Tuberculosis หรือ TB ภาษาไทยบ้านเราก็คือวัณโรคนี่เอง
ใช่ค่ะ เราเป็นวัณโรค ตอนแรกที่รู้คือตกใจ เพราะร่างกายแข็งแรงมาตลอด และไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเป็นโรคอะไรที่ร้ายแรง ยิ่งพ่อกับแม่ ตอนแรกเขายังยึดกับภาพวัณโรคสมัยรุ่นที่เขาเติบโตมา ถ้าใครเป็นแล้วตายแน่นอน เพราะเมื่อ40–50ปีก่อนยังไม่มียารักษา
แต่เดี๋ยวนี้มียารักษาหายขาดค่ะ ไม่มีอะไรน่ากังวล
ทีแรกก็ว่าจะเก็บไว้เป็นความลับเพราะกลัวโดนรังเกียจ แต่ก็แบบ 2019 แล้ว เขียนเก็บไว้เตือนใจคนอื่นๆดีกว่า จะได้รักษาได้รับการรักษาแต่เนิ่นๆ
.
เรารักษามาแล้วประมาณ1 เดือน
อาการแรกเริ่มที่เราเป็นคือ ใต้ราวนมและช่วงไหปลาร้าข้างซ้าย แบบเจ็บแปลบๆ คือว่าเป็นเพราะเรานอนตะแคงข้างนี้เยอะไปหรือยกของหลัก 2–3วันถัดมา มีอาการหนาวสั่นมาก หนาวมาจากข้างใน ไข้ขึ้นสูง แต่ก็ยังมีเหงื่อออกซก แต่ด้วยความคิดตอนนั้น “กินพาราฯ เดี๋ยวก็หายเหมือนทุกครั้ง” ไม่ได้ไปหาหมอ เริ่มมีไข้ตั้งแต่คืนวันที่ 03/05 แล้วก็กินยาลดไข้เองมาเรื่อยเป็นอาทิตย์ เพราะคิดว่าเดี๋ยวก็หาย พอยาหมดฤทธิ์ รู้สึกเริ่มหนาว ก็ซัดยาเข้าไปใหม่ กินยาพาราวันละ 6 เม็ดได้ ระหว่างนั้นก็มีอาการไอ แต่เป็นไปแบบแห้งๆตลอด จนเช้าวันที่ 11/05 คือก็ยังไม่หาย เลยลองไปหาหมอดูเผื่อให้หมอฉีดยาแก้ไข้ให้ เพราะวันจันทร์มีงาน
.
พอไปถึงโรงพยาบาลรามาฯ ไปวัดไข้วัดความดัน ไข้สูงถึง 40 องศา ชีพจร 130 เลยโดนเข็นเข้าฉุกเฉินด่วนๆ คุยกับหมอก็บอกอาการต่างๆไป หลังจากหมอใช้หูฟัง ปรากฏว่าหมอให้ไป X-ray ปอด ผลออกมา เราตกใจกับฟิล์มมาก มองไม่เห็นปอดครึ่งซ้ายเลย เพราะมันปกคลุมด้วยน้ำเต็มไปหมด ซึ่งคาดว่าอาจจะเป็นปอดอักเสบ(Pneumonia) ด้วยที่เราไม่มีสิทธิ์ที่รามาฯ ไม่มีประกันสังคม ไม่ได้ทำประกันสุขภาพ (มีแต่อุบัติเหตุและชีวิต) หมอเลยทำเรื่องส่งตัวไปให้โรงพยาบาลที่เรามีสิทธิ์ เพราะค่าใช้จ่ายสูง และย้ำว่าให้ไปวันนี้เลย รอไม่ได้
.
พอถึงโรงพยาบาลที่เรามีสิทธิ์30บาท (เราจะข้ามเรื่องความยุ่งยากซับซ้อนในการใช้สิทธิ์ไป เพิ่งเคยใช้เป็นครั้งแรก ปวดจิตมาก) ก็โดนให้น้ำเกลือ กับยาแก้อักเสบทางเส้นเลือด แอบแสบแขน โดนเจาะเลือด สักพักหมอมา ก็เจาะปอดจากทางข้างหลังเพื่อระบายน้ำออกและส่งตัวอย่างไปตรวจ น้ำสีเหมือนเก็กฮวย 555 เจ็บก็เจ็บ แต่ตอนนั้นไม่รู้สึกอะไรแล้ว เจาะออกไป 500ซีซี ทำให้เราหายใจสะดวกขึ้นนิดนึง หลังจากเจาะเสร็จเขาก็พาเราไปเอ็กเรย์ เท่าที่แอบฟังพยาบาลคือ น้ำยังเหลืออีกเยอะ แล้วเขาก็พากลับมาเตียงนี่ก็นอนร้องไห้ อยากไปทำงาน อยากกลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิม เจ็บแผลก็เจ็บ อารมณ์หลายๆอย่างมาเต็ม ยังดีที่ครอบครัวอยู่ข้างๆ ขอบคุณค่ะ
วันนี้เป็นวันที่ยาวนานที่สุดในชีวิต
.
