คำสอนของพระธุดงค์เถื่อน
ป้ายบอกทางริมถนนพื้นสีขาวตัวหนังสือสีดำ บอกไว้ว่า “เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูวัว 5 กม.” ตลอดทางถนนสีดำ แมกไม้ยืนต้น สีเขียวชอุ่ม ท้องฟ้าสีคราม และเทือกเขาที่วางสลับซับซ้อน อากาศเวลานี้กำลังสบายแจ่มใส
ข้าพเจ้า หัวหน้าหน่วยพิทักษ์ป่าคะแนน เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูวัว อำเภอบึงกาฬ จังหวัดหนองคาย ชื่อ บัวเพชร ประกายสิทธิ์ ชาวบ้านทั่วไปเรียกว่า เบี้ยว ชัยพร” อยู่ที่ 84/3 หมู่ที่ 11 บ้านใหม่ชัยพร ตำบลชัยพร อำเภอบึงกาฬ จังหวัดหนองคาย มีครอบครัว มีบุตร 2 คนแล้ว กำลังขับรถออกตรวจเขตฝ่าอยู่ นั่งระลึกไปถึงพระธุดงค์รูปหนึ่ง “ผู้ที่ไม่หวนกลับ” ในฉายานาม “หลวงพ่อธรรมงาม” ข้าพเจ้าเกิดมาเป็นชาวพุทธก็จริง แต่ก็นับถือพระพุทธศาสนาด้วยวาจา พูดถึงและแสดงการกราบไหว้เพียงเท่านั้น
ที่ว่านับถือด้วยวาจา พูดถึง นั้นคือว่า เมื่อมีใครถามว่านับถือศาสนาอะไร? ก็ตอบเขาไปว่า “ศาสนาพุทธ” ถ้ามีการกรอกแบบฟอร์มที่มีช่องศาสนา ก็กรอกลงไปว่า “พุทธศาสนา” แค่นั้น ที่ว่านับถือด้วยแสดงกราบไหว้ คือถ้ามีงานอะไรเกี่ยวกับทางพุทธศาสนามีขึ้น เช่นงานวัด งานทอดกฐิน ทอดผ้าป่า เวียนเทียน ก่อเจดีย์ทราย เข้าพรรษา ออกพรรษา ก็นำตัวเองไปร่วมกับเขาทุกที แต่จิตใจไม่ซาบซึ้งในรสพระธรรม ยังไม่ปลงใจเชื่อสนิท ยังเต็มไปด้วยความลังเลสงสัยอยู่
บ้านที่ข้าพเจ้าอยู่จนปัจจุบันนี้ ตรงข้ามวัดศรีสว่างอารมณ์ แต่ก็มีโบสถ์ของคริสต์ศาสนา มีชื่อว่า วัด น.ยอแซฟ” ไม่มีสุเหร่าของชาวมุสลิมอยู่เลย
ส่วนศาสนาสถานของศาสนาฮินดูนั้น ไม่มีแขกอินเดียมาตั้ง แต่ก็มีแขกส่งนม เจ้าปัญญาคนหนึ่งซึ่งรู้ศาสนาฮินดูดี และคุ้นเคยกับข้าพเจ้า ในเวลาว่าง ข้าพเจ้าชอบไปสนทนากับพระที่วัดตรงข้ามบ้านบ้าง ไปคุยกับบาทหลวง ซิสเตอร์ ที่โบสถ์ น.ยอแซฟบ้าง บางคราวก็ไปสนทนากับฮัจยีพวกที่นับถือศาสนาอิสลาม และบางโอกาส ได้พูดคุยกับแขกส่งนมบ้าง ทำให้ได้ความรู้เกี่ยวกับศาสนาต่างๆ มากพอสมควร
การรู้หลายๆ ศาสนา มิได้ช่วยให้ข้าพเจ้าเกิดความกระจ่างทางจิตใจแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม กลับทำให้เกิดความสงสัยลังเลยิ่งขึ้น ถ้าจะเปรียบข้าพเจ้าในขณะนั้น ก็เหมือนคนเดินทางมาถึงทาง ๔ แพร่ง กำลังยืนงงอยู่ ไม่รู้ว่าจะตัดสินใจเดินไปทางไหนดี? ที่ปากทางแต่ละสาย มีคนคนหนึ่งยืนอยู่ และออกปากเชิญชวนให้ข้าพเจ้าเดินตามทางของเขา โดยให้คำมั่นสัญญาต่างๆ เช่นว่า ถ้าเลือกเดินทางของเขา จะได้ชีวิตอมตะ และความสุขชั่วนิรันดร เป็นต้น แต่คำมั่นสัญญาของเขาเหล่านั้น ไม่เป็นที่ดึงดูดจิตใจของข้าพเจ้านัก เพราะวิถีชีวิตของข้าพเจ้าในตอนนั้นค่อนข้างแย่ ทำให้เห็นว่าชีวิตไม่ใช่สิ่งที่น่าอภิรมย์นัก เพียง ๗๐-๘๐ ปี ในโลกนี้ ก็แทบจะทนไม่ไหว ถ้ามีชีวิตอมตะ ชั่วนิรันดร ไม่รู้จักตาย เห็นจะไม่ไหวแน่ และแล้วในที่สุด ข้าพเจ้าตัดสินใจเดินตามทางไปสายหนึ่ง ซึ่งจะนำไปสู่ “พระนิพพาน” ซึ่งอยู่ใกล้กับที่ข้าพเจ้ายืนอยู่ แต่เดินทางไปไม่เท่าไหร่ก็ต้องหยุด เพราะปรากฏว่า ทางสายนี้ยังมีทางแยกย่อยออกเป็นสิบๆ เส้น ข้าพเจ้าจึงยังคงยืนลังเลอยู่ ไม่ทราบว่าจะเดินไปทางไหนแน่ จึงจะเป็นทางถูกต้อง นำไปสู่พระนิพพานได้สมประสงค์ ข้าพเจ้าเพิ่งเชื่อว่า ตนได้เดินทางที่ถูกต้องแล้ว เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๘ นี้เอง เรื่องของพระธุดงค์เถื่อนรูปหนึ่ง ได้มาโปรดข้าพเจ้า ดังจะเล่าให้ท่านผู้อ่านนทราบดังนี้
