Day4 เดินทางจาก Banyuwangi - Probolinggo
หลังจากที่ผมอาบน้ำเสร็จ ก็ขอพักซักครู่ ตื่นขึ้นมาอีกทีเกือบๆเที่ยงตรง กลุ่มผมนัดกันเที่ยงตรงครับเพื่อที่จะไปสถานีรถไฟ Karangasem เพื่อไปยังสถานี Klakah เที่ยวเวลา 14.03น. ตามเวลาท้องถิ่น
ภาพนี้โดนเพื่อนๆหมั่นไส้ครับ บอกว่าไอ้2คนนี้ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วนะ เห็นสาวๆเป็นไม่ได้ 5555
ด้วยความชะล่าใจเกินไป ผมไม่ได้จองตั๋วรถไฟล่วงหน้า และวันนี้ตรงกับวันศุกร์ ความผิดพลาดก็เกิดขึ้นอีกครั้งกับผม ผมเดินเข้าไปที่เคาท์เตอร์เพื่อจะซื้อตั๋วสำหรับเที่ยวเวลานี้ จำนวน5ที่นั่ง ปรากฎว่า “เหลือ1ที่นั่ง” ซึ่งเป็นไปไม่ได้แน่นอนสำหรับเที่ยวนี้ และเส้นทางนี้ไม่มีขบวนถัดไปสำหรับวันนี้ ผมออกมาแจ้งข่าวและปรึกษากับเพื่อนๆ พวกเขารอผมอยู่นอกอาคาร เราตัดสินใจเลือก Grab เพื่อไปยังสถานีรถบัส ซึ่งต้องวัดดวงกันล่ะคราวนี้ เพราะเท่าที่ค้นหาข้อมูลผมหาตารางรถที่จะไปเมือง "Probolinggo" แทบจะไม่มีข้อมูลเลย มีอยู่เวปเดียวที่บอกผม แต่เวปนี้จะมีวันละเที่ยว ซึ่งผมมองว่ามันไม่น่าจะใช่แน่ๆ
พวกเราเจอปัญหาระหว่างเรียก Grab เหมือนกันครับ เรื่องมีอยู่ว่า Grab บอกว่าเข้ามารับเราในสถานีรถไฟไม่ได้ มันเป็นเขตสีแดง ให้เราเดินออกไปทางไหนก็ได้ ให้ห่างจากสถานีรถไฟประมาณ500เมตร ในขณะที่กำลังเดินฝนก็เทลงมาอย่างหนัก ทำให้ต้องแวะเข้าหลบฝนที่บ้านของชาวบ้าน
พวกเรามีเวลาคุยกันว่า จะลองถามGrabดูว่า จะไปส่งเราที่ Probolinggo ได้รึเปล่า เพราะก่อนหน้านี้เราเรียกGrabเพื่อให้ไปส่งที่นั่นแต่ไม่มีใครไปเลย
เราคิดว่าอาจจะพอคุยราคากันได้ พอรถมารับพวกเราก็เริ่มถามเริ่มเจรจา เขาสนใจครับแต่เขาสื่อสารไม่ค่อยจะรู้เรื่อง เขาพาเราออกจากเส้นทางที่จะไปสถานีรถบัส ตอนแรกนึกว่าเขาจะขับยาวไปถึง Probolinggoเลย แต่ไม่ใช่ครับ เขาจอดรถและไปเรียกเพื่อนอีกคนที่คุยภาษาอังกฤษค่อนข้างเก่งมาต่อรองกับเรา ราคาที่คุยไว้กับคนขับ Grab ถูกเปลี่ยนแปลงครับ ซึ่งจะแพงขึ้นมาก เราใช้เวลาคุยกันเกือบๆ20นาที จนสุดท้ายพวกเราหาทางบ่ายเบี่ยงเพื่อจะยกเลิกการคุยทั้งหมด ให้เขาไปส่งที่สถานีรถบัสตามเดิมเพื่อวัดดวงน่าจะดีกว่า
เขาจะให้เราจ่ายค่า Grabครั้งแรกก่อน และจะนับใหม่จากตรงนี้ไปสถานีขนส่ง จริงๆผมก็ไม่ค่อยชอบข้อตกลงนี้ซักเท่าไหร่ เพราะผมคิดว่ามันไม่ใช่ความผิดผม แล้วทำไมผมต้องมาจ่ายเพิ่ม เขาให้เหตุผลว่าเป็นค่าเสียเวลา เฮ้อออ หลายๆคนถึงกับอารมณ์ตึงๆและเซ็งๆ แต่ในจุดนั้นผมต้องนิ่งและมีสติที่สุด เพราะตอนนี้ผมอยู่ในถิ่นเขา ความปลอดภัยของทุกคนต้องมาก่อน