สรุปก็คือต้องนอนโรงพยาบาลอีกหลายคืน ไม่ชอบเลย ไม่มีอะไรทำ น่าเบื่อมาก พร้อมเรามีอาการท้องเสียเพิ่มมาด้วย
ระหว่างรอฟังผล 10วัน หมอก็ให้ยาวัณโรคมากิน ครั้งละเป็น10กว่าเม็ด เม็ดเท่าหัวแม่โป้ง แล้วเราแพ้ยา เป็นผื่นคันไปหมด แถมคลื่นไส้อาเจียน น้ำหนักลงมา5กิโล แต่ก็ต้องทน โธ่..ชีวิต
.
วันที่ได้กลับบ้านคือดีใจมาก ไม่มีไข้แล้ว อะไรๆมันก็ดีขึ้น แม้ว่าจะต้องอยู่แต่ที่บ้าน และมีผลข้างเคียงจากยาก็ตาม ใส่หน้ากากตลอด นอนแยกห้อง อากาศต้องปลอดโปร่ง Big cleaning ทำความสะอาดทุกอย่างด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ
เราไม่เคยอยู่บ้านเฉยๆมาก่อน ต้องหางานทำตลอดเวลา รู้สึกแปลกมาก งานทุกอย่างต้องแคนเซิล ไปล่ามไปงานอีเว้นท์ไปสอนไม่ได้แน่นอน งานสอนออนไลน์ เราก็ไม่สามารถพูดเยอะ ติดต่อกันได้ เพราะจะเหนื่อยมาก ส่วนงานแปล มีแต่งานด่วน เลยไม่ได้รับเพราะไม่สามารถอดหลับอดนอนแปลได้
.
สิ่งที่เราทำตอนอยู่บ้านคือ ดูหนัง อ่านหนังสือ หัดCalligraphic ด้วยความที่อยู่คนเดียวช่วงกลางวัน สั่งอาหารมากินบ้าง ทำกินเองบ้างง่ายๆ เน้นผัก แต่ไม่มีความรู้สึกอยากอะไรเลย กินเพราะต้องกินยา
โซเซี่ยลเน็ตเวิคในมือถือ เหลือไว้แค่ ทวิตเตอร์ ติดตามข่าวสารบ้านเมือง เพราะช่วงที่มี FBและIG เราจิตตกมาก เห็นคนอื่นเขาได้ไปเที่ยวโน่นนี่นั้นกัน เราไม่สามารถทำแบบนั้นได้ ทำให้เรารู้สึกห่อเหี่ยว ร้องไห้ เลยตัดสินใจลบแอพทิ้ง และพยายามไม่เปิดคอม ช่วยได้เยอะ
.
วันมาฟังผล สรุปเป็นวัณโรค แค่นั้น จ่ายยาแล้วก็ให้กลับบ้าน
.
ครอบครัวเรารู้สึกไม่โอเค เพราะอาการไม่ดีขึ้น ยังคงไอหนักมาก และมีอาการท้องเสีย เลยพาเรากลับมารักษาที่รามาฯ ยอมเสียค่าใช้จ่าย
.
ช่วงนี้คือเรายังได้รับยาไม่ถึง 2 อาทิตย์ เวลาไปโรงพยาบาล จะโดนจับเข้าห้องแยก( Isolated Exam) ทุกอย่างจะเป็น Fast Action เพราะเขาไม่อยากให้อยุ่นาน รู้สึกVIP มากก
.