เมื่อต้นปี พ.ศ. ๒๕๒๘ นั้น มีพระภิกษุหนุ่มรูปหนึ่ง เดินธุดงค์มาอาศัยอยู่ที่ “ถ้ำขี้เหล็กไหล” หน่วยพิทักษ์ป่าชะแนน เขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าภูวัว ใกล้ๆ กับหมู่บ้านชัยพรของเรา แต่ไม่มีใครทราบว่าท่านชื่ออะไร? มาจากไหน เพราะท่านไม่เคยบอกใคร ท่านเป็นพระธุดงค์ที่ปฏิบัติเคร่งครัดมาก ห่มจีวรสีกลัก ฉันอาหารมื้อเดียว และฉันในบาตร ออกบิณบาตเป็นประจำทุกวันไม่เคยขาดเลย แม้ฝนจะตก แดดจะออก หรือไม่สบายก็ตาม เพราะเหตุนี้ การถือธุดงควัตรจึงเป็นที่เคารพนับถือของชาวบ้านอย่างสูง ทุกคนเรียกท่านว่า “หลวงพ่อ” อย่างสนิทสนม นอกจากปฏิบัติเคร่งครัดแล้ว หลวงพ่อของเรายังมีลักษณะพิเศษอีกอย่างหนึ่งก็คือ พูดน้อย อาจกล่าวได้ว่า ไม่มีใครเลยได้ยินท่านพูดถึง ๓ ประโยคในคราวเดียวกัน
บางทีท่านก็นั่งนิ่งๆ อยู่ทั้งวัน ทั้งๆ ที่ญาติโยมนั่งอยู่เต็มข้างหน้า
ดังนั้น บรรดาญาติโยมที่ตั้งใจจะไปคุยกับหลวงพ่อ จึงลงเอยด้วยการคายกันเอง แต่หลวงพ่อของเราก็ไม่ใช่พระใบ้เสียทีเดียว นานๆ ท่านจะพูดออกมาประโยคหนึ่งหรือสองประโยค และทุกๆ ประโยคที่หลุดออกมาจากปากของท่าน มักจะเป็นปริศนาธรรมอันลึกซึ้ง หรือเป็นสุภาษิต มีคติน่าจับใจเสมอ
เพราะเหตุนี้เอง คำพูดทุกคำของท่านจึงมีค่าอย่างยิ่ง ญาติโยมบางคนอุตสาห์ไปนั่งเฝ้าท่านอยู่ทั้งวัน เพื่อจะฟังคำพูดของท่านแม้เพียงประโยคเดียว เมื่อได้ฟังแล้วก็นำไปขบคิดเองบ้าง ถกเถียงวิพากษ์วิจารณ์กันบ้าง จนเกิดความรู้แตกฉานในพุทธธรรมได้ดีกว่าฟังเทศน์กัณฑ์ยาวๆ เสียอีก กิตติศัพท์ของหลวงพ่อทำให้ข้าพเจ้าเกิดความสนใจขึ้นมาทันที
วันหนึ่งเมื่อมีเวลาว่าง จึงได้ไปกราบนมัสการและพบท่านนั่งพักผ่อนอยู่ใต้ชะง่อนหินตรงปากถ้ำ “หลวงพ่อครับ” ข้าพเจ้าเอ่ยขึ้นหลังจากกราบท่านแล้ว “ตัวผมนี้ ถึงจะเป็นพุทธศาสนิกชน ก็ยังมีความสงสัยลังเลอยู่มาก ไม่ทราบว่าจะยึดอะไรเป็นหลักปฏิบัติ
ผมเคยไปถามพระหลายองค์หลายวัด บางองค์สอนให้ทำบุญทำทาน บางองค์สอนให้รักษาศีล บางองค์ก็สอนให้เจริญภาวนา มีทั้งยุบหนอพองหนอ สัมมาอะระหัง พุทโธ และโบกไม้โบกมือ บ้างก็ให้วิปัสสนาพิจารณากันเลย บางองค์ก็ชวนให้ออกบวช บางองค์ก็แนะนำให้ทำจิตให้ว่าง ผมเลยงงไปหมด ไม่รู้ว่าจะยึดอะไรเป็นหลักแน่! หลวงพ่อกรุณาบอกผมด้วยว่า จะทำอย่างไร จึงจะเดินถูกทาง เข้าถึงแก่นพระศาสนาได้”
“รู้” หลวงพ่อตอบสั้น ๆ ตามแบบฉบับของท่าน แล้วหลวงพ่อก็ไม่พูดอะไรอีก ข้าพเจ้างงเหมือนไก่ตาแตก เพราะไม่เข้าใจความหมายของท่าน ไม่ทราบว่า ท่าน “รู้” เรื่องที่ข้าพเจ้าเล่าถวาย หรือแนะนำให้ข้าพเจ้า “รู้” เมื่อเชื่อแน่ว่าท่านจะไม่อธิบายเพิ่มเติม ข้าพเจ้าจึงถามาว่า “รู้ อะไรครับ?”
