สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 17
ตั้งแต่เริ่มทำงานมาได้ 6-7 ปี เคยร่วมงานมาแล้วหลากหลายบริษัท จากที่เราประเมินตัวเองถ้าจะให้เรียนรู้งานแบบเป๊ะทุกอย่าง ต้องใช้เวลา 6 เดือนขึ้นไปค่ะ!
.
.
.
ทุกอย่างต้องค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับนะคะ เราเองก็เคยโดนด่าโดนว่าหนักมาก จะถอดใจไม่ทำต่ออยู่หลายครั้งเหมือนกัน แล้วทุกครั้งคนที่มาสอนงานให้เรา มักจะเป็นเพศทางเลือกเสมอ ชีวิตนี้เหมือนต้องเจอปากตุ๊ด มีตุ๊ดเป็นครู ความจิกกัดในการสอนงานของกะเทย ต้องยอมรับว่ามีส่วนช่วยให้เราพัฒนาฝีมือตัวเองได้ดีขึ้นแบบเห็นได้ชัดเจนเลยค่ะ
.
.
.
เคยโดนเกือบให้ออกจากงานเหมือนกัน เราก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากขอโทษ แล้วบอกว่าครั้งต่อไป งานทุกอย่างจะต้องเพอร์เฟ็คและดีขึ้นกว่าเดิมแน่นอน ซึ่งตรงนี้เราทำได้ค่ะ เราทำได้ด้วยการฟังในสิ่งที่เค้าตำหนิเรามา และฟังว่าสิ่งที่เค้าต้องการคืออะไร ข้อเสียหรือจุดบกพร่องของเรามันมีอะไรบ้าง หาคำตอบได้แล้วก็รีบแก้ไขมันซะ ไม่จำเป็นต้องดีชนิดว่า 100% เหมือนคนทำงานมานานเป็นสิบๆ ปี แต่ต้องทำให้ได้ดีกว่าเมื่อวานที่เราเคยผิดพลาด เมื่อวานเราอาจจะผิด 99% แต่วันนี้เราจะลดลงให้ผิดแค่ 60% ลดความผิดพลาดลงมาเรื่อยๆ
.
.
.
อีกอย่างก่อนที่เราจะย้ายมาทำงานในองค์กรใหม่ เราโดนบริษัทเดิมไล่ออก เนื่องจากเราทำงานผิดพลาดบ่อย สิ่งนั้นเรายอมรับความผิดพลาดของตัวเรา แต่ที่มันแย่ไปมากกว่านั้นก็คือ บริษัทกดดันเราทุกทาง ทั้งๆ ที่เป็นทีมเวิร์ก แต่เหมือนเราทำทุกอย่างอยู่คนเดียว ทำถูกทำดีไม่เคยชม แต่ทำผิดเมื่อไหร่มีโทษมหันต์ เหตุผลที่เค้าให้กับเราก่อนเชิญเราออก (ไล่ออกนั่นแหละ)
.
.
.
เค้าบอกว่าเราทำงานผิดพลาดเยอะเกินไป (เราเข้าออฟฟิศแค่สัปดาละ 2 ครั้ง นอกเหนือจากนั้นต้องวิ่งอีเวนท์ให้ลูกค้าจนหัวกระเซิงกลับบ้านทุกคืน แต่จุดนี้เราเชื่อว่าเค้าไม่แคร์หรอก) และบอกว่าอยากให้เราลองไปทำงานกับบริษัทอื่นดู อยากให้เราลดอีโก้ในตัวเองลง ไม่งั้นไม่ว่าไปทำงานที่ไหนก็ทำได้ไม่นานหรอก ตอนนั้นในความรู้สึกเรา เค้าจะหวังดี จะสอน จะด่า หรือจะอะไรกันแน่ แต่ลึกๆ แล้วเหมือนโดนดูถูกเลย ถ้าเราไม่เคยผ่านงานมาก่อนจะไม่พูด ไม่คัดค้านอะไรในใจสักคำ ก็ทำได้แค่ยิ้มยกมือไหว้ แล้วพูดว่า ‘ขอบคุณค่ะ’
.
.
.
