สวัสดีครับ นี่เป็นกระทู้แรกของผมในพันทิปนี้ หากผมแท็กผิดหรือใช้คำพูดผิดประการใดขออภัยมา ณ ที่นี้ครับ ผมอยากให้กระทู้นี้ ส่งไปถึงผู้ที่กำลังต่อสู้กับโรคนี้อยู่ และยังคงทนทรมานกับผลข้างเคียงหลายๆอย่างอยู่ มาสู้ไปด้วยกันครับ เรื่องนี้ค่อนข้างยาวนะครับ เนื่องด้วยมีเหตุการณ์หลายอย่างตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานับตั้งแต่ผมต่อสู้มาวันแรกจนถึงวันนี้ ตลอดเวลาตั้งแต่เป็นเป็นวัณโรค จนกระทั่งเป็นวัณโรคดื้อยา รวมเวลามากกว่า 21 เดือน จนกระทั่งตอนนี้ยังรักษาอยู่ ซึ่งใกล้ครบกำหนดระยะเวลา 1 ปีครึ่ง สำหรับคอสยาวัณโรคดื้อยา มาสู้ไปด้วยกันครับ
เดิมทีผมเป็นเด็กบ้านนอกครับ ที่เรียนจบมาและตั้งใจจะมาหางานทำและก่อร่างสร้างตัวที่กรุงเทพครับ โดยผมเข้ามาทำงานครั้งแรกในกรุงเทพทันทีหลังจากเรียนจบใหม่ครับ ทุกอย่างเข้าที่เข้าทางตามลักษณะที่ควรจะเป็นครับ ผมได้ทำงานในออฟฟิศและต้องเดินทางด้วยรถไฟฟ้าไปกลับทุกวัน วันเวลาผ่านเลยไปจนได้หนึ่งปีครับ และผมเริ่มรู้สึกไม่สบายมาตลอดครับ เพราะผมเป็นโรคภูมิแพ้อยู่เป็นทุนเดิม ยิ่งมาเจอฝุ่น เจออากาศกรุงเทพ บอกเลยครับว่า ป่วยได้รายวันซึ่งก็ไม่ได้เอะใจอะไรครับ ผมก็ทำงานของผมไป เจ็บป่วยก็กินยา จนผมได้ตัดสินใจย้ายที่ทำงานใหม่ ครับ เพราะรู้สึกว่าการเดินทางมันลำบากมาก บวกกับภูมิแพ้ที่เป็นหนักขึ้นและอาการป่วยที่เป็นบ่อยมากเข้า ผมเริ่มทนกับสภาพอากาศกรุงเทพไม่ไหวแต่ก็ไม่คิดว่าจะมีอะไร น่าจะป่วยธรรมดา หลังจากได้ที่ทำงานใหม่ครับ ผมก็ทำงานที่นั่นสี่ห้าเดือนได้ครับ และพอวันตรวจสุขภาพประจำปีก็ได้เรื่องเลยครับ หลังจากตรวจร่างกายประจำปีบริษัทเสร็จ และผลการตรวจก็ออกมา ผลที่ได้คือ ทุกคนในบริษัท ปกติหมดครับ แต่ผมมีเอกสารและแผ่นซีดีจากทาง รพ เป็นแผ่นซีดีภาพเอ็กซเรย์ปอดของผมออกมา ทำให้ผมงงมากครับ ซึ่งในเอกสารกำกับว่า ลักษณะปอดมีความปิดปกติ ซึ่งภาพเอ็กซเรย์ของผมก็มีดังภาพครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
นั่นแหละครับเป็นดังภาพ ครั้งแรกผมเปิดรูปนี้ก็ตลึงงันไปแปปนึงครับ ได้แต่งงและสับสนว่าตัวเองเป็นอะไรกันแน่ ใจตกไปอยู่ตาตุ่มเลยครับ คิดว่าซวยละผมเกิดอะไรขึ้น เลยตัดสินใจลางานไปพบแพทย์ถัดจากวันนั้นเลยครับ ผมให้แฟนผมไปส่งซึ่งทั้งผมกับแฟนก็ได้กำมือแน่นกับแฟนแล้วได้แต่ลุ้นครับว่าผมเป็นอะไรกันแน่ จนแล้วได้ตรวจกับหมอ หมอบอกกับผมว่า ผมมีสิทธิ์เป็น "วัณโรค" ! และโรคนี้สามารถแพร่เชื้อให้คนรอบข้างได้ !