“รู้ตัว” หลวงพ่อตอบ แล้วลูกขึ้นเดินหายเข้าไปในถ้ำ ก่อนที่ข้าพเจ้าจะได้ซักถามอะไรเพิ่มเติม ขณะที่เดินทางกลับบ้าน ข้าพเจ้าพยายามคิดตึความหมายของคำว่า “รู้ตัว” มาตลอดทาง พลางนึกเถียงหลวงพ่ออยู่ในใจว่า ข้าพเจ้ารู้ตัวเองดีอยู่แล้ว่าชื่อนั้น นามสกุลนั้น อายุเท่านั้น เรียนจบชั้นนั้น ประกอบอาชีพชนิดนั้น มีนิสัยชอบศึกษาค้นคว้าหาความรู้แปลกๆ ใหม่ๆ มีโรคปวดท้องเป็นโรคประจำตัว
ข้าพเจ้าสามารถจะตอบปัญหาเกี่ยวกับตัวเองได้ทุกปัญหา ข้าพเจ้าไม่เคยไปให้หมอดูดูดวง เพราะไม่เชื่อว่าหมอดูจะรู้จัดข้าพเจ้าดีไปกว่าตัวเอง หลวงพ่อจะให้ “รู้ตัว” อย่างไรอีก
ข้าพเจ้านอนคิดปัญหานี้อยู่หลายวัน แต่คิดไม่ออก วันหนึ่งเมื่อมีโอกาส จึงเดินเข้าไปในตลาดเมืองหนองคาย จุดประสงค์เพื่อจะไปเยี่ยมชมร้านขายหนังสือ ด้วยเชื่อว่า บางทีหนังสืออาจจะช่วยแก้ปัญหาได้บ้าง
ข้าพเจ้าได้เข้าไปในร้านจำหน่ายหนังสือใหญ่ร้านหนึ่ง แล้วก็เดินดูไปเรื่อยๆ ได้พบหนังสือทุกประเภท ทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษ หนังสือประเภทนวนิยาย สารคดี นิทาน ตำรับตำราและรูปภาพต่างๆ ข้าพเจ้าใช้เวลาอยู่ในร้านประมาณ ๑ ชั่วโมง เดินดูจนทั่วก็ไม่พบหนังสือที่ต้องการ
ในขณะที่กำลังจะเดินออกจากร้านนั่นเอง ตาก็เหลือบไปเห็นหนังสือเล่มหนึ่งวางโชว์ไว้ในตู้ สิ่งที่สะดุดตาที่สุดบนหนังสือนั้นก็คือ ภาพร่างมนุษย์ผ่าซีก ระบายสีเผยให้เห็นอวัยวะภายในต่างๆ อย่างชัดเจน ข้าพเจ้าเดินเข้าไปใกล้ และได้พบชื่อหนังสือนั้นว่า ไกลไกของร่างกายมนุษย์” เขียนโดยนายแพทย์ผู้มีชื่อเสียงคนหนึ่ง ข้าพเจ้าจ่ายเงิน ๑๕๐ บาท แล้วนำหนังสือนั้นกลับบ้าน พอถึงบ้านก็ลงมือเปิดอ่านทันที เนื่องจากผู้เขียนใช้ภาษาง่ายๆ และมีภาพประกอบแพรวพราว จึงทำให้เข้าใจได้ง่ายมาก
ภายใน ๓ วัน ข้าพเจ้าก็อ่านหนังสือเล่มนั้นจบ และจำสาระสำคัญๆ ได้หมด นัดนี้ ข้าพเจ้าได้ทราบว่า ร่างกายมนุษย์ประกอบด้วย กระดูกกี่ชิ้น กล้ามเนื้อกี่มัด เส้นเอ็นเส้นอูดกี่เส้น อยู่ที่ไหนบ้าง อวัยวะต่างๆ เช่น หัวใจ ตับ ปอด ไต กระเพาะ ลำไส้ และต่อมต่างๆ ทำหน้าที่อย่างไร ข้าพเจ้ารู้ละเอียดลงไปถึงเรื่องโครงสร้าง ส่วนประกอบการเติบโต และการขยายพันธุ์ของเซลล์
หนังสือเล่มนี้ทำให้ข้าพเจ้า เห็นร่างกายเป็นโรงงานมหึมา ประกอบด้วยเครื่องจักรเป็นจำนวนหมื่น จำนวนแสน ทำงานเกี่ยวข้องกันอย่างใกล้ชิดตลอดวันตลอดคืน ตั้งแต่เกิดจนตาย เมื่อเชื่อว่าตน “รู้ตัว” ดีแล้ว ข้าพเจ้าก็ไปพบหลวงพ่อที่ถ้ำ และได้บรรยายกลไกแห่งร่างกายมนุษย์ ให้หลวงพ่อฟังอย่างละเอียด ตามที่จำได้จากหนังสือ
เมื่อเล่าจบก็นั่งตั้งใจคอยฟังว่า หลวงพ่อท่านจะมีความคิดเห็นอย่างไร “เจ้ายังไม่รู้ตัว” หลวงพ่อท่านพูดขึ้น หลังจากนั่งเงียบตลอดเวลา สิ่งที่เจ้ารู้เป็นแต่เพียง “สมมติสัจจะ” ก่อนที่ข้าพเจ้าจะทันได้โต้ตอบ ท่านก็ลูกขึ้นเดินเข้าถ้ำไปเสียแล้ว ปล่อยให้ข้าพเจ้านั่งทอดถอนใจด้วยความผิดหวังอยู่คนเดียว