จนวันที่ได้มีโอกาสเข้าไปทำงานในบริษัทใหม่ และเป็นบริษัทที่ยักษ์ใหญ่มากๆ ถือว่าเป็นความโชคดีของเราด้วย แต่คนในที่ทำงานเดิมพอเค้ารู้ข่าวว่าเราจะย้ายไปทำบริษัทนี้ กลับพูดออกมาได้ว่า ‘มีแต่คนโง่เท่านั้นแหละที่ไปทำกับบริษัทนี้’ เราก็ได้แต่ฝืนยิ้มให้ ไม่อยากพูดอะไรเยอะ ไปดูแค่ตัวเลขงบประมาณและฐานลูกค้า ก็เพียงพอแล้ว
.
.
.
บริษัทใหม่ที่ว่านี้ จะมีช่วงเวลาที่เปิดรับสมัครพนักงานในตำแหน่งต่างๆ ซึ่งมีคนเข้ามาสมัครงานเยอะมาก เราเลิกทำตำแหน่งในด้านที่ต้องออกไปพบปะลูกค้า กลับมานั่งทำออฟฟิศอยู่เบื้องหลังดีกว่า แต่ก็ใช่ว่าจะสบายนะคะ งานนี้ไม่เหมือนพนักงานออฟฟิศทั่วไป เพราะถ้าโปรเจ็คยังไม่เสร็จก็ต้องกลับเข้ามาทำต่อที่ออฟฟิศ เคยทำงานมากสุด 2 เดือนติดต่อกันโดยที่ไม่มีวันหยุด ทั้งๆที่เพิ่งเริ่มทำงานได้แค่ 3 เดือนกว่าๆ เท่านั้นเอง แต่เห็นค่าตอบแทนมันก็หายเหนื่อยขึ้นมาได้นิดนึง
.
.
.
อย่าท้อ อย่ายอมแพ้ จำไว้ว่าการทำงานไม่ว่าที่ไหนก็ตามบนโลกใบนี้ เราจะต้องเจอกับปัญหาอยู่เสมอ ซึ่งมันจะเข้ามาในรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป เรียนรู้มันด้วยการแก้ไข ไม่ใช่วิ่งหนี หรือนั่งซ้ำเติมตัวเองกับความผิดพลาดที่เกิดขึ้น เพราะในทุกๆ ปัญหาถ้าเราผ่านพ้นไปได้เมื่อไหร่ เมื่อนั้นมันจะทำให้เราเก่งและแกร่งขึ้นกว่าเดิมนะคะ
.
.
.
ทุกอย่างต้องค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับนะคะ เราเองก็เคยโดนด่าโดนว่าหนักมาก จะถอดใจไม่ทำต่ออยู่หลายครั้งเหมือนกัน แล้วทุกครั้งคนที่มาสอนงานให้เรา มักจะเป็นเพศทางเลือกเสมอ ชีวิตนี้เหมือนต้องเจอปากตุ๊ด มีตุ๊ดเป็นครู ความจิกกัดในการสอนงานของกะเทย ต้องยอมรับว่ามีส่วนช่วยให้เราพัฒนาฝีมือตัวเองได้ดีขึ้นแบบเห็นได้ชัดเจนเลยค่ะ
.
.
.
เคยโดนเกือบให้ออกจากงานเหมือนกัน เราก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากขอโทษ แล้วบอกว่าครั้งต่อไป งานทุกอย่างจะต้องเพอร์เฟ็คและดีขึ้นกว่าเดิมแน่นอน ซึ่งตรงนี้เราทำได้ค่ะ เราทำได้ด้วยการฟังในสิ่งที่เค้าตำหนิเรามา และฟังว่าสิ่งที่เค้าต้องการคืออะไร ข้อเสียหรือจุดบกพร่องของเรามันมีอะไรบ้าง หาคำตอบได้แล้วก็รีบแก้ไขมันซะ ไม่จำเป็นต้องดีชนิดว่า 100% เหมือนคนทำงานมานานเป็นสิบๆ ปี แต่ต้องทำให้ได้ดีกว่าเมื่อวานที่เราเคยผิดพลาด เมื่อวานเราอาจจะผิด 99% แต่วันนี้เราจะลดลงให้ผิดแค่ 60% ลดความผิดพลาดลงมาเรื่อยๆ
.
.
.