มีการตรวจเพิ่มเติมกับแพทย์เฉพาะทาง หมอขอตรวจละเอียดกว่าเดิมเพื่อตัดข้อสันนิษฐานอื่นๆไปให้แน่ใจว่าไม่ได้เป็นมะเร็ง เพราะดูจากอาการแล้ว การเกิดน้ำท่วมในเยื่อหุ้มปอด มีสิทธิ์เป็นมะเร็งเหมือนกัน ส่วนเชื้อTB หมอสันนิษฐานว่าน่าจะติดมาจากอินเดีย เพราะ Timeline ระยะเวลาการฟักตัวของเชื้อตรงพอดี ( เราไปทำงานที่ Bangalore ช่วงสงกรานต์)
เราโดนเจาะระบายน้ำในปอดเพิ่ม เพราะเราหายใจไม่ออก มีการเจาะเลือดเพื่อนำไปตรวจเพิ่มเติม มีส่องกล้อง เชื้อลามไปที่ลำไส้ ทำให้เกิดอาการท้องเสีย พรุนไปหมดทั้งตัว แต่ยังไม่ถึงขั้นต้องแอทมิท
.
7วันถัดมาไปฟังผล อาการดีขึ้น หายท้องเสีย ไอเล็กน้อย ผื่นจากการแพ้ยาเยอะกว่าเดิม ยังอาเจียนทุกวัน การหายใจที่ยังขัดๆ ต้อง X-ray ทุกครั้งที่มาหาหมอ ผลออกมาค่อนข้างดี เราไม่มีเซลล์มะเร็ง แต่TBอาการหนักมาตั้งแต่เริ่มต้น น้ำในปอดที่เอาไปตรวจ สรุปมันคือหนอง แต่ที่ตื่นเต้นกว่าทุกอย่างคือ ไม่มี HIV จ้า 5555 โรงพยาบาลอีกที่นึงไม่บอกผลอะไรเราเลย
หมอบอกว่าใช้เวลารักษามากกว่า 6 เดือนแน่นอนเราเห็นแผลเราปอดเราแล้ว ดูมันยับๆยังไงก็ไม่รู้ ครึ่งซ้ายยังคงจมอยู่ใต้น้ำเป็น Atlantis ต้องเจาะระบายน้ำเพิ่มอีก ครั้งนี้คือเจ็บที่สุด รู้สึกหายใจไม่ออกระหว่างเจาะ น้ำออกไปอีก 800 ml แต่โดยรวมอาการคงที่ ขึ้นทะเบียนเป็นผู้ป่วยวัณโรคเรียบร้อย พร้อมทำเรื่องย้ายข้อมูลทั้งหมดกลับมาที่รามาฯ
.
การปฏิบัติตัวที่ต้องทำตอนนี้คือ
กินยาสม่ำเสมอ ห้ามขาด ห้ามเข้าใกล้เด็กเล็ก คนแก่ สตรีมีครรภ์ และคนป่วย
ห้ามดื่มแอลกอฮอล์ ใส่หน้ากาก กินแต่ของสะอาด และที่สำคัญเลยคือต้องบำรุงตับ ด้วยความที่จะต้องกินยาทุกวัน วันละจำนวนเยอะ ไม่งั้นพอTB หายอาจจะต้องมารักษาตับกันอีกปี สองปี
นอกนั้นเราสามารถใช้ชีวิตได้เกือบเหมือนคนปกติแล้ว แต่คิดว่ายังไม่กลับไปทำงานเพราะ น้ำในปอดของเรายังมี ตัวนี้มันผลิตออกมาเรื่อยๆ งานเราต้องพูดเยอะ ต้องเจอผู้คน ต้องรักษาภาพลักษณ์ ถือซะว่าทำงานมาหนัก ขอพักยาวๆหน่อยละกัน เชื้อตอนนี้ไม่แพร่กระจายแล้ว แต่คงอีกสักพักใหญ่ๆที่เราจะสามารถออกไปเจอผู้คนได้ เราเหนื่อย 5555
.
จากเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ สอนให้รู้ว่า “เสียน้อย เสียยาก เสียมาก เสียง่าย” ใครที่เป็นฟรีแลนซ์ควรมีประกันสุขภาพ(เราเคยทำไว้เมื่อปีสองปีมาแล้ว แต่ไม่เคยได้ใช้ เลยหยุดไป เพราะคิดว่าสิ้นเปลือง) และประกันสังคมแบบประกันตนเอง จะได้ไม่พลาดอย่างเราค่ะ
ขอบคุณที่อ่านจนจบนะคะ ขออภัยล่วงหน้าหากเขียนตรงไหนงงๆค่ะ แล้วก็เรื่องติดแท็กค่ะ ติงได้ถ้าใส่ผิดนะคะ
รีวิว การเป็นผู้ป่วย TB
ใช่ค่ะ เราเป็นวัณโรค ตอนแรกที่รู้คือตกใจ เพราะร่างกายแข็งแรงมาตลอด และไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเป็นโรคอะไรที่ร้ายแรง ยิ่งพ่อกับแม่ ตอนแรกเขายังยึดกับภาพวัณโรคสมัยรุ่นที่เขาเติบโตมา ถ้าใครเป็นแล้วตายแน่นอน เพราะเมื่อ40–50ปีก่อนยังไม่มียารักษา
แต่เดี๋ยวนี้มียารักษาหายขาดค่ะ ไม่มีอะไรน่ากังวล
ทีแรกก็ว่าจะเก็บไว้เป็นความลับเพราะกลัวโดนรังเกียจ แต่ก็แบบ 2019 แล้ว เขียนเก็บไว้เตือนใจคนอื่นๆดีกว่า จะได้รักษาได้รับการรักษาแต่เนิ่นๆ
.
เรารักษามาแล้วประมาณ1 เดือน
อาการแรกเริ่มที่เราเป็นคือ ใต้ราวนมและช่วงไหปลาร้าข้างซ้าย แบบเจ็บแปลบๆ คือว่าเป็นเพราะเรานอนตะแคงข้างนี้เยอะไปหรือยกของหลัก 2–3วันถัดมา มีอาการหนาวสั่นมาก หนาวมาจากข้างใน ไข้ขึ้นสูง แต่ก็ยังมีเหงื่อออกซก แต่ด้วยความคิดตอนนั้น “กินพาราฯ เดี๋ยวก็หายเหมือนทุกครั้ง” ไม่ได้ไปหาหมอ เริ่มมีไข้ตั้งแต่คืนวันที่ 03/05 แล้วก็กินยาลดไข้เองมาเรื่อยเป็นอาทิตย์ เพราะคิดว่าเดี๋ยวก็หาย พอยาหมดฤทธิ์ รู้สึกเริ่มหนาว ก็ซัดยาเข้าไปใหม่ กินยาพาราวันละ 6 เม็ดได้ ระหว่างนั้นก็มีอาการไอ แต่เป็นไปแบบแห้งๆตลอด จนเช้าวันที่ 11/05 คือก็ยังไม่หาย เลยลองไปหาหมอดูเผื่อให้หมอฉีดยาแก้ไข้ให้ เพราะวันจันทร์มีงาน
.
พอไปถึงโรงพยาบาลรามาฯ ไปวัดไข้วัดความดัน ไข้สูงถึง 40 องศา ชีพจร 130 เลยโดนเข็นเข้าฉุกเฉินด่วนๆ คุยกับหมอก็บอกอาการต่างๆไป หลังจากหมอใช้หูฟัง ปรากฏว่าหมอให้ไป X-ray ปอด ผลออกมา เราตกใจกับฟิล์มมาก มองไม่เห็นปอดครึ่งซ้ายเลย เพราะมันปกคลุมด้วยน้ำเต็มไปหมด ซึ่งคาดว่าอาจจะเป็นปอดอักเสบ(Pneumonia) ด้วยที่เราไม่มีสิทธิ์ที่รามาฯ ไม่มีประกันสังคม ไม่ได้ทำประกันสุขภาพ (มีแต่อุบัติเหตุและชีวิต) หมอเลยทำเรื่องส่งตัวไปให้โรงพยาบาลที่เรามีสิทธิ์ เพราะค่าใช้จ่ายสูง และย้ำว่าให้ไปวันนี้เลย รอไม่ได้
.
พอถึงโรงพยาบาลที่เรามีสิทธิ์30บาท (เราจะข้ามเรื่องความยุ่งยากซับซ้อนในการใช้สิทธิ์ไป เพิ่งเคยใช้เป็นครั้งแรก ปวดจิตมาก) ก็โดนให้น้ำเกลือ กับยาแก้อักเสบทางเส้นเลือด แอบแสบแขน โดนเจาะเลือด สักพักหมอมา ก็เจาะปอดจากทางข้างหลังเพื่อระบายน้ำออกและส่งตัวอย่างไปตรวจ น้ำสีเหมือนเก็กฮวย 555 เจ็บก็เจ็บ แต่ตอนนั้นไม่รู้สึกอะไรแล้ว เจาะออกไป 500ซีซี ทำให้เราหายใจสะดวกขึ้นนิดนึง หลังจากเจาะเสร็จเขาก็พาเราไปเอ็กเรย์ เท่าที่แอบฟังพยาบาลคือ น้ำยังเหลืออีกเยอะ แล้วเขาก็พากลับมาเตียงนี่ก็นอนร้องไห้ อยากไปทำงาน อยากกลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิม เจ็บแผลก็เจ็บ อารมณ์หลายๆอย่างมาเต็ม ยังดีที่ครอบครัวอยู่ข้างๆ ขอบคุณค่ะ
วันนี้เป็นวันที่ยาวนานที่สุดในชีวิต
.