หลังจากถึงสถานีขนส่งทางฝั่งเหนือปรากฎว่ามีรถจอดรอเวลาออกอยู่ครับ เป็นรถที่จะไป Probolinggoพอดี ค่าโดยสาร60,000IRD ซึ่งถูกกว่ารถไฟราวๆ1เท่าตัว ถูกกว่าGrabที่จะวิ่ง Offline ราวๆ2เท่า ผมรีบปลดกระเป๋าออกจากหลังแล้วโหลดใต้ท้องรถ ขึ้นไปหาที่นั่งบนรถ ไม่นานก็ได้เวลาเดินทางต่อ
การเดินทางจะใช้เวลาราวๆ3ชั่วโมง ซึ่งไม่ได้นานอะไร แต่ตอนนี้เวลา17.00น. เราจะไปถึง Probolinggo ราวๆ20.00น. ซึ่งหวังว่าจะยังหารถไปที่ "Cemoro Lawang" ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่อยู่ใกล้ๆก่อนที่จะขึ้นภูเขาไฟ Bromo
เราถึง Probolinggo ราวๆ20.30น. และพยายามเรียก Grabเพื่อขึ้นไปยัง Bromo เหตุการณ์ก็จะเหมือนกรณีที่เราจะนั่ง Grabมาที่ Probolinggoนั่นแหละครับ คือจะวิ่งแบบOffline เราพยายามคุยกัน พยายามหารถหลายเจ้า คุยเยอะมากจนเวลา23.00น. เพื่อนเริ่มเสียงแตก คืนนี้เราตกลงจะนอนที่ Probolinggoก่อน เพื่อนอีกคนบอกว่าไม่ต้องไป Bromoแล้ว เพราะเวลามันน้อย เสียดายเงิน ซึ่งค่อนข้างจะสวนทางกับความรู้สึกผมอยู่ จริงๆในใจผมคิดไว้บ้างแล้วว่า งั้นก็เจอกันที่ Surabaya เลย ผมจะขึ้นBromo เพื่อนส่วนที่ยังลังเลอยู่ก็เริ่มชัดเจนขึ้นและหาวิธีช่วยผม และผมก็ไปเจอกับข้อมูลการขึ้น Bromo โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ไม่ต้องเสียค่ารถจิ๊บเท่ห์ๆที่เคยเห็นกันในรีวิวจากเพื่อนๆนักเดินทางท่านอื่น
Day 5 Bromo
เมื่อตื่นเช้าของอีกวันพวกเรา Check out แต่เช้าและรีบแบกกระเป๋าเดินไปตรงข้ามสถานีรถไฟเมือง Probolinggo ซึ่งตามข้อมูลรีวิวบอกว่าจะมีรถเพื่อขึ้นไปยังBromo คนเต็มเมื่อไหร่ก็ออกทันที ซึ่งจะประหยัดค่าใช่จ่าย
ขอแวะกินข้าวเช้าก่อนนะครับ พลังงานหมด ^^
หลังจากเดินไปเรื่อยๆก็ยังไม่พบรถกระป๊อที่ว่า แต่มีคนที่รออยู่ละแวกนั้นเดินมาถาม และแนะนำว่าจะพาขึ้นไป Bromo โดนราคาตอนแรกคือ 500,000IRD ซึ่งทีมเราก็ลองต่อราคาลง จนเหลือ 350,000IRD แต่มติยังบอกว่าแพงอยู่ เขาเลยให้เบอร์ไว้ว่าหากสนใจก็โทรหาเขาได้ ผมตัดสินใจให้เพื่อนเรียก Grabดูอีกครั้ง ครั้งนี้คนขับแจ้งว่าไปครับ ซึ่งก็แอบคิดอยู่ว่าคงโดนวิ่งแบบ Offlineแน่ๆ แต่ก็อยากลองดูอีกครั้ง ถ้าราคายอมรับได้ก็ไม่มีปัญหา พวกเราเดินออกมาเรื่อยๆปรากฎว่ามี"รถกระป๊อ"สีเหลืองขับมาเทียบและถามว่าเราจะไปไหน พวกเราปฏิเสธไป ระหว่างนั้นลุงคนเมื่อกี้ก็รีบขับรถมาที่พวกเราและบอกรถกระป๊อคันนั้นว่าพวกเราเป็นลูกค้าเขา รถกระป๊อก็เลยขับออกไป ลุงเขาเลยบอกกับเราว่าไอ้คนนั้นมันเป็น "มาเฟีย" ผมได้ยินแต่ก็ไม่ได้คิดอะไร แต่พอเราเดินไปซักพักรถกระป๊อคันเดิมก็มาเทียบที่เราและถามว่า “คุณเรียกGrabเหรอ” พวกเราก็เลยปฏิเสธไปเพราะกลัวจะมีปัญหา