สิ่งที่หมอพูดทำให้ผมถึงกับตกใจพร้อมกับคล้ายอาการหูดับ ซึ่งเหมือนในหนังเลยคุณ เห็นปากหมอขยับๆๆแต่ไม่ได้ยินเสียงอะไรจากหมอไปพักนึง แล้วเสียงก็กลับมา บอกผมว่า คุณต้องไปเก็บเสมหะเพื่อตรวจหาเชื้อวัณโรคที่คลินิกข้างนอกนะ มือไม้ผมสั่นไปหมด ในหัวคือที่ผมนึกออกตอนนั้นคือ ภาพเพื่อนผมที่เสียชีวิตไปจากวัณโรค เมื่อตอนสมัยผมอยู่มัธยม ผมทำอะไรไม่ถูก แฟนผมเรียกสติผมกลับมาแล้วบอกว่า ป้ะ! ลุยกัน ตอนนั้นผมน้ำตาไหลเลยครับ ที่ผมน้ำตาไหลเพราะผมนึกถึงแฟนผมที่อยู่ข้างๆกันก่อนเลย คิดมาตลอดเวลาว่า ที่ผ่านมาผมทำให้เขาติดผมไหม ผมทำให้ครอบครัวติดผมไหม แต่แฟนก็บอกกับผมว่า ใจเย็นๆก่อน อาจไม่เป็นก็ได้ ซึ่งผมก็ใจเย็นลงครับและบอกกับตัวเองว่า อาจจะยังไม่เป็นวัณโรคก็ได้ แต่แล้ววันฟังผลก็มาถึง...
เรื่องที่ผมกลัวที่สุดมันได้อุบัติขึ้นแล้ว หมอบอกกับผมว่า "ผลออกมาคุณเป็นวัณโรคปอดนะคะ" ทุกอย่างมันอื้ออึงไปหมดครับ หูดับไปอีกแล้ว น้ำตาเอ่อขึ้นมาเพราะคิดว่า ตัวเองต้องตายแน่ๆและแฟนและครอบครัวต้องตายแน่ๆ ผมทำอะไรลงไป ผมทำไมป่วยได้ ทั้งที่เหล้าก็ไม่กิน บุหรี่ก็ไม่สูบ เที่ยวกลางคืนก็แทบไม่มี แค่คนหาเงินทำงานเพื่อสร้างตัวเอง สร้างครอบครัว ทุกอย่างดูหม่นไปหมด นี่ผมกำลังทำร้ายคนรอบข้างหรอ ในหัวครุ่นคิดไม่หยุด ผมมองทะลุกระจกออกมานอกห้อง เห็นแฟนผมนั่งเล่นมือถือรอผมอยู่ ผมน้ำตาไหลต่อหน้าหมอเลยครับ ยอมรับเลยว่า น้ำตาไหลฟูมฟาย เพราะผมกับแฟน คบกันมาเกือบ 10 ปี ผ่านทุกข์ร้อนอะไรมาด้วยกัน แล้วผมกำลังจะทำร้ายเธอหรอ ! ในหัวผมฟุ้งซ่านไปหมด จนสักพักหมอบอกผมว่า เข้าใจค่ะ ว่ารู้สึกอย่างไรและช็อคมากขนาดไหน แต่โรคนี้เป็นแล้วสามารถรักษาหายได้ ผมได้ยินดังนั้น สิ่งที่ผมคิดว่าจะเป็นเหมือนเพื่อนผมที่เสียชีวิตไป ผมกลับมองเห็นรูเล็กๆรูหนึ่งที่มีแสงสว่างอยู่นั่นคือ คำพูดของหมอ ผมออกจากห้องตรวจมาแฟนผมรู้เลยจากสีหน้าของผมและน้ำตาที่คลอเบ้าว่า สิ่งที่เรากังวลกัน มันได้เกิดขึ้นแล้วจริงๆ และสิ่งที่ผมได้ยินจากปากแฟนผมคือ "เตง...