33 ปีก่อน วันที่ 26 เมษายน 1986 เวลา 01:23:45 น. ชาวเมือง Pripyat ซึ่งเป็นเมืองทันสมัยสร้างไว้รองรับครอบครัวพนักงานและชุมชนกว่า 50,000 คน ตื่นขึ้นมากลางดึกจากแรงสั่นสะเทือน ทุกคนเห็นเปลวไฟสีแดงอมฟ้าส่องสว่างมาจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เชอร์โนบิลที่ห่างไป 11 กิโลเมตร ตอนนั้นทุกคนคิดว่าเป็นเหตุไฟไหม้ทั่วไป แต่ความจริงอันน่าสะพรึงกำลังแผ่กระทบครอบครัวโดยรอบรัศมีรวมไปถึงทุกชีวิตตั้งแต่ยุโรปตะวันออกไปถึงเยอรมันนี
เวลาที่ผ่านมาถึงปัจจุบันประมาณถึงผู้ได้รับผลกระทบหลายสิบล้านคน พิการและเป็นมะเร็งจากการกระจายของกัมมันตรังสีนับแสนจากรุ่นสู่รุ่น เสียชีวิตหลายหมื่นคน แต่ตัวเลขของทางการโซเวียตก็ยังไม่เคยถูกแก้ไขนั่นคือ ไม่เกิน 50 คน
ผ่านมาครึ่งปีก็เพียงพอจะเลือกฟันธงได้แล้วว่ามินิซีรีส์ 5 ตอนจบเรื่องนี้คู่ควรติดอันดับสูงสุดส่วนตัวประจำปีนี้แทนที่หนังที่ได้ดูมาหรือรอจะฉายในเวลาที่เหลือ
จากการหาข้อมูลคงไม่กล่าวเกินจริงว่า เหตุการณ์เตาปฏิกรณ์หมายเลข 4 ของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เชอร์โนบิลคือเหตุการณ์หายนะที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์จากน้ำมือมนุษย์ และเป็นค้อนหลักแรกที่ทุบให้สหภาพโซเวียตล่มสลายในอีก 5 ปีถัดมา
รายละเอียดของเหตุการณ์มีเรื่องน่าสนใจมากมายรอให้เราไปค้นคว้าต่อ โดยผู้สร้างเลือกนำเสนอ 5 ตอน 5 ชั่วโมง คงแยกประเด็นแต่ละตอนได้เป็น การเกิดเหตุ>>>การแก้ไข>>>ความน่ากลัวของกัมมันตรังสี>>>ผลกระทบ>>>บทสรุป แต่ละฉากทั้งบท การกำกับ มุมกล้อง โปรดักส์ชั่น การแสดง เสียงประกอบ ตั้งแต่เปิดเรื่องจนฉากสุดท้าย ล้วนทรงพลังด้วยประเด็นของความโสมมของระบอบการปกครองประเทศ ความเสียสละของผู้พยายามช่วยแก้ไขทุกฝ่าย ความน่ากลัวของสิ่งที่เกิด โศกนาฏกรรมของผู้รับผลกระทบ และลำดับบันทึกเหตุการณ์ประวัติศาสตร์นี้ ผ่านตัวแทนตัวละครแต่ละฝ่าย
ตัวเอกที่ขับเคลื่อนเรื่องราวและควรได้รับการสดุดีจากชาวโลกคือ Valery Legasov นักวิทยาศาสตร์ผู้เข้าไปร่วมแก้ไขเหตุการณ์จนกระทั่งเลือกจะเปิดเผยความจริงที่รัฐปฏิเสธด้วยชีวิตของตัวเอง รวมถึง Boris Shcherbina ตัวแทนฝ่ายรัฐที่กลายมาเป็นผู้สละชีวิตจากการไปเป็นหัวหน้าแก้ไขเหตุการณ์อยู่แนวหน้า และตัวละครที่ออกมาทุกคนล้วนมีความหมายต่อเหตุการณ์ที่แสดงทั้งความอ่อนแอและความกล้าหาญของมนุษย์ รวมถึงความชั่วร้ายของการปกครองประเทศที่มีส่วนให้เกิดเหตุการณ์เลวร้ายลุกลาม
ไม่ได้มีเวลาเพื่อจะดูซีรีส์มานาน แต่มินิซีรีส์ชุดนี้ควรค่าแก่การสละห้าชั่วโมงเป็นอย่างยิ่ง
ขอปิดบทความด้วยคำพูดของ Legasov ที่สรุปเรื่องราวทั้งหมด
"เมื่อความจริงไม่เป็นที่น่าพึงใจ, เราเลือกการโกหกซ้ำ ๆ จนเราลืมความจริง แต่มันก็ยังอยู่ตรงนั้น... ทุกคำโกหกของเราคือหนี้ต่อความจริง ไม่ช้าก็เร็ว, หนี้นี้คือราคาที่เราต้องจ่าย"
Masterpiece
10/10