ข้าพเจ้าเดินคอตกกลับบ้าน แล้วก็เริ่มต้นคิดหาความหมายของคำว่า “รู้ตัว” ในแนวอื่น แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งมืดแปดด้าน เช้าวันอาทิตย์วันหนึ่ง ข้าพเจ้าจึงตัดสินใจเข้าไปในตัวจังหวัดอีก จุดประสงค์ก็เพื่อไปพบและขอคำปรึกษาหารือจากอาจารย์ผู้สอนวิทยาศาสตร์ ซึ่งเคยสอนข้าพเจ้ามา
“อาจารย์ครับ” ข้าพเจ้าเอ่ยขึ้น หลังจากทักทายกันตามธรรมเนียมแล้ว
“ที่บ้านผมมีพระธุดงค์รูปหนึ่ง ท่านสอนผมว่า ถ้าต้องการเดินให้ถูกทาง เข้าถึงแก่นพุทธศาสนาต้อง 'รู้ตัว' ผมได้อธิบายตัวตนของเราตามหลักสรีรวิทยาให้ท่านฟังแล้ว ท่านบอกว่า 'สิ่งที่ผมรู้เป็นเพียง สมมติสัจจะ' ผมยังไม่ 'รู้ตัว' อาจารย์ช่วยแนะนำผมด้วยว่า จะให้ผมรู้ตัวในแง่ไหนอีก?”
อาจารย์ผู้ได้ปริญญาโททางวิทยาศาสตร์นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดขึ้นว่า “สรีรวิทยา หรือกายวิภาควิทยา ยังไม่ใช่ความรู้สุดท้ายเกี่ยวกับตัวมนุษย์ ถ้าจะให้ถึงที่สุดก็ต้องศึกษาในแง่เคมี” ว่าแล้วอาจารย์ก็เริ่มอธิบายร่างกายมนุษย์ในแง่เคมีให้ข้าพเจ้าฟัง เริ่มต้นด้วยการจำแนกสารประกอบทางเคมีของร่างกายออกเป็นอย่างๆ แล้วก็แยกสารประกอบแต่ละอย่างออกเป็นธาตุแท้ๆ คือ “ปรมาณู” อธิบายโครงสร้างปรมาณูของธาตุต่างๆ อย่างละเอียดตลอดถึงไอโซโธปต่างๆ ของธาตุชนิดเดียวกัน
“ปรมาณูนี้และ คือส่วนประกอบที่เล็กที่สุดของร่างกาย” อาจารย์กล่าวสรุป
“คุณจะเป็นได้ว่า ปรมาณูแต่ละตัว มีลักษณะคลายสุริยะจักรวาล โดยมีนิวเคลียส เป็นดวงอาทิตย์ มีอิเล็กตรอนเป็นดวงดาวนพเคราะห์ โคจรอยู่โดยรอบ ฉะนั้นร่างกายของเราจึงไม่ใช่อะไร นอกจากกลุ่มปรมาณูนับจำนวนไม่ถ้วน เช่นเดียวกับ กาแล็กซี เป็นกลุ่มของสุริยจักรวาลมากมาย”
ข้าพเจ้ากลับไปพบหลวงพ่ออีกครั้งหนึ่ง และได้อธิบาย “ตัว” ในแง่วิชาเคมี ให้หลวงพ่อท่านฟังอย่างละเอียด เป็นเวลากว่า ๓๐ นาที ฝ่ายหลวงพ่อท่านก็ดูท่าทางตั้งใจฟังด้วยความสนใจ ทำให้ข้าพเจ้าเกิดความหวังขึ้นมารางๆ ว่า คราวนี้หลวงพ่อคงรับรองว่าข้าพเจ้า “รู้ตัว” แน่ เมื่อข้าพเจ้าอธิบายจบ หลวงพ่อยังคงนั่งนิ่ง คล้ายกับกำลังพิจารณาทบทวนเรื่องราวที่ข้าพเจ้าเพิ่งเล่าจบลง
สักครู่ใหญ่ผ่านไป หลวงพ่อท่านจึงพูดขึ้นว่า “เจ้ายังไม่ รู้ตัว สิ่งที่เจ้ารู้เป็นเพียง สภาวสัจจะ” ว่าแล้วก็ลุกเข้าถ้ำไปตามเคย
ข้าพเจ้าต้องแบกความผิดหวังกลับบ้านอีกครั้งหนึ่ง แต่ความล้มเหลวสองคราวที่ผ่านมา หาได้ทำให้ข้าพเจ้าหมดความมานะพยายามที่จะค้นหาความจริงต่อไปไม่
คำสอนของพระธุดงค์เถื่อน
ป้ายบอกทางริมถนนพื้นสีขาวตัวหนังสือสีดำ บอกไว้ว่า “เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูวัว 5 กม.” ตลอดทางถนนสีดำ แมกไม้ยืนต้น สีเขียวชอุ่ม ท้องฟ้าสีคราม และเทือกเขาที่วางสลับซับซ้อน อากาศเวลานี้กำลังสบายแจ่มใส