ป้ะ เราต้องผ่านมันไปให้ได้" น้ำตาผมแทบไหลพราก ผมอยากขอโทษเธอเป็นล้านครั้งที่ทำให้เธอมาเสี่ยงด้วย จากนั้นหมอก็เริ่มให้ยากับผมในสูตรปกติสำหรับคนเป็นวัณโรคทั่วไป ซึ่งผมจำสูตรยาไม่ได้ละครับ แต่รวมๆกันร่วมสิบกว่าเม็ดได้ คุณหมอกำชับกับผมว่า ช่วงแรกของการกินยา จะมีระยะแพร่เชื้ออยู่คือ 2อาทิตย์นะคะ ให้ระมัดระวัง สวมหน้ากากตลอดเวลาเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อและรับเชื้อเพิ่มนะคะ หลังจากพ้นระยะแพร่เชื้อไปแล้วก็ให้กินยาให้ตรงเวลานะคะ และกินให้ครบกำหนด ประมาณ 5-6 เดือนก็หายเป็นปกติแล้วค่ะ ซึ่งผมรู้สึกดีใจเป็นอย่างมากที่ผมต้องกินยาอีกแค่ ไม่กี่เดือนเอง ผมจะได้ไม่ต้องตายเหมือนเพื่อนของผม แฟนผมกุมมือผมแล้วบอกว่าไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวก็หาย แต่สิ่งที่ผมกังเวลในหัวกลับไม่ใช่ตัวของผมเอง หากแต่เป็นผู้หญิงที่ผมรักสุดหัวใจของผมที่อยู่ข้างๆ ผมเริ่มตระหนักว่า ผมต้องปกป้องเธอ และจัดการตัวเองให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อไม่ให้เธอต้องเป็นเหมือนผม นั่นคือสิ่งแรกที่ผมคิดได้หลังจากพบหมอเสร็จ
กลับมาที่ห้อง ผมใส่หน้ากากอนามัยตั้งแต่ รพ มา ผมซื้อแมสเป็นกล่องใหญ่ไว้ตลอดเวลาผมต้องปฏิบัติตัวใหม่หมดเพื่อป้องกันคนที่ผมรักด้วยและตัวเองด้วย ผมเริ่มวางตารางเวลาการกินยาของหมออย่างเคร่งครัดโดยตั้งนาฬิกาปลุกทุกวันและอาบน้ำทุกครั้งต้องล้างด้วยน้ำร้อนทุกครั้ง แม้กระทั่งตอนนอนผมกับแฟนทั้งคู่ต่างใส่แมสนอนกันทั้งคู่ ช่วงแรกๆอึดอัดมากครับ อึดอัดใจด้วยกายด้วยเพราะไม่เคยเจอสภาพแบบนี้ ทำไมชีวิตต้องมาเจอแบบนี้ด้วย แต่ก็อดทนเอาเพื่อให้พ้นวิกฤติครั้งนี้ไปให้ได้ และนี้คือสิ่งที่แฟนผมทำให้เป็นกล่องยาที่เธอซื้อมาให้ผมแล้วก็ติดสิ่งนี้ไว้เป็นกำลังใจให้ผมครับ
และจากนั้นผมได้ขอที่ทำงานว่า ผมขอพักอยู่ที่ห้อง 2 อาทิตย์ครับ เพื่อรักษาตัวโดยผมก็บอกไปนะครับว่าผมเป็นโรคอะไรและมีทางรักษาอย่างไร ซึ่งเป็นโชคดีของผมมากครับที่ผมได้ที่ทำงานที่ดีและเพื่อนร่วมงานที่ดีมากๆ เข้าใจผมและบอกว่าหยุดพักให้พ้นช่วงนี้ไปก่อนแล้วค่อยกลับมาทำงาน และพี่ๆในที่ทำงานผมก็ไม่ได้รังเกียจผมแต่อย่างใดนะครับ กลับกัน พี่ๆเข้าใจผมด้วยซ้ำ และดีใจที่ผมรู้จักป้องกันรักษาตัวเอง เพื่อที่คนอื่นจะได้ไม่เสี่ยง หลังจากนั้นพอผ่านช่วงแพร่เชื้อไป ผมก็กลับไปทำงานตามปกติครับ แต่ผมก็แยกของใช้ส่วนตัวไว้ต่างหาก