจากที่ไปวิ่งอ้อมหาทางอื่นอยู่นาน คือ

เรามีความแก่เป็นธรรมดายังไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได้
เรามีความเจ็บเป็นธรรมดายังไม่ล่วงพ้นความเจ็บไปได้
เรามีความตายเป็นธรรมดายังไม่ล่วงพ้นความตายไปได้
เราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจด้วยกันหมดทั้งสิ้น
เรามีกรรมเป็นของตน เราทำกรรมใดไว้ ดีหรือชั่วก็ตาม เราจะต้องได้รับผลของกรรมนั้น

บาปบุญมีจริง นรกสวรรค์มีจริง ชาตินี้ชาติหน้ามีจริง พระพุทธเจ้ามีจริง พระอรหันต์มีจริง ผู้มีญาณรู้เรื่องเหล่านี้ก็มีอยู่จริง และเราเองก็เป็นหนึ่งในนั้นได้ ต่อให้เราไม่เชื่อแต่เมื่อได้ค้นหาไปจนที่สุดแล้วก็จะวนกลับมาสู่ข้อสรุปนี้อย่างหนีไม่พ้น โดยที่สุดแล้วเราจะรู้เองเมื่อความตายมาถึง จะเอาแต่เชื่อความคิดตัวเองโดยไม่ลองศึกษาดูก่อนก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไร เพราะมีแค่ตัวเราเองเท่านั้นที่จะต้องรับผลจากความเชื่อของตัวเองอย่างหนีไม่พ้น
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่