เงาเพลิง โดย พรายทราย บทที่ 13 เหตุแห่งเพลิง

กระทู้สนทนา
บทที่ 13 

เหตุแห่งเพลิง

“พูดได้แล้วนะทีนี้... ว่าแต่คุณว่าคนในภาพเหมือนฉันมากมั้ย ” 

โจว์กอดอก ยืนนิ่งอยู่กับที่ ใช้เพียงสายตาเพ่งพินิจมองแต่ละภาพ ทันทีที่เด็กสาวพูดจบประโยค เขาก็หัวเราะ ประชดลั่นออกมาทันที

“เหมือนรึ ภาพของเธอเองต่างหาก”

“ไม่นะ ไม่ใช่ฉัน ฉันไม่เคยใส่ชุดแบบนี้ ไม่มีปัญญาให้ใครมาวาดภาพเหมือน คุณดูฝีแปรงสิ ไม่ใช่งานธรรมดาริมถนนหรือเด็กมหาลัยแน่ ๆ และยังรูปอื่น ๆ อีก” เด็กสาวรีบปฏิเสธ ภาพที่ปรากฏอยู่บนผนังเรียกร้องความสนใจของเธอ มากกว่าจะต่อล้อต่อเถียงกับโจว์

“หลักฐานเท่านี้ก็พอสรุปได้แล้วว่า เธอเกี่ยวข้องมีส่วนกับเรื่องนี้ด้วย”

“... ไม่จริง!! ฉันแค่เกี่ยวข้องด้วยความบังเอิญอยู่ในเหตุการณ์ของคุณ อย่างที่เล่าให้ฟังมาแล้วไม่รู้กี่รอบ ๆ น่ะ”  คิมเบอร์ลี่รีบหันกลับมาตอบเสียงดังลั่น เมื่อรู้สึกได้ว่าน้ำเสียงของคนข้าง ๆ เริ่มเปลี่ยนไป

“แล้วมีรูปของเธอมากมายอยู่ในองค์กรนี้ได้ยังไง”  โจว์เองก็สิ้นสุดความอดทน บางทีเธอก็เป็นแค่ตัวล่ออีกตัวให้เขาติดกับ

“ทั้งหมดเธอก็คงมีส่วนด้วย มันชัดเจน... เธอ พวกเธอต้องการอะไรจากฉันกันแน่ ทำไมไม่ฆ่าให้ตายไปตั้งแต่นัดแรกในสวนไปเสียเลย  ฉันเป็นแค่คนธรรมดา ไม่ได้มีความสำคัญกับใคร ไม่ได้ร่ำรวยล้นฟ้า ไม่เคยไปยุ่ง วุ่นวายกับธุรกิจ หรือเรื่องของใคร หรือมันเป็นแค่ความสนุก เล่นเกมของพวกเธอใช่ไหม”

“ไม่นะ ใจเย็น ๆ สิคะมิสเตอร์เฟอร์ริก  ไม่!! คุณเข้าใจผิดไปใหญ่อีกแล้ว ฉันไม่น่าเข้ามายุ่งด้วยเลย  รูปพวกนี้ก็ไม่ใช่รูปฉันอีกนั่นแหละ องค์กรนี้เพื่อนฉันก็ค้นข้อมูลมาให้จากที่ตามทะเบียนรถ  แต่ฉันไม่รู้ว่าทำไมเป็นแบบนี้...”  เสียงในตอนท้ายเบาลง เธอเองก็ไม่เข้าใจเช่นกัน

ความเงียบเริ่มปกคลุม บรรยากาศในห้องเริ่มเต็มไปด้วยความอึดอัด เด็กสาวก็ไม่รู้จะวนโต้เถียงกับโจว์ให้เขาเข้าใจถูกต้องได้อย่างไร

เช่นเดียวกับโจว์ เมื่อมาถึงจุดนี้ มันยิ่งทำให้เขารู้สึกสับสนมากขึ้น ความจริงคืออะไร แต่สิ่งหนึ่งที่เขารู้สึกชัดเจน สิ่งที่เกิดขึ้น มันฝังความหลอกหลอน ทำให้เขาความหวาดระวังตัวมากขึ้น ยิ่งการมายืนอยู่ในสถานที่นี้ การต้อนรับแบบนี้

เขาด้นดั้นมาถึงจุดนี้แล้ว มันควรถึงเวลาที่เขาจะเผชิญหน้ากับความจริง...