ข้าพเจ้า หัวหน้าหน่วยพิทักษ์ป่าคะแนน เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูวัว อำเภอบึงกาฬ จังหวัดหนองคาย ชื่อ บัวเพชร ประกายสิทธิ์ ชาวบ้านทั่วไปเรียกว่า เบี้ยว ชัยพร” อยู่ที่ 84/3 หมู่ที่ 11 บ้านใหม่ชัยพร ตำบลชัยพร อำเภอบึงกาฬ จังหวัดหนองคาย มีครอบครัว มีบุตร 2 คนแล้ว กำลังขับรถออกตรวจเขตฝ่าอยู่ นั่งระลึกไปถึงพระธุดงค์รูปหนึ่ง “ผู้ที่ไม่หวนกลับ” ในฉายานาม “หลวงพ่อธรรมงาม” ข้าพเจ้าเกิดมาเป็นชาวพุทธก็จริง แต่ก็นับถือพระพุทธศาสนาด้วยวาจา พูดถึงและแสดงการกราบไหว้เพียงเท่านั้น
ที่ว่านับถือด้วยวาจา พูดถึง นั้นคือว่า เมื่อมีใครถามว่านับถือศาสนาอะไร? ก็ตอบเขาไปว่า “ศาสนาพุทธ” ถ้ามีการกรอกแบบฟอร์มที่มีช่องศาสนา ก็กรอกลงไปว่า “พุทธศาสนา” แค่นั้น ที่ว่านับถือด้วยแสดงกราบไหว้ คือถ้ามีงานอะไรเกี่ยวกับทางพุทธศาสนามีขึ้น เช่นงานวัด งานทอดกฐิน ทอดผ้าป่า เวียนเทียน ก่อเจดีย์ทราย เข้าพรรษา ออกพรรษา ก็นำตัวเองไปร่วมกับเขาทุกที แต่จิตใจไม่ซาบซึ้งในรสพระธรรม ยังไม่ปลงใจเชื่อสนิท ยังเต็มไปด้วยความลังเลสงสัยอยู่
บ้านที่ข้าพเจ้าอยู่จนปัจจุบันนี้ ตรงข้ามวัดศรีสว่างอารมณ์ แต่ก็มีโบสถ์ของคริสต์ศาสนา มีชื่อว่า วัด น.ยอแซฟ” ไม่มีสุเหร่าของชาวมุสลิมอยู่เลย
ส่วนศาสนาสถานของศาสนาฮินดูนั้น ไม่มีแขกอินเดียมาตั้ง แต่ก็มีแขกส่งนม เจ้าปัญญาคนหนึ่งซึ่งรู้ศาสนาฮินดูดี และคุ้นเคยกับข้าพเจ้า ในเวลาว่าง ข้าพเจ้าชอบไปสนทนากับพระที่วัดตรงข้ามบ้านบ้าง ไปคุยกับบาทหลวง ซิสเตอร์ ที่โบสถ์ น.ยอแซฟบ้าง บางคราวก็ไปสนทนากับฮัจยีพวกที่นับถือศาสนาอิสลาม และบางโอกาส ได้พูดคุยกับแขกส่งนมบ้าง ทำให้ได้ความรู้เกี่ยวกับศาสนาต่างๆ มากพอสมควร
การรู้หลายๆ ศาสนา มิได้ช่วยให้ข้าพเจ้าเกิดความกระจ่างทางจิตใจแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม กลับทำให้เกิดความสงสัยลังเลยิ่งขึ้น ถ้าจะเปรียบข้าพเจ้าในขณะนั้น ก็เหมือนคนเดินทางมาถึงทาง ๔ แพร่ง กำลังยืนงงอยู่ ไม่รู้ว่าจะตัดสินใจเดินไปทางไหนดี? ที่ปากทางแต่ละสาย มีคนคนหนึ่งยืนอยู่ และออกปากเชิญชวนให้ข้าพเจ้าเดินตามทางของเขา โดยให้คำมั่นสัญญาต่างๆ เช่นว่า ถ้าเลือกเดินทางของเขา จะได้ชีวิตอมตะ และความสุขชั่วนิรันดร เป็นต้น แต่คำมั่นสัญญาของเขาเหล่านั้น ไม่เป็นที่ดึงดูดจิตใจของข้าพเจ้านัก เพราะวิถีชีวิตของข้าพเจ้าในตอนนั้นค่อนข้างแย่ ทำให้เห็นว่าชีวิตไม่ใช่สิ่งที่น่าอภิรมย์นัก เพียง ๗๐-๘๐ ปี ในโลกนี้ ก็แทบจะทนไม่ไหว ถ้ามีชีวิตอมตะ ชั่วนิรันดร ไม่รู้จักตาย เห็นจะไม่ไหวแน่ และแล้วในที่สุด ข้าพเจ้าตัดสินใจเดินตามทางไปสายหนึ่ง ซึ่งจะนำไปสู่ “พระนิพพาน” ซึ่งอยู่ใกล้กับที่ข้าพเจ้ายืนอยู่ แต่เดินทางไปไม่เท่าไหร่ก็ต้องหยุด เพราะปรากฏว่า ทางสายนี้ยังมีทางแยกย่อยออกเป็นสิบๆ เส้น ข้าพเจ้าจึงยังคงยืนลังเลอยู่ ไม่ทราบว่าจะเดินไปทางไหนแน่ จึงจะเป็นทางถูกต้อง นำไปสู่พระนิพพานได้สมประสงค์ ข้าพเจ้าเพิ่งเชื่อว่า ตนได้เดินทางที่ถูกต้องแล้ว เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๘ นี้เอง เรื่องของพระธุดงค์เถื่อนรูปหนึ่ง ได้มาโปรดข้าพเจ้า ดังจะเล่าให้ท่านผู้อ่านนทราบดังนี้
เมื่อต้นปี พ.ศ. ๒๕๒๘ นั้น มีพระภิกษุหนุ่มรูปหนึ่ง เดินธุดงค์มาอาศัยอยู่ที่ “ถ้ำขี้เหล็กไหล” หน่วยพิทักษ์ป่าชะแนน เขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าภูวัว ใกล้ๆ กับหมู่บ้านชัยพรของเรา แต่ไม่มีใครทราบว่าท่านชื่ออะไร? มาจากไหน เพราะท่านไม่เคยบอกใคร ท่านเป็นพระธุดงค์ที่ปฏิบัติเคร่งครัดมาก ห่มจีวรสีกลัก ฉันอาหารมื้อเดียว และฉันในบาตร ออกบิณบาตเป็นประจำทุกวันไม่เคยขาดเลย แม้ฝนจะตก แดดจะออก หรือไม่สบายก็ตาม เพราะเหตุนี้ การถือธุดงควัตรจึงเป็นที่เคารพนับถือของชาวบ้านอย่างสูง ทุกคนเรียกท่านว่า “หลวงพ่อ” อย่างสนิทสนม นอกจากปฏิบัติเคร่งครัดแล้ว หลวงพ่อของเรายังมีลักษณะพิเศษอีกอย่างหนึ่งก็คือ พูดน้อย อาจกล่าวได้ว่า ไม่มีใครเลยได้ยินท่านพูดถึง ๓ ประโยคในคราวเดียวกัน
บางทีท่านก็นั่งนิ่งๆ อยู่ทั้งวัน ทั้งๆ ที่ญาติโยมนั่งอยู่เต็มข้างหน้า
ดังนั้น บรรดาญาติโยมที่ตั้งใจจะไปคุยกับหลวงพ่อ จึงลงเอยด้วยการคายกันเอง แต่หลวงพ่อของเราก็ไม่ใช่พระใบ้เสียทีเดียว นานๆ ท่านจะพูดออกมาประโยคหนึ่งหรือสองประโยค และทุกๆ ประโยคที่หลุดออกมาจากปากของท่าน มักจะเป็นปริศนาธรรมอันลึกซึ้ง หรือเป็นสุภาษิต มีคติน่าจับใจเสมอ
เพราะเหตุนี้เอง คำพูดทุกคำของท่านจึงมีค่าอย่างยิ่ง ญาติโยมบางคนอุตสาห์ไปนั่งเฝ้าท่านอยู่ทั้งวัน เพื่อจะฟังคำพูดของท่านแม้เพียงประโยคเดียว เมื่อได้ฟังแล้วก็นำไปขบคิดเองบ้าง ถกเถียงวิพากษ์วิจารณ์กันบ้าง จนเกิดความรู้แตกฉานในพุทธธรรมได้ดีกว่าฟังเทศน์กัณฑ์ยาวๆ เสียอีก กิตติศัพท์ของหลวงพ่อทำให้ข้าพเจ้าเกิดความสนใจขึ้นมาทันที
วันหนึ่งเมื่อมีเวลาว่าง จึงได้ไปกราบนมัสการและพบท่านนั่งพักผ่อนอยู่ใต้ชะง่อนหินตรงปากถ้ำ “หลวงพ่อครับ” ข้าพเจ้าเอ่ยขึ้นหลังจากกราบท่านแล้ว “ตัวผมนี้ ถึงจะเป็นพุทธศาสนิกชน ก็ยังมีความสงสัยลังเลอยู่มาก ไม่ทราบว่าจะยึดอะไรเป็นหลักปฏิบัติ
ผมเคยไปถามพระหลายองค์หลายวัด บางองค์สอนให้ทำบุญทำทาน บางองค์สอนให้รักษาศีล บางองค์ก็สอนให้เจริญภาวนา มีทั้งยุบหนอพองหนอ สัมมาอะระหัง พุทโธ และโบกไม้โบกมือ บ้างก็ให้วิปัสสนาพิจารณากันเลย บางองค์ก็ชวนให้ออกบวช บางองค์ก็แนะนำให้ทำจิตให้ว่าง ผมเลยงงไปหมด ไม่รู้ว่าจะยึดอะไรเป็นหลักแน่! หลวงพ่อกรุณาบอกผมด้วยว่า จะทำอย่างไร จึงจะเดินถูกทาง เข้าถึงแก่นพระศาสนาได้”
“รู้” หลวงพ่อตอบสั้น ๆ ตามแบบฉบับของท่าน แล้วหลวงพ่อก็ไม่พูดอะไรอีก ข้าพเจ้างงเหมือนไก่ตาแตก เพราะไม่เข้าใจความหมายของท่าน ไม่ทราบว่า ท่าน “รู้” เรื่องที่ข้าพเจ้าเล่าถวาย หรือแนะนำให้ข้าพเจ้า “รู้” เมื่อเชื่อแน่ว่าท่านจะไม่อธิบายเพิ่มเติม ข้าพเจ้าจึงถามาว่า “รู้ อะไรครับ?”