Chernobyl (mini series 2019): ราคาของคำลวง
33 ปีก่อน วันที่ 26 เมษายน 1986 เวลา 01:23:45 น. ชาวเมือง Pripyat ซึ่งเป็นเมืองทันสมัยสร้างไว้รองรับครอบครัวพนักงานและชุมชนกว่า 50,000 คน ตื่นขึ้นมากลางดึกจากแรงสั่นสะเทือน ทุกคนเห็นเปลวไฟสีแดงอมฟ้าส่องสว่างมาจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เชอร์โนบิลที่ห่างไป 11 กิโลเมตร ตอนนั้นทุกคนคิดว่าเป็นเหตุไฟไหม้ทั่วไป แต่ความจริงอันน่าสะพรึงกำลังแผ่กระทบครอบครัวโดยรอบรัศมีรวมไปถึงทุกชีวิตตั้งแต่ยุโรปตะวันออกไปถึงเยอรมันนี
เวลาที่ผ่านมาถึงปัจจุบันประมาณถึงผู้ได้รับผลกระทบหลายสิบล้านคน พิการและเป็นมะเร็งจากการกระจายของกัมมันตรังสีนับแสนจากรุ่นสู่รุ่น เสียชีวิตหลายหมื่นคน แต่ตัวเลขของทางการโซเวียตก็ยังไม่เคยถูกแก้ไขนั่นคือ ไม่เกิน 50 คน
ผ่านมาครึ่งปีก็เพียงพอจะเลือกฟันธงได้แล้วว่ามินิซีรีส์ 5 ตอนจบเรื่องนี้คู่ควรติดอันดับสูงสุดส่วนตัวประจำปีนี้แทนที่หนังที่ได้ดูมาหรือรอจะฉายในเวลาที่เหลือ
จากการหาข้อมูลคงไม่กล่าวเกินจริงว่า เหตุการณ์เตาปฏิกรณ์หมายเลข 4 ของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เชอร์โนบิลคือเหตุการณ์หายนะที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์จากน้ำมือมนุษย์ และเป็นค้อนหลักแรกที่ทุบให้สหภาพโซเวียตล่มสลายในอีก 5 ปีถัดมา
รายละเอียดของเหตุการณ์มีเรื่องน่าสนใจมากมายรอให้เราไปค้นคว้าต่อ โดยผู้สร้างเลือกนำเสนอ 5 ตอน 5 ชั่วโมง คงแยกประเด็นแต่ละตอนได้เป็น การเกิดเหตุ>>>การแก้ไข>>>ความน่ากลัวของกัมมันตรังสี>>>ผลกระทบ>>>บทสรุป แต่ละฉากทั้งบท การกำกับ มุมกล้อง โปรดักส์ชั่น การแสดง เสียงประกอบ ตั้งแต่เปิดเรื่องจนฉากสุดท้าย ล้วนทรงพลังด้วยประเด็นของความโสมมของระบอบการปกครองประเทศ ความเสียสละของผู้พยายามช่วยแก้ไขทุกฝ่าย ความน่ากลัวของสิ่งที่เกิด โศกนาฏกรรมของผู้รับผลกระทบ และลำดับบันทึกเหตุการณ์ประวัติศาสตร์นี้ ผ่านตัวแทนตัวละครแต่ละฝ่าย
ตัวเอกที่ขับเคลื่อนเรื่องราวและควรได้รับการสดุดีจากชาวโลกคือ Valery Legasov นักวิทยาศาสตร์ผู้เข้าไปร่วมแก้ไขเหตุการณ์จนกระทั่งเลือกจะเปิดเผยความจริงที่รัฐปฏิเสธด้วยชีวิตของตัวเอง รวมถึง Boris Shcherbina ตัวแทนฝ่ายรัฐที่กลายมาเป็นผู้สละชีวิตจากการไปเป็นหัวหน้าแก้ไขเหตุการณ์อยู่แนวหน้า และตัวละครที่ออกมาทุกคนล้วนมีความหมายต่อเหตุการณ์ที่แสดงทั้งความอ่อนแอและความกล้าหาญของมนุษย์ รวมถึงความชั่วร้ายของการปกครองประเทศที่มีส่วนให้เกิดเหตุการณ์เลวร้ายลุกลาม
ไม่ได้มีเวลาเพื่อจะดูซีรีส์มานาน แต่มินิซีรีส์ชุดนี้ควรค่าแก่การสละห้าชั่วโมงเป็นอย่างยิ่ง
ขอปิดบทความด้วยคำพูดของ Legasov ที่สรุปเรื่องราวทั้งหมด
"เมื่อความจริงไม่เป็นที่น่าพึงใจ, เราเลือกการโกหกซ้ำ ๆ จนเราลืมความจริง แต่มันก็ยังอยู่ตรงนั้น... ทุกคำโกหกของเราคือหนี้ต่อความจริง ไม่ช้าก็เร็ว, หนี้นี้คือราคาที่เราต้องจ่าย"
Masterpiece
10/10