“บอกความจริงมาเถอะ ว่าพวกเธอต้องการอะไรจากฉัน ถ้าจะกรุณา” โจว์ส่ายหน้า พยายามใช้น้ำเสียงอย่างคนมีสติ เขาหมดความอดทน เหนื่อยกับการสานต่อเรื่องทั้งหมด เขาเริ่มเชื่อแล้วว่า มีคนต้องการทำให้เขาเป็นบ้าไปจริง ๆ

“มิสเตอร์เฟอร์ริกคุณเคยเชื่อใจ ไว้ใจฉันแล้ว ตลอดทางที่เราเจอมาด้วยกัน คุณน่าจะเห็นอะไรมากพอ แล้วทำไมถึงเลิกเชื่อใจฉันละคะ เพียงเพราะรูปพวกนี้ คุณสรุป ตัดสินฉันแล้ว...” เด็กสาวทอดถอนใจ ก่อนขยับมาหยุดยืนตรงหน้า ประสานสายตาตรงมาที่เขา  เธอรู้ดีว่าหากเขาสรุปเช่นนี้ เธอก็ไม่มีอะไรที่จะต้องอธิบายซ้ำเดิมไปมา วนเวียนอีก

“มันก็น่าจะมากพอ ความบังเอิญมันคงไม่บังเอิญมากขนาดนี้ แต่เอาเถอะ ฉันก็พร้อมที่จะเผชิญหน้า ไม่ว่าพวกเธอจะทำอะไรก็ตาม ขอแค่ความจริงของเรื่องทั้งหมด”

“ทำไมคุณไม่คิดว่าเป็นเจนนี่บ้าง ที่อยู่นี้คุณก็ได้มาเอง คุณมาตามหาเธอไม่ใช่เหรอ แล้วนี่มันก็ไม่บังเอิญหรือไง ที่มันกลับเป็นที่อยู่ขององค์กรที่ไล่ล่าคุณ”

โจว์ได้แต่เงียบ ห้องทั้งห้องเงียบไปอีกชั่วขณะ จริงอย่างที่เธอว่า เรื่องราวต่าง ๆ เหมือนน่าจะวนไปหาเจนนี่มากกว่าเด็กสาวคนนี้ แต่ภาพในห้องนี้ ถึงไม่ใช่เธอ แต่ความบังเอิญมันก็มากเกินไปสำหรับเขาเต็มที

“มันอาจไม่น่าเชื่อถือด้วยเพราะความบังเอิญของฉัน แต่มันก็เกิดขึ้นแบบนี้  ฉันยังคงยืนยันว่าฉันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรเลยในช่วงแรก มีเพียงแค่เมอคิวรี่เท่านั้น ที่ทำให้ฉันเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องของคุณ ... นั่นคือทั้งหมดของความจริง” คิมเบอร์ลี่เงียบลง ขณะเดียวกันเธอก็เริ่มสังเกตเห็นว่ามีคนเดินเข้ามาในห้อง

“มิสเตอร์เฟอร์ริกขอความกรุณาอย่าคาดคั้นความจริงจากเด็กสาวคนนี้เลย เธอพูดความจริงไปหมดแล้ว” น้ำเสียงของบุรุษในสูทแบบโบราณก้าวเข้ามาช้า ๆ  แม้ย่างก้าวจะบอกถึงความสูงวัย แต่ก็เปี่ยมไปด้วยอำนาจที่น่าเกรงขาม

“ในฐานะเจ้าของคฤหาสน์นี้ ผมด็อกเตอร์มอร์แกน ขออนุญาตให้ผมเป็นคนตอบข้อข้องใจ ความจริงทั้งหมดให้คุณเองดีกว่า" ชายชราเดินต่อมาตรงกลางห้อง ระหว่างโจว์และคิมเบอร์ลี่ 