“รู้ตัว” หลวงพ่อตอบ แล้วลูกขึ้นเดินหายเข้าไปในถ้ำ ก่อนที่ข้าพเจ้าจะได้ซักถามอะไรเพิ่มเติม ขณะที่เดินทางกลับบ้าน ข้าพเจ้าพยายามคิดตึความหมายของคำว่า “รู้ตัว” มาตลอดทาง พลางนึกเถียงหลวงพ่ออยู่ในใจว่า ข้าพเจ้ารู้ตัวเองดีอยู่แล้ว่าชื่อนั้น นามสกุลนั้น อายุเท่านั้น เรียนจบชั้นนั้น ประกอบอาชีพชนิดนั้น มีนิสัยชอบศึกษาค้นคว้าหาความรู้แปลกๆ ใหม่ๆ มีโรคปวดท้องเป็นโรคประจำตัว
ข้าพเจ้าสามารถจะตอบปัญหาเกี่ยวกับตัวเองได้ทุกปัญหา ข้าพเจ้าไม่เคยไปให้หมอดูดูดวง เพราะไม่เชื่อว่าหมอดูจะรู้จัดข้าพเจ้าดีไปกว่าตัวเอง หลวงพ่อจะให้ “รู้ตัว” อย่างไรอีก
ข้าพเจ้านอนคิดปัญหานี้อยู่หลายวัน แต่คิดไม่ออก วันหนึ่งเมื่อมีโอกาส จึงเดินเข้าไปในตลาดเมืองหนองคาย จุดประสงค์เพื่อจะไปเยี่ยมชมร้านขายหนังสือ ด้วยเชื่อว่า บางทีหนังสืออาจจะช่วยแก้ปัญหาได้บ้าง
ข้าพเจ้าได้เข้าไปในร้านจำหน่ายหนังสือใหญ่ร้านหนึ่ง แล้วก็เดินดูไปเรื่อยๆ ได้พบหนังสือทุกประเภท ทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษ หนังสือประเภทนวนิยาย สารคดี นิทาน ตำรับตำราและรูปภาพต่างๆ ข้าพเจ้าใช้เวลาอยู่ในร้านประมาณ ๑ ชั่วโมง เดินดูจนทั่วก็ไม่พบหนังสือที่ต้องการ
ในขณะที่กำลังจะเดินออกจากร้านนั่นเอง ตาก็เหลือบไปเห็นหนังสือเล่มหนึ่งวางโชว์ไว้ในตู้ สิ่งที่สะดุดตาที่สุดบนหนังสือนั้นก็คือ ภาพร่างมนุษย์ผ่าซีก ระบายสีเผยให้เห็นอวัยวะภายในต่างๆ อย่างชัดเจน ข้าพเจ้าเดินเข้าไปใกล้ และได้พบชื่อหนังสือนั้นว่า ไกลไกของร่างกายมนุษย์” เขียนโดยนายแพทย์ผู้มีชื่อเสียงคนหนึ่ง ข้าพเจ้าจ่ายเงิน ๑๕๐ บาท แล้วนำหนังสือนั้นกลับบ้าน พอถึงบ้านก็ลงมือเปิดอ่านทันที เนื่องจากผู้เขียนใช้ภาษาง่ายๆ และมีภาพประกอบแพรวพราว จึงทำให้เข้าใจได้ง่ายมาก
ภายใน ๓ วัน ข้าพเจ้าก็อ่านหนังสือเล่มนั้นจบ และจำสาระสำคัญๆ ได้หมด นัดนี้ ข้าพเจ้าได้ทราบว่า ร่างกายมนุษย์ประกอบด้วย กระดูกกี่ชิ้น กล้ามเนื้อกี่มัด เส้นเอ็นเส้นอูดกี่เส้น อยู่ที่ไหนบ้าง อวัยวะต่างๆ เช่น หัวใจ ตับ ปอด ไต กระเพาะ ลำไส้ และต่อมต่างๆ ทำหน้าที่อย่างไร ข้าพเจ้ารู้ละเอียดลงไปถึงเรื่องโครงสร้าง ส่วนประกอบการเติบโต และการขยายพันธุ์ของเซลล์
หนังสือเล่มนี้ทำให้ข้าพเจ้า เห็นร่างกายเป็นโรงงานมหึมา ประกอบด้วยเครื่องจักรเป็นจำนวนหมื่น จำนวนแสน ทำงานเกี่ยวข้องกันอย่างใกล้ชิดตลอดวันตลอดคืน ตั้งแต่เกิดจนตาย เมื่อเชื่อว่าตน “รู้ตัว” ดีแล้ว ข้าพเจ้าก็ไปพบหลวงพ่อที่ถ้ำ และได้บรรยายกลไกแห่งร่างกายมนุษย์ ให้หลวงพ่อฟังอย่างละเอียด ตามที่จำได้จากหนังสือ