ใส่แมสตลอดเวลาที่ทำงานและการเดินทางกลับห้องเลยครับ พูดง่ายๆว่า ผมใส่แมสแทบตลอด 24 ชม เลยทีเดียว ถึงจะอึดอัดไปหน่อยแต่ผมต้องทำครับ เพราะนี่คือความรับผิดชอบของผม เพราะโรคที่ผมเป็นไม่ใช่แค่ผมเป็นคนเดียว แต่คนรอบข้างสามารถรับเชื้อเข้าไปด้วย ซึ่งผมปล่อยประละเลยไม่ได้ครับผมต้องทำเพื่อความปลอดภัยของตัวเองและทุกคน
แต่สิ่งที่ผมต้องทำต่อจากกการกินยาเลยคือ พาแฟนผมไปตรวจว่าผมเป็นไหมครับ ซึ่งก็ลุ้นกันมากครับ จับมือกันตั้งแต่เข้า รพ นั่งรอ จนพบแพทย์ ซึ่งผมวินิจฉัยของหมอออกมาผมว่า ลักษณะปอดของแฟนผมนั้น ปกติดีครับ ซึ่งนั่นทำให้ผมกับแฟนสองคน แทบกอดกันกลาง รพ เลยทีเดียว มันเป็นสิ่งที่อึดอัดในใจผมทั้งวันทั้งคืนคิดไม่หยุด ทำอะไรก็กลัวลมหายใจหลุดลอดไปหาแฟนไปหมดตลอดช่วงแพร่เชื้อและการกินยาที่ผ่านมามากครับ
บอกก่อนเลยว่าผมเป็นผู้ชายผอมๆสูงๆ ตามลักษณะโปรแกรมเมอร์เลยครับ ไม่สูบบุหรี่ ไม่กินเหล้าเลยครับ เป็นแค่คนทำงานหาเช้ากินค่ำ เช้าทำงานเย็นกลับห้อง แต่แต่ตั้งแต่ป่วยมา ผมเริ่มมีศรัทธาในตัวเองคือผมต้องหาย ยังไงต้องหาย มีแฟนผมรออยู่ มีครอบครัวรอผมอยู่ ผมเริ่มออกกำลังกายทุกเย็นและทุกวันหยุดออกไปวิ่งยังใส่แมสอะครับ หลายคนก็มองว่าแปลกๆ แต่ก็ไม่เป็นไรครับ ดีกว่าเราไปปล่อยเชื้อโดยไม่ได้ตั้งใจหรือรับเชื้อใหม่เข้ามาเพิ่มเติมออกกำลังกายอย่างหนักตลอดสี่เดือนห้าเดือนที่ผ่านมา จนสภาพร่างกายเฟิร์มเลยครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ผมกินยาตรงเวลาและกินอาหารบำรุงตามที่คุณหมอบอกตลอดครับ อ้อ ผมลืมบอกไป ผลข้างเคียงการกินยาโดสแรกของผมนั้นแทบไม่มีเลยครับ เหมือนปกติเอามากๆ แค่ฉี่เปลี่ยนเป็นสีส้มและปวดข้อนิดหน่อยกับอาการเหนื่อยนิดหน่อย แต่ก็ยังวิ่ง 4 5 กิโลตลอดเลยนะครับ ช่วงนี้รู้สึกว่า ทำไมมันง่ายแบบนี้ไม่เห็นมีอะไรร้ายแรงเลย แค่กินยาให้ครบตามกำหนด ร่างกายก็ไม่ได้เจ็บปวดอะไรจากการกินยาเลย ไม่เห็นเหมือนที่หมอบอกหรือตามกระทู้ต่างๆที่ไล่อ่านดู ทั้งอ้วกทั้งนอนไม่หลับบ้าง เหนื่อยมากๆบ้าง รู้สึกว่าตัวเองกินจุขึ้นอ้วนขึ้นด้วยซ้ำ เลยนึกในใจว่าหายแน่ๆ สงสัยเป็นลางดี แต่แล้วเดือนสุดท้ายเดือนที่ 6 ของการกินยามาถึง สิ่งที่ผมคิดไว้กลับไม่เป็นไปตามนั้น.......