"โปรดรับการต้อนรับ เชิญรับประทานอาหารว่างกันก่อน  ผมเพิ่งสั่งให้แม่บ้านเตรียมอาหารเย็นเร็วหน่อย พวกคุณทั้งสองคนใช้เวลามาไกลถึงที่นี่ คงหิวและเพลียกันอยู่ไม่น้อย พักให้สบายใจก่อนที่จะรับทราบความจริงดีกว่า”

“ขอบคุณสำหรับการต้อนรับนะครับ แต่ผมจะสบายใจได้ก็ต่อเมื่อ ผมรู้ว่าอะไรคือความจริง การมาถึงที่นี่ อาจทำให้เรื่องของคุณง่ายขึ้น หากจะทำอะไรกับผม ผมอยู่ที่นี่แล้วเชิญได้เลย ขอแค่ผมรู้ความจริงก่อนตายว่า ทั้งหมดมันคืออะไร”

ด็อกเตอร์มอร์แกนส่ายหน้า เดินเลี่ยงไปหาเด็กสาวแทน รอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าเต็มไปด้วยความเมตตา

“ปล่อยให้มิสเตอร์เฟอร์ริกสงบใจก่อน มานี่สิแม่หนู ฉันว่าฉันคงคุยกับเธอได้ง่ายกว่า เธอคงสงสัยสินะ ว่าภาพในห้องนี้คือใคร... เธอช่างเหมือนแมดเดอลีนมากจริง ๆ “

“แมดเดอลีน?... คุณคงไม่ได้หมายถึง แมดเดอลีน!! คนที่เป็นแม่ของฉันนะคะ”

“แมดเดอลีนแม่ของเธอ และก็เป็นลูกสาวของฉัน ดีใจจริง ๆ ที่ยังทันได้เห็นเติบโตขนาดนี้ น่าเสียดาย...”

ชายชราถอนใจเบา ๆ หันมายิ้มให้เด็กสาว พร้อมกับโอบตัวเธอไปยังโซฟามุมห้องอีกด้านหนึ่ง คิมเบอร์ลี่เหมือนจะช็อก แต่เธอก็สาวเท้าก้าวตามไป โจว์รู้สึกประหลาดใจ รำพึงเบา ๆ ตาม คราวนี้เขารีบเดินตามไปเงียบ ๆ

“แม่หรือ คุณตาอีก รวมญาติโดยแท้... บังเอิญอีกสินี่”

“ฉันไม่เคยเจอแม่เลยรู้ไว้ด้วย รู้ความมาก็มีแต่พ่อ ปู่ ย่า พ่อก็ไม่เคยพูดถึงแม่ให้ฟังเลยด้วยซ้ำ รู้ก็แค่ชื่อของคนเป็นแม่เท่านั้นเอง” คิมเบอร์ลี่รีบหันไปตอบ เธอเกลียดน้ำเสียงประชดแบบนั้นของโจว์เสียจริง

“เอาละ เอาละ มาดื่มกาแฟกัน แล้วฉันจะเริ่มต้นเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง และขอให้มั่นใจว่ามันเป็นเรื่องเดียวกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับคุณนะมิสเตอร์เฟอร์ริก”

เจ้าของคฤหาสน์ทรุดตัวลงนั่งพร้อม ๆ กับคิมเบอร์ลี่เริ่มรินกาแฟลงในถ้วยทั้งสามใบ

“เมื่อ 40 ปีก่อน แมดเดอลีนเจ้าของภาพในห้องนี้เป็นผู้ก่อตั้ง และห้องนี้เคยเป็นห้องทำงานของเธอ ผู้อำนวยการสถาบันพลาเน็ตโซไซตี้  เราเริ่มต้น ค่อย ๆ เติบโต การเก็บรวบรวมความรู้ ด้านดนตรี ศิลปะ วัฒนธรรมพื้นเมือง จนกระทั่งเราขยายงานไปทางวิทยาศาสตร์ คนทั่วโลกต่างให้การตอบรับ เด็กรุ่นใหม่ นักวิชาการที่เก่ง ๆ ทั่วมุมโลกมาร่วมงานกับสถาบันมากกว่าวัฒนธรรมพื้นเมือง”