อีกอย่างก่อนที่เราจะย้ายมาทำงานในองค์กรใหม่ เราโดนบริษัทเดิมไล่ออก เนื่องจากเราทำงานผิดพลาดบ่อย สิ่งนั้นเรายอมรับความผิดพลาดของตัวเรา แต่ที่มันแย่ไปมากกว่านั้นก็คือ บริษัทกดดันเราทุกทาง ทั้งๆ ที่เป็นทีมเวิร์ก แต่เหมือนเราทำทุกอย่างอยู่คนเดียว ทำถูกทำดีไม่เคยชม แต่ทำผิดเมื่อไหร่มีโทษมหันต์ เหตุผลที่เค้าให้กับเราก่อนเชิญเราออก (ไล่ออกนั่นแหละ)
.
.
.
เค้าบอกว่าเราทำงานผิดพลาดเยอะเกินไป (เราเข้าออฟฟิศแค่สัปดาละ 2 ครั้ง นอกเหนือจากนั้นต้องวิ่งอีเวนท์ให้ลูกค้าจนหัวกระเซิงกลับบ้านทุกคืน แต่จุดนี้เราเชื่อว่าเค้าไม่แคร์หรอก) และบอกว่าอยากให้เราลองไปทำงานกับบริษัทอื่นดู อยากให้เราลดอีโก้ในตัวเองลง ไม่งั้นไม่ว่าไปทำงานที่ไหนก็ทำได้ไม่นานหรอก ตอนนั้นในความรู้สึกเรา เค้าจะหวังดี จะสอน จะด่า หรือจะอะไรกันแน่ แต่ลึกๆ แล้วเหมือนโดนดูถูกเลย ถ้าเราไม่เคยผ่านงานมาก่อนจะไม่พูด ไม่คัดค้านอะไรในใจสักคำ ก็ทำได้แค่ยิ้มยกมือไหว้ แล้วพูดว่า ‘ขอบคุณค่ะ’
.
.
.
จนวันที่ได้มีโอกาสเข้าไปทำงานในบริษัทใหม่ และเป็นบริษัทที่ยักษ์ใหญ่มากๆ ถือว่าเป็นความโชคดีของเราด้วย แต่คนในที่ทำงานเดิมพอเค้ารู้ข่าวว่าเราจะย้ายไปทำบริษัทนี้ กลับพูดออกมาได้ว่า ‘มีแต่คนโง่เท่านั้นแหละที่ไปทำกับบริษัทนี้’ เราก็ได้แต่ฝืนยิ้มให้ ไม่อยากพูดอะไรเยอะ ไปดูแค่ตัวเลขงบประมาณและฐานลูกค้า ก็เพียงพอแล้ว
.
.
.
บริษัทใหม่ที่ว่านี้ จะมีช่วงเวลาที่เปิดรับสมัครพนักงานในตำแหน่งต่างๆ ซึ่งมีคนเข้ามาสมัครงานเยอะมาก เราเลิกทำตำแหน่งในด้านที่ต้องออกไปพบปะลูกค้า กลับมานั่งทำออฟฟิศอยู่เบื้องหลังดีกว่า แต่ก็ใช่ว่าจะสบายนะคะ งานนี้ไม่เหมือนพนักงานออฟฟิศทั่วไป เพราะถ้าโปรเจ็คยังไม่เสร็จก็ต้องกลับเข้ามาทำต่อที่ออฟฟิศ เคยทำงานมากสุด 2 เดือนติดต่อกันโดยที่ไม่มีวันหยุด ทั้งๆที่เพิ่งเริ่มทำงานได้แค่ 3 เดือนกว่าๆ เท่านั้นเอง แต่เห็นค่าตอบแทนมันก็หายเหนื่อยขึ้นมาได้นิดนึง
.
.
.
อย่าท้อ อย่ายอมแพ้ จำไว้ว่าการทำงานไม่ว่าที่ไหนก็ตามบนโลกใบนี้ เราจะต้องเจอกับปัญหาอยู่เสมอ ซึ่งมันจะเข้ามาในรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป เรียนรู้มันด้วยการแก้ไข ไม่ใช่วิ่งหนี หรือนั่งซ้ำเติมตัวเองกับความผิดพลาดที่เกิดขึ้น เพราะในทุกๆ ปัญหาถ้าเราผ่านพ้นไปได้เมื่อไหร่ เมื่อนั้นมันจะทำให้เราเก่งและแกร่งขึ้นกว่าเดิมนะคะ
แสดงความคิดเห็น
พึ่งเข้าไปทำงานใหม่ได้ 2 อาทิตย์ แต่หัวหน้าแผนให้หางานใหม่เหตุผลของเขาคือเราเรียนรู้ช้า ???