ผมมาตามนัดคุณหมอด้วยสีหน้าที่สดชื่นและร่างกายที่อ้วนและกล้ามที่เพิ่มขึ้น หายใจเป็นปกติ ราวกับคนปกติแข็งแรง ที่รอมาฟังหมอบอกว่า คุณหายแล้วหยุดยาได้ พอมาถึง หมอเปิดแฟ้มการรักษาของผม แล้วสิ่งที่หมอบอกกับผมคือ "เอ๊ะ ทำไมผลเสมหะของคุณยังเป็นบวกอยู่นะ ทั้งที่สามเดือนแรกเสมหะคุณไม่เจอเช้อแล้วนี่นา ปอดก็ดูดีขึ้น คุณลองเก็บเสมหะอีกรอบนะคะหมอจะเช็คดูว่าเกิดอะไรขึ้น...." สิ้นสุดเสียงของหมอปุ๊บทุกอย่างดับสนิทครับ ใช่ครับ คุณอานไม่ผิด ดับสนิทจริงๆครับ ตาผมมืดบอดไปชั่วครู่ทั้งที่ยังลืมตาอยู่ หูผมดับสนิทไม่ได้ยินเสียงอะไร ได้ยินแต่เสียงติ๊ดดดดดดดด แหลมๆในหูคล้ายกับเสียงชีพจรอหยุดเต้น อย่างนั้นเลยครับ แล้วน้ำตาก็คลอมาอีกแล้ว ทุกอย่างในหัว ว่างเปล่าไปหมด มีแต่คำถามเดียวคือ "มันเกิดอะไรขึ้น" จากนั้นหัวตื้อไปด้วยคำถามที่วิ่งตามมาเลยครับว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไม ทำไม ทำไม ใช่หรอ ใช่หรอผม ผลออกมาถูกแล้วหรอ ใช่ของผมหรอ บลาๆๆๆ " จนผมต้องถามหมอว่า ไม่จริงใช่ไหมหมอ หมอพูดกับผมว่า "จริงค่ะ ผลออกมาเป็นแบบนั้นจริงๆค่ะ และหมอจะต้องปรับสูตรการรักษาใหม่ให้คุณ สูตรยานี้อาจจะหนักกว่านี้ และใช้เวลา 1 ปี ครึ่งในการรักษานะคะ" อาฟเตอร์ช็อคครั้งที่สองเริ่มขึ้นในทันที ผมไม่รู้เลยว่านรกของจริงกำลังเคาะประตูหน้าบ้านผมโดยที่ผมไม่รู้ตัว ทันทีหลังจากหมออ่านคำวินิจฉัยการรักษาสูตรแรกของผมจบลง ความทรมานที่แท้จริงกำลังเริ่มต้นขึ้น สำหรับ "การรักษาสูตรที่สอง".....
ขอจบกระทู้เพียงเท่านี้ก่อนนะครับเพราะผมมีแรงเท่านี้จริงๆครับ ได้เวลานอนพักละครับ เดี๋ยววันถัดไปผมจะเล่าต่อถึง การรักษาสูตรที่สองที่เหมือนฆ่าผมตายทั้งเป็นและพรากทุกอย่างรอบตัวผมไปหมดสิ้น จนเข้าสู่วิกฤติโรคซึมเศร้า มาให้ได้อ่านกันต่อครับ ขอบคุณทุกท่านที่ได้อ่านความในใจและประสบการณ์ชีวิตการต่อสู้ที่ยังไม่จบสิ้นของผมในครั้งนี้ ไว้เจอกันวันใหม่ครับ
จากวัณโรค สู่วัณโรคดื้อยา จากชีวิตเกือบดับ สู่ศรัทธา การต่อสู้เพื่อกลับมา เดินตามหาแสงสว่างปลายอุโมงค์ เพื่อคนที่รัก
เดิมทีผมเป็นเด็กบ้านนอกครับ ที่เรียนจบมาและตั้งใจจะมาหางานทำและก่อร่างสร้างตัวที่กรุงเทพครับ โดยผมเข้ามาทำงานครั้งแรกในกรุงเทพทันทีหลังจากเรียนจบใหม่ครับ ทุกอย่างเข้าที่เข้าทางตามลักษณะที่ควรจะเป็นครับ ผมได้ทำงานในออฟฟิศและต้องเดินทางด้วยรถไฟฟ้าไปกลับทุกวัน วันเวลาผ่านเลยไปจนได้หนึ่งปีครับ และผมเริ่มรู้สึกไม่สบายมาตลอดครับ เพราะผมเป็นโรคภูมิแพ้อยู่เป็นทุนเดิม ยิ่งมาเจอฝุ่น เจออากาศกรุงเทพ บอกเลยครับว่า ป่วยได้รายวันซึ่งก็ไม่ได้เอะใจอะไรครับ ผมก็ทำงานของผมไป เจ็บป่วยก็กินยา จนผมได้ตัดสินใจย้ายที่ทำงานใหม่ ครับ เพราะรู้สึกว่าการเดินทางมันลำบากมาก บวกกับภูมิแพ้ที่เป็นหนักขึ้นและอาการป่วยที่เป็นบ่อยมากเข้า ผมเริ่มทนกับสภาพอากาศกรุงเทพไม่ไหวแต่ก็ไม่คิดว่าจะมีอะไร น่าจะป่วยธรรมดา หลังจากได้ที่ทำงานใหม่ครับ ผมก็ทำงานที่นั่นสี่ห้าเดือนได้ครับ และพอวันตรวจสุขภาพประจำปีก็ได้เรื่องเลยครับ หลังจากตรวจร่างกายประจำปีบริษัทเสร็จ และผลการตรวจก็ออกมา ผลที่ได้คือ ทุกคนในบริษัท ปกติหมดครับ แต่ผมมีเอกสารและแผ่นซีดีจากทาง รพ เป็นแผ่นซีดีภาพเอ็กซเรย์ปอดของผมออกมา ทำให้ผมงงมากครับ ซึ่งในเอกสารกำกับว่า ลักษณะปอดมีความปิดปกติ ซึ่งภาพเอ็กซเรย์ของผมก็มีดังภาพครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
นั่นแหละครับเป็นดังภาพ ครั้งแรกผมเปิดรูปนี้ก็ตลึงงันไปแปปนึงครับ ได้แต่งงและสับสนว่าตัวเองเป็นอะไรกันแน่ ใจตกไปอยู่ตาตุ่มเลยครับ คิดว่าซวยละผมเกิดอะไรขึ้น เลยตัดสินใจลางานไปพบแพทย์ถัดจากวันนั้นเลยครับ ผมให้แฟนผมไปส่งซึ่งทั้งผมกับแฟนก็ได้กำมือแน่นกับแฟนแล้วได้แต่ลุ้นครับว่าผมเป็นอะไรกันแน่ จนแล้วได้ตรวจกับหมอ หมอบอกกับผมว่า ผมมีสิทธิ์เป็น "วัณโรค" ! และโรคนี้สามารถแพร่เชื้อให้คนรอบข้างได้ !
สิ่งที่หมอพูดทำให้ผมถึงกับตกใจพร้อมกับคล้ายอาการหูดับ ซึ่งเหมือนในหนังเลยคุณ เห็นปากหมอขยับๆๆแต่ไม่ได้ยินเสียงอะไรจากหมอไปพักนึง แล้วเสียงก็กลับมา บอกผมว่า คุณต้องไปเก็บเสมหะเพื่อตรวจหาเชื้อวัณโรคที่คลินิกข้างนอกนะ มือไม้ผมสั่นไปหมด ในหัวคือที่ผมนึกออกตอนนั้นคือ ภาพเพื่อนผมที่เสียชีวิตไปจากวัณโรค เมื่อตอนสมัยผมอยู่มัธยม ผมทำอะไรไม่ถูก แฟนผมเรียกสติผมกลับมาแล้วบอกว่า ป้ะ! ลุยกัน ตอนนั้นผมน้ำตาไหลเลยครับ ที่ผมน้ำตาไหลเพราะผมนึกถึงแฟนผมที่อยู่ข้างๆกันก่อนเลย คิดมาตลอดเวลาว่า ที่ผ่านมาผมทำให้เขาติดผมไหม ผมทำให้ครอบครัวติดผมไหม แต่แฟนก็บอกกับผมว่า ใจเย็นๆก่อน อาจไม่เป็นก็ได้ ซึ่งผมก็ใจเย็นลงครับและบอกกับตัวเองว่า อาจจะยังไม่เป็นวัณโรคก็ได้ แต่แล้ววันฟังผลก็มาถึง...
เรื่องที่ผมกลัวที่สุดมันได้อุบัติขึ้นแล้ว หมอบอกกับผมว่า "ผลออกมาคุณเป็นวัณโรคปอดนะคะ" ทุกอย่างมันอื้ออึงไปหมดครับ หูดับไปอีกแล้ว น้ำตาเอ่อขึ้นมาเพราะคิดว่า ตัวเองต้องตายแน่ๆและแฟนและครอบครัวต้องตายแน่ๆ ผมทำอะไรลงไป ผมทำไมป่วยได้ ทั้งที่เหล้าก็ไม่กิน บุหรี่ก็ไม่สูบ เที่ยวกลางคืนก็แทบไม่มี แค่คนหาเงินทำงานเพื่อสร้างตัวเอง สร้างครอบครัว ทุกอย่างดูหม่นไปหมด นี่ผมกำลังทำร้ายคนรอบข้างหรอ ในหัวครุ่นคิดไม่หยุด ผมมองทะลุกระจกออกมานอกห้อง