ห้องเงียบไปอีกครั้ง แม้แต่เสียงคีบแซนด์วิชจากถาดลงจาน คิมเบอร์ลี่ก็พยายามให้มันเบาที่สุด

“มันอาจเป็นวิวัฒนาการที่ไปไกลมากของสถาบัน แต่มันก็เป็นการล่มสลายความตั้งใจดั้งเดิมของแมดเดอลีน ยิ่งหลังจากเธอจากไปเมื่อสิบปีก่อนด้วยโรคหัวใจ พลาเน็ตโซไซตี้เริ่มถึงการเปลี่ยนแปลง ความก้าวหน้าของนักวิทยาศาสตร์ของสถาบันเราเริ่มมีแผนกเทคโนโลยีอนาคต ที่มันเปลี่ยนแปลงเป็นธุรกิจ ทุกการวิจัยกลายเป็นอาวุธสงคราม ที่ให้หลายประเทศเอาต้นแบบไปเตรียมไว้ใช้ประหัตประหารกัน”  

“ถึงว่า ทุกครั้งที่ฉันถามถึงแม่ ปู่จะบอกแค่ว่าอารมณ์ฟุ้ง ๆ  ประสาวัยรุ่น หนุ่มบ้านนอกกับสาวเมืองกรุงที่บังเอิญมาเจอกัน” คิมเบอร์ลี่เอ่ยเบา ๆ แม้จะรู้สึกลึก ๆ กับการไม่เคยพบแม่ และไม่มีโอกาสอีกเลยก็ตาม  

“พ่อของเธอเป็นคนดี จริง ๆ ทั้งคู่เริ่มต้นสิ่งดี ๆ เป็นรากฐานให้สถาบัน ฉันถึงให้การสนับสนุนลูกสาวตัวเองได้เริ่มต้น พวกเราทำงานด้วยกันมานาน นานมาก จนเมื่อมีเค้าการเปลี่ยนแปลง ความขัดแย้งกับแผนกวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีอนาคตเริ่มมากขึ้น เชื่อว่าแค่อยากให้เธอไม่ต้องมาเกี่ยวข้องกับสถาบันมากกว่า น่าจะเป็นแบบนั้น... พ่อของเธอตัดสินใจถูกแล้ว”        

“เข้าใจละ หนูถึงต้องไปอยู่กับปู่กับย่า แล้วพ่อก็หายไปตามประสานักดนตรีเดินสาย เป็นปี ๆ กว่าพ่อจะโผล่กลับบ้าน”

“ยิ่งเศร้าหนักเข้าไปอีก ตกลงนี่เป็นเรื่องครอบครัวเธอสินะ แม่เป็นนักวิชาการ พ่อเป็นนักดนตรี แล้วมันมาบังเอิญถึงตัวฉันได้ไงนี่” โจว์พึมพำ ด็อกเตอร์สูงวัยอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วมองหน้าทั้งสองคน

“ช่างเถอะ เก็บเรื่องของแม่กับพ่อไว้ก่อน หนูมีอะไรที่อยากรู้อยากถามอีกมาก ตอนนี้เล่าเรื่องสถาบันต่อเถอะคะ ว่าเกิดอะไรขึ้น เกี่ยวข้องอะไรกับผู้ชายคนนี้ ที่ใกล้อกแตกตายเองแล้ว ถ้าไม่ได้รู้ความจริง”

“นี่คือต้นเหตุสำคัญ ฉันต้องเท้าความ หลายเรื่องมันเกี่ยวโยงกัน ที่เรื่องมันไปเกิดกับคุณ ขออภัยนะมิสเตอร์เฟอร์ริก ฉันพยายามให้มันสั้นมากที่สุดแล้ว” ชายชราเอ่ยขอโทษ ก่อนเล่าเรื่องราวของสถาบันแห่งนี้ต่อ