สรุปก็คือต้องนอนโรงพยาบาลอีกหลายคืน ไม่ชอบเลย ไม่มีอะไรทำ น่าเบื่อมาก พร้อมเรามีอาการท้องเสียเพิ่มมาด้วย
ระหว่างรอฟังผล 10วัน หมอก็ให้ยาวัณโรคมากิน ครั้งละเป็น10กว่าเม็ด เม็ดเท่าหัวแม่โป้ง แล้วเราแพ้ยา เป็นผื่นคันไปหมด แถมคลื่นไส้อาเจียน น้ำหนักลงมา5กิโล แต่ก็ต้องทน โธ่..ชีวิต
.
วันที่ได้กลับบ้านคือดีใจมาก ไม่มีไข้แล้ว อะไรๆมันก็ดีขึ้น แม้ว่าจะต้องอยู่แต่ที่บ้าน และมีผลข้างเคียงจากยาก็ตาม ใส่หน้ากากตลอด นอนแยกห้อง อากาศต้องปลอดโปร่ง Big cleaning ทำความสะอาดทุกอย่างด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ
เราไม่เคยอยู่บ้านเฉยๆมาก่อน ต้องหางานทำตลอดเวลา รู้สึกแปลกมาก งานทุกอย่างต้องแคนเซิล ไปล่ามไปงานอีเว้นท์ไปสอนไม่ได้แน่นอน งานสอนออนไลน์ เราก็ไม่สามารถพูดเยอะ ติดต่อกันได้ เพราะจะเหนื่อยมาก ส่วนงานแปล มีแต่งานด่วน เลยไม่ได้รับเพราะไม่สามารถอดหลับอดนอนแปลได้
.
สิ่งที่เราทำตอนอยู่บ้านคือ ดูหนัง อ่านหนังสือ หัดCalligraphic ด้วยความที่อยู่คนเดียวช่วงกลางวัน สั่งอาหารมากินบ้าง ทำกินเองบ้างง่ายๆ เน้นผัก แต่ไม่มีความรู้สึกอยากอะไรเลย กินเพราะต้องกินยา
โซเซี่ยลเน็ตเวิคในมือถือ เหลือไว้แค่ ทวิตเตอร์ ติดตามข่าวสารบ้านเมือง เพราะช่วงที่มี FBและIG เราจิตตกมาก เห็นคนอื่นเขาได้ไปเที่ยวโน่นนี่นั้นกัน เราไม่สามารถทำแบบนั้นได้ ทำให้เรารู้สึกห่อเหี่ยว ร้องไห้ เลยตัดสินใจลบแอพทิ้ง และพยายามไม่เปิดคอม ช่วยได้เยอะ
.
วันมาฟังผล สรุปเป็นวัณโรค แค่นั้น จ่ายยาแล้วก็ให้กลับบ้าน
.
ครอบครัวเรารู้สึกไม่โอเค เพราะอาการไม่ดีขึ้น ยังคงไอหนักมาก และมีอาการท้องเสีย เลยพาเรากลับมารักษาที่รามาฯ ยอมเสียค่าใช้จ่าย
.
ช่วงนี้คือเรายังได้รับยาไม่ถึง 2 อาทิตย์ เวลาไปโรงพยาบาล จะโดนจับเข้าห้องแยก( Isolated Exam) ทุกอย่างจะเป็น Fast Action เพราะเขาไม่อยากให้อยุ่นาน รู้สึกVIP มากก
.