เห็นแฟนผมนั่งเล่นมือถือรอผมอยู่ ผมน้ำตาไหลต่อหน้าหมอเลยครับ ยอมรับเลยว่า น้ำตาไหลฟูมฟาย เพราะผมกับแฟน คบกันมาเกือบ 10 ปี ผ่านทุกข์ร้อนอะไรมาด้วยกัน แล้วผมกำลังจะทำร้ายเธอหรอ ! ในหัวผมฟุ้งซ่านไปหมด จนสักพักหมอบอกผมว่า เข้าใจค่ะ ว่ารู้สึกอย่างไรและช็อคมากขนาดไหน แต่โรคนี้เป็นแล้วสามารถรักษาหายได้ ผมได้ยินดังนั้น สิ่งที่ผมคิดว่าจะเป็นเหมือนเพื่อนผมที่เสียชีวิตไป ผมกลับมองเห็นรูเล็กๆรูหนึ่งที่มีแสงสว่างอยู่นั่นคือ คำพูดของหมอ ผมออกจากห้องตรวจมาแฟนผมรู้เลยจากสีหน้าของผมและน้ำตาที่คลอเบ้าว่า สิ่งที่เรากังวลกัน มันได้เกิดขึ้นแล้วจริงๆ และสิ่งที่ผมได้ยินจากปากแฟนผมคือ "เตง...ป้ะ เราต้องผ่านมันไปให้ได้" น้ำตาผมแทบไหลพราก ผมอยากขอโทษเธอเป็นล้านครั้งที่ทำให้เธอมาเสี่ยงด้วย จากนั้นหมอก็เริ่มให้ยากับผมในสูตรปกติสำหรับคนเป็นวัณโรคทั่วไป ซึ่งผมจำสูตรยาไม่ได้ละครับ แต่รวมๆกันร่วมสิบกว่าเม็ดได้ คุณหมอกำชับกับผมว่า ช่วงแรกของการกินยา จะมีระยะแพร่เชื้ออยู่คือ 2อาทิตย์นะคะ ให้ระมัดระวัง สวมหน้ากากตลอดเวลาเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อและรับเชื้อเพิ่มนะคะ หลังจากพ้นระยะแพร่เชื้อไปแล้วก็ให้กินยาให้ตรงเวลานะคะ และกินให้ครบกำหนด ประมาณ 5-6 เดือนก็หายเป็นปกติแล้วค่ะ ซึ่งผมรู้สึกดีใจเป็นอย่างมากที่ผมต้องกินยาอีกแค่ ไม่กี่เดือนเอง ผมจะได้ไม่ต้องตายเหมือนเพื่อนของผม แฟนผมกุมมือผมแล้วบอกว่าไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวก็หาย แต่สิ่งที่ผมกังเวลในหัวกลับไม่ใช่ตัวของผมเอง หากแต่เป็นผู้หญิงที่ผมรักสุดหัวใจของผมที่อยู่ข้างๆ ผมเริ่มตระหนักว่า ผมต้องปกป้องเธอ และจัดการตัวเองให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อไม่ให้เธอต้องเป็นเหมือนผม นั่นคือสิ่งแรกที่ผมคิดได้หลังจากพบหมอเสร็จ
กลับมาที่ห้อง ผมใส่หน้ากากอนามัยตั้งแต่ รพ มา ผมซื้อแมสเป็นกล่องใหญ่ไว้ตลอดเวลาผมต้องปฏิบัติตัวใหม่หมดเพื่อป้องกันคนที่ผมรักด้วยและตัวเองด้วย ผมเริ่มวางตารางเวลาการกินยาของหมออย่างเคร่งครัดโดยตั้งนาฬิกาปลุกทุกวันและอาบน้ำทุกครั้งต้องล้างด้วยน้ำร้อนทุกครั้ง แม้กระทั่งตอนนอนผมกับแฟนทั้งคู่ต่างใส่แมสนอนกันทั้งคู่ ช่วงแรกๆอึดอัดมากครับ อึดอัดใจด้วยกายด้วยเพราะไม่เคยเจอสภาพแบบนี้ ทำไมชีวิตต้องมาเจอแบบนี้ด้วย แต่ก็อดทนเอาเพื่อให้พ้นวิกฤติครั้งนี้ไปให้ได้ และนี้คือสิ่งที่แฟนผมทำให้เป็นกล่องยาที่เธอซื้อมาให้ผมแล้วก็ติดสิ่งนี้ไว้เป็นกำลังใจให้ผมครับ