เมื่อเล่าจบก็นั่งตั้งใจคอยฟังว่า หลวงพ่อท่านจะมีความคิดเห็นอย่างไร “เจ้ายังไม่รู้ตัว” หลวงพ่อท่านพูดขึ้น หลังจากนั่งเงียบตลอดเวลา สิ่งที่เจ้ารู้เป็นแต่เพียง “สมมติสัจจะ” ก่อนที่ข้าพเจ้าจะทันได้โต้ตอบ ท่านก็ลูกขึ้นเดินเข้าถ้ำไปเสียแล้ว ปล่อยให้ข้าพเจ้านั่งทอดถอนใจด้วยความผิดหวังอยู่คนเดียว
ข้าพเจ้าเดินคอตกกลับบ้าน แล้วก็เริ่มต้นคิดหาความหมายของคำว่า “รู้ตัว” ในแนวอื่น แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งมืดแปดด้าน เช้าวันอาทิตย์วันหนึ่ง ข้าพเจ้าจึงตัดสินใจเข้าไปในตัวจังหวัดอีก จุดประสงค์ก็เพื่อไปพบและขอคำปรึกษาหารือจากอาจารย์ผู้สอนวิทยาศาสตร์ ซึ่งเคยสอนข้าพเจ้ามา
“อาจารย์ครับ” ข้าพเจ้าเอ่ยขึ้น หลังจากทักทายกันตามธรรมเนียมแล้ว
“ที่บ้านผมมีพระธุดงค์รูปหนึ่ง ท่านสอนผมว่า ถ้าต้องการเดินให้ถูกทาง เข้าถึงแก่นพุทธศาสนาต้อง 'รู้ตัว' ผมได้อธิบายตัวตนของเราตามหลักสรีรวิทยาให้ท่านฟังแล้ว ท่านบอกว่า 'สิ่งที่ผมรู้เป็นเพียง สมมติสัจจะ' ผมยังไม่ 'รู้ตัว' อาจารย์ช่วยแนะนำผมด้วยว่า จะให้ผมรู้ตัวในแง่ไหนอีก?”
อาจารย์ผู้ได้ปริญญาโททางวิทยาศาสตร์นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดขึ้นว่า “สรีรวิทยา หรือกายวิภาควิทยา ยังไม่ใช่ความรู้สุดท้ายเกี่ยวกับตัวมนุษย์ ถ้าจะให้ถึงที่สุดก็ต้องศึกษาในแง่เคมี” ว่าแล้วอาจารย์ก็เริ่มอธิบายร่างกายมนุษย์ในแง่เคมีให้ข้าพเจ้าฟัง เริ่มต้นด้วยการจำแนกสารประกอบทางเคมีของร่างกายออกเป็นอย่างๆ แล้วก็แยกสารประกอบแต่ละอย่างออกเป็นธาตุแท้ๆ คือ “ปรมาณู” อธิบายโครงสร้างปรมาณูของธาตุต่างๆ อย่างละเอียดตลอดถึงไอโซโธปต่างๆ ของธาตุชนิดเดียวกัน
“ปรมาณูนี้และ คือส่วนประกอบที่เล็กที่สุดของร่างกาย” อาจารย์กล่าวสรุป
“คุณจะเป็นได้ว่า ปรมาณูแต่ละตัว มีลักษณะคลายสุริยะจักรวาล โดยมีนิวเคลียส เป็นดวงอาทิตย์ มีอิเล็กตรอนเป็นดวงดาวนพเคราะห์ โคจรอยู่โดยรอบ ฉะนั้นร่างกายของเราจึงไม่ใช่อะไร นอกจากกลุ่มปรมาณูนับจำนวนไม่ถ้วน เช่นเดียวกับ กาแล็กซี เป็นกลุ่มของสุริยจักรวาลมากมาย”
ข้าพเจ้ากลับไปพบหลวงพ่ออีกครั้งหนึ่ง และได้อธิบาย “ตัว” ในแง่วิชาเคมี ให้หลวงพ่อท่านฟังอย่างละเอียด เป็นเวลากว่า ๓๐ นาที ฝ่ายหลวงพ่อท่านก็ดูท่าทางตั้งใจฟังด้วยความสนใจ ทำให้ข้าพเจ้าเกิดความหวังขึ้นมารางๆ ว่า คราวนี้หลวงพ่อคงรับรองว่าข้าพเจ้า “รู้ตัว” แน่ เมื่อข้าพเจ้าอธิบายจบ หลวงพ่อยังคงนั่งนิ่ง คล้ายกับกำลังพิจารณาทบทวนเรื่องราวที่ข้าพเจ้าเพิ่งเล่าจบลง
สักครู่ใหญ่ผ่านไป หลวงพ่อท่านจึงพูดขึ้นว่า “เจ้ายังไม่ รู้ตัว สิ่งที่เจ้ารู้เป็นเพียง สภาวสัจจะ” ว่าแล้วก็ลุกเข้าถ้ำไปตามเคย
ข้าพเจ้าต้องแบกความผิดหวังกลับบ้านอีกครั้งหนึ่ง แต่ความล้มเหลวสองคราวที่ผ่านมา หาได้ทำให้ข้าพเจ้าหมดความมานะพยายามที่จะค้นหาความจริงต่อไปไม่