มีการตรวจเพิ่มเติมกับแพทย์เฉพาะทาง หมอขอตรวจละเอียดกว่าเดิมเพื่อตัดข้อสันนิษฐานอื่นๆไปให้แน่ใจว่าไม่ได้เป็นมะเร็ง เพราะดูจากอาการแล้ว การเกิดน้ำท่วมในเยื่อหุ้มปอด มีสิทธิ์เป็นมะเร็งเหมือนกัน ส่วนเชื้อTB หมอสันนิษฐานว่าน่าจะติดมาจากอินเดีย เพราะ Timeline ระยะเวลาการฟักตัวของเชื้อตรงพอดี ( เราไปทำงานที่ Bangalore ช่วงสงกรานต์)
เราโดนเจาะระบายน้ำในปอดเพิ่ม เพราะเราหายใจไม่ออก มีการเจาะเลือดเพื่อนำไปตรวจเพิ่มเติม มีส่องกล้อง เชื้อลามไปที่ลำไส้ ทำให้เกิดอาการท้องเสีย พรุนไปหมดทั้งตัว แต่ยังไม่ถึงขั้นต้องแอทมิท
.
7วันถัดมาไปฟังผล อาการดีขึ้น หายท้องเสีย ไอเล็กน้อย ผื่นจากการแพ้ยาเยอะกว่าเดิม ยังอาเจียนทุกวัน การหายใจที่ยังขัดๆ ต้อง X-ray ทุกครั้งที่มาหาหมอ ผลออกมาค่อนข้างดี เราไม่มีเซลล์มะเร็ง แต่TBอาการหนักมาตั้งแต่เริ่มต้น น้ำในปอดที่เอาไปตรวจ สรุปมันคือหนอง แต่ที่ตื่นเต้นกว่าทุกอย่างคือ ไม่มี HIV จ้า 5555 โรงพยาบาลอีกที่นึงไม่บอกผลอะไรเราเลย
หมอบอกว่าใช้เวลารักษามากกว่า 6 เดือนแน่นอนเราเห็นแผลเราปอดเราแล้ว ดูมันยับๆยังไงก็ไม่รู้ ครึ่งซ้ายยังคงจมอยู่ใต้น้ำเป็น Atlantis ต้องเจาะระบายน้ำเพิ่มอีก ครั้งนี้คือเจ็บที่สุด รู้สึกหายใจไม่ออกระหว่างเจาะ น้ำออกไปอีก 800 ml แต่โดยรวมอาการคงที่ ขึ้นทะเบียนเป็นผู้ป่วยวัณโรคเรียบร้อย พร้อมทำเรื่องย้ายข้อมูลทั้งหมดกลับมาที่รามาฯ
.
การปฏิบัติตัวที่ต้องทำตอนนี้คือ
กินยาสม่ำเสมอ ห้ามขาด ห้ามเข้าใกล้เด็กเล็ก คนแก่ สตรีมีครรภ์ และคนป่วย
ห้ามดื่มแอลกอฮอล์ ใส่หน้ากาก กินแต่ของสะอาด และที่สำคัญเลยคือต้องบำรุงตับ ด้วยความที่จะต้องกินยาทุกวัน วันละจำนวนเยอะ ไม่งั้นพอTB หายอาจจะต้องมารักษาตับกันอีกปี สองปี
นอกนั้นเราสามารถใช้ชีวิตได้เกือบเหมือนคนปกติแล้ว แต่คิดว่ายังไม่กลับไปทำงานเพราะ น้ำในปอดของเรายังมี ตัวนี้มันผลิตออกมาเรื่อยๆ งานเราต้องพูดเยอะ ต้องเจอผู้คน ต้องรักษาภาพลักษณ์ ถือซะว่าทำงานมาหนัก ขอพักยาวๆหน่อยละกัน เชื้อตอนนี้ไม่แพร่กระจายแล้ว แต่คงอีกสักพักใหญ่ๆที่เราจะสามารถออกไปเจอผู้คนได้ เราเหนื่อย 5555
.
จากเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ สอนให้รู้ว่า “เสียน้อย เสียยาก เสียมาก เสียง่าย” ใครที่เป็นฟรีแลนซ์ควรมีประกันสุขภาพ(เราเคยทำไว้เมื่อปีสองปีมาแล้ว แต่ไม่เคยได้ใช้ เลยหยุดไป เพราะคิดว่าสิ้นเปลือง) และประกันสังคมแบบประกันตนเอง จะได้ไม่พลาดอย่างเราค่ะ
ขอบคุณที่อ่านจนจบนะคะ ขออภัยล่วงหน้าหากเขียนตรงไหนงงๆค่ะ แล้วก็เรื่องติดแท็กค่ะ ติงได้ถ้าใส่ผิดนะคะ