และจากนั้นผมได้ขอที่ทำงานว่า ผมขอพักอยู่ที่ห้อง 2 อาทิตย์ครับ เพื่อรักษาตัวโดยผมก็บอกไปนะครับว่าผมเป็นโรคอะไรและมีทางรักษาอย่างไร ซึ่งเป็นโชคดีของผมมากครับที่ผมได้ที่ทำงานที่ดีและเพื่อนร่วมงานที่ดีมากๆ เข้าใจผมและบอกว่าหยุดพักให้พ้นช่วงนี้ไปก่อนแล้วค่อยกลับมาทำงาน และพี่ๆในที่ทำงานผมก็ไม่ได้รังเกียจผมแต่อย่างใดนะครับ กลับกัน พี่ๆเข้าใจผมด้วยซ้ำ และดีใจที่ผมรู้จักป้องกันรักษาตัวเอง เพื่อที่คนอื่นจะได้ไม่เสี่ยง หลังจากนั้นพอผ่านช่วงแพร่เชื้อไป ผมก็กลับไปทำงานตามปกติครับ แต่ผมก็แยกของใช้ส่วนตัวไว้ต่างหาก ใส่แมสตลอดเวลาที่ทำงานและการเดินทางกลับห้องเลยครับ พูดง่ายๆว่า ผมใส่แมสแทบตลอด 24 ชม เลยทีเดียว ถึงจะอึดอัดไปหน่อยแต่ผมต้องทำครับ เพราะนี่คือความรับผิดชอบของผม เพราะโรคที่ผมเป็นไม่ใช่แค่ผมเป็นคนเดียว แต่คนรอบข้างสามารถรับเชื้อเข้าไปด้วย ซึ่งผมปล่อยประละเลยไม่ได้ครับผมต้องทำเพื่อความปลอดภัยของตัวเองและทุกคน
แต่สิ่งที่ผมต้องทำต่อจากกการกินยาเลยคือ พาแฟนผมไปตรวจว่าผมเป็นไหมครับ ซึ่งก็ลุ้นกันมากครับ จับมือกันตั้งแต่เข้า รพ นั่งรอ จนพบแพทย์ ซึ่งผมวินิจฉัยของหมอออกมาผมว่า ลักษณะปอดของแฟนผมนั้น ปกติดีครับ ซึ่งนั่นทำให้ผมกับแฟนสองคน แทบกอดกันกลาง รพ เลยทีเดียว มันเป็นสิ่งที่อึดอัดในใจผมทั้งวันทั้งคืนคิดไม่หยุด ทำอะไรก็กลัวลมหายใจหลุดลอดไปหาแฟนไปหมดตลอดช่วงแพร่เชื้อและการกินยาที่ผ่านมามากครับ
บอกก่อนเลยว่าผมเป็นผู้ชายผอมๆสูงๆ ตามลักษณะโปรแกรมเมอร์เลยครับ ไม่สูบบุหรี่ ไม่กินเหล้าเลยครับ เป็นแค่คนทำงานหาเช้ากินค่ำ เช้าทำงานเย็นกลับห้อง แต่แต่ตั้งแต่ป่วยมา ผมเริ่มมีศรัทธาในตัวเองคือผมต้องหาย ยังไงต้องหาย มีแฟนผมรออยู่ มีครอบครัวรอผมอยู่ ผมเริ่มออกกำลังกายทุกเย็นและทุกวันหยุดออกไปวิ่งยังใส่แมสอะครับ หลายคนก็มองว่าแปลกๆ แต่ก็ไม่เป็นไรครับ ดีกว่าเราไปปล่อยเชื้อโดยไม่ได้ตั้งใจหรือรับเชื้อใหม่เข้ามาเพิ่มเติมออกกำลังกายอย่างหนักตลอดสี่เดือนห้าเดือนที่ผ่านมา จนสภาพร่างกายเฟิร์มเลยครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ผมกินยาตรงเวลาและกินอาหารบำรุงตามที่คุณหมอบอกตลอดครับ อ้อ ผมลืมบอกไป ผลข้างเคียงการกินยาโดสแรกของผมนั้นแทบไม่มีเลยครับ เหมือนปกติเอามากๆ แค่ฉี่เปลี่ยนเป็นสีส้มและปวดข้อนิดหน่อยกับอาการเหนื่อยนิดหน่อย แต่ก็ยังวิ่ง 4 5 กิโลตลอดเลยนะครับ ช่วงนี้รู้สึกว่า ทำไมมันง่ายแบบนี้ไม่เห็นมีอะไรร้ายแรงเลย แค่กินยาให้ครบตามกำหนด ร่างกายก็ไม่ได้เจ็บปวดอะไรจากการกินยาเลย ไม่เห็นเหมือนที่หมอบอกหรือตามกระทู้ต่างๆที่ไล่อ่านดู ทั้งอ้วกทั้งนอนไม่หลับบ้าง เหนื่อยมากๆบ้าง รู้สึกว่าตัวเองกินจุขึ้นอ้วนขึ้นด้วยซ้ำ เลยนึกในใจว่