พวกเราเดินต่อตามที่ Grabส่งแผนที่มาให้ว่าเขาเข้ามาใกล้กว่านี้ไม่ได้ ซักพักเขาก็ส่งข้อความมาอีกว่า “พวกคุณโดนรถคันสีเหลืองตาม” และเป็นแบบนั้นจริงๆครับ พวกผมแล้วซ้ายเข้าซอย เขาเลี้ยวตามเข้ามาและขับช้าๆตามหลังพวกเรา พวกเราหยุดเดินและนั่งพักเขาจอดรถที่ข้างทาง พวกเราเดินต่อเขาก็ออกรถแล้วขับตามช้าๆ พวกผมเดินย้อนกลับเขาก็กลับรถแล้วขับตามมาเหมือนเดิม ผมเลี้ยวซ้ายออกถนนใหญ่และแวะมินิมาร์ท เขาจอดรออยู่ด้านหน้า พวกเราตัดสินใจเดินไปที่สถานีตำรวจและเดินเข้าไปด้านใน เขาขับตามมาและจอดรถตรงข้ามสถานี555 เรื่องราวมันพีคตรงนี้แหละครับ คือพี่จะกลัวตำรวจบ้างก็ได้นะ เพราะผมไม่รู้จะทำยังไงแล้ว555
พี่Grabพยายามช่วยพวกเราและเป็นหูเป็นตาให้เราตลอด จนที่สุดเพื่อนได้โทรหาพี่Grabและยื่นมาให้ผมคุย พี่เขาบอกว่าพวกคุณรออยู่ตรงนั้นแหละ เดี๋ยวผมจะไปรับเอง ผมก็พยายามถามว่ามันจะมีปัญหาอะไรไหม? พี่เขาบอกว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวจะจัดการให้ หืมมมม เลือดนักสู้ผมพร้อมปะทะมาก เพราะก่อนหน้านี้ผมก็เกือบจะเข้าไปถามแล้วเหมือนกันว่ามีปัญหาอะไรไหม มาขับตามเราทำไม555 แต่มันบ้านเมืองเขาอ่ะเนอะ เดี๋ยวโดนสวน
พี่Grabมาถึง พี่แกเดินลงมาเลยครับ จังหวะนั้นพี่แกก็สบตากับมาเฟียรถกระป๊อ ซักพักพี่มาเฟียรถกระป๊อก็ขับออกไปโดยไม่มีเหตุการณ์ใดๆเกิดขึ้น
เหมือนยกภูเขา ยกความกดดันทั้งหมดออกจากอกไปเลย นี่ผมถือว่าเป็นการคุกคามอีกครั้งนึงที่หนักหนามากตั้งแต่ผมเริ่มแบกเป้ท่องโลกมา
หลังจากเราขึ้นรถเสร็จเราให้พี่เขาพาไปแลกเงิน และมุ่งหน้าไปที่Bromoต่อ การเดินทางไปโบรโม่เราจะพบกับระหว่างทางที่สวยงาม พบกับภูเขา กลุ่มเมฆที่ลอยประดับภูเขาสูงๆ สวยงามมากเลยทีเดียว แต่ไม่พลาดอีกเช่นเคย ครั้งนี้ฝนกระหน่ำลงมาหนักหน่วงเช่นเดิม ระหว่างทางขึ้นไป Bromoถนนจะลัดเลาะภูเขาขึ้นไป บางจุดจะเห็นดินสไลด์ลงมาปิดถนนไปครึ่งเลนส์ เข้าใจได้ทันทีครับว่าทำไมGrabที่นี่ทำไมถึงอยากจะวิ่งOffline และราคาจะสูงกว่าที่แสดงในเวป
เราข้นไปเกือบจะถึงหมู่บ้านแล้ว ปรากฎว่ารถไม่มีแรงในช่วงจังหวะขึ้นเนิน ทำให้ผมกับเพื่อนอีก2คนต้องลงจากรถ เพื่อให้รถเบาขึ้น และนั่นแหละครับคือความสวยงามระหว่างทาง ภาพภูเขาที่ปกคุมไปด้วยเมฆบางๆลอยไปมา ภาพเกษตรกรรมแบบขั้นบันไดเรื่อยไปจนถึงเชิงเขา ภาพของความนิ่งสงบของจุดนั้น เสียงนกร้องส่งเสียง เป็นภาพเบื้องหน้าที่สะกดความรู้สึกจริงๆครับ ผมเองก็ลั่นชัตเตอร์เก็บภาพนิ่งและถ่ายVDOกลับมาฝากทุกคนเหมือนกัน อีกไม่นานจะทำVDOเป็นของฝากให้เพื่อนๆนะครับ
แบกเป้ท่องโลก บาหลี-คาวาอิเจี้ยน-โบรโม่ - วันที่ 4 - 5 " BROMO "