“เมื่อเงินกลายเป็นอำนาจสำคัญ คนของสถาบัน ในแผนกวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีก็เริ่มแตกคอกันเอง รวมทั้งแผนกวัฒนธรรมดั้งเดิม สุดท้าย กลุ่มเทคโนโลยีอนาคตก็แยกตัวไปในทิศทางที่พวกเขาต้องการ ไปตั้งองค์กรใหม่ โดยได้การทหารของหลายประเทศเป็นผู้สนับสนุน ขณะเดียวกันพวกเขาก็เริ่มต้นทำลายเส้นสายเดิม เพื่อลบคู่แข่งออกไป”

“ฟังดูงง ๆ อย่างกับในหนัง แต่ในเมื่อแยกตัวจากที่นี่ไปกันแล้ว ทำไมยังต้องแข่งขัน ลบล้างกันอีก หน่วยงานแบบนี้ไม่น่ามีอยู่เลย พวกนักวิจัยก็เสียเวลาเรียนมาแท้ ๆ ถึงว่าที่นี่เลยกลายเป็นสถาบันร้าง” เด็กสาวอดไม่ได้ที่จะตั้งคำถามและแสดงความคิดเห็นของตัวเองไปพร้อมกัน

“เพราะมันขัดแย้งกันไง แสดงว่ากลุ่มที่แยกไปให้บริการ ประเทศที่เป็นศัตรูกัน” โจว์ตอบคำถามให้คิมเบอร์ลี่แทน เหมือนพอจะเข้าใจที่มา แต่เขาก็ยังสับสนว่ามันไปถึงเขาได้อย่างไร

“ถูกต้องมิสเตอร์เฟอร์ริก เป็นคำอธิบายที่เข้าใจง่ายที่สุด”

“ผมก็ยังไม่เข้าใจ แล้วทั้งหมดที่เล่ามาเกี่ยวข้องกับผมได้ยังไง ผมไม่เคยมีลูกค้าด้านการทหาร หรืออาวุธสงครามบ้าบออะไรแบบนี้”

“ไม่ใช่คุณ ถูกแล้วมิสเตอร์เฟอร์ริก ว่าไปมันก็เป็นความผิดพลาด แต่ทั้งหมดมันคือความตั้งใจ เป็นแผนการทำงานของผู้หญิงที่เป็นนักเจรจาการค้า จากที่มันเคยน่าจะเป็นสิ่งก้าวหน้าในโลกของวิทยาศาสตร์ แต่มันก็กลายเป็นว่า ผู้หญิงคนนั้น เธอเจรจาค้าขายทั้งสองทาง รวมทั้งค้าขายข้อมูลสำคัญ ในหลาย ๆ งานวิจัย ยิ่งเมื่อตอนนี้หน่วยงานเทคโนโลยีเริ่มแยกตัวแบ่งขั้วกันชัดเจน เธอจึงมีแต่คนตามล่า ลบล้าง เคลียร์บัญชีกับสิ่งที่เธอทำเอาไว้ รวมไปถึงคนที่เธอร่วมงานด้วย”

“คนที่เธอร่วมงานด้วย...ผู้หญิงคนนั้น!!?? ใครกัน ในสำนักงานผมมีแต่คนแก่ ๆ รุ่นพ่อ นั่งทำงานเช้าจรดเย็น เลิกงานกลับบ้าน วันหยุดก็ใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัว” โจว์ยังสับสน และงุนงง ในขณะที่คิมเบอร์ลี่เหมือนเริ่มจะเชื่อมโยงเรื่องราวทั้งหมดได้แล้ว

“อย่างนี้เอง...เข้าใจละ คนเก่งอย่างคุณ ยังคิดไม่ออกอีกหรือมิสเตอร์เฟอร์ริก  ต่อให้ฉันไม่รู้เรื่องทั้งหมดคืออะไร รู้เท่าที่เหตุการณ์เกิดขึ้น และจากข้อมูลตรงนี้ ก็พอเดาได้แล้วว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร”
 

                                                               ************************************

                                                                    โปรดติดตามอ่านบทต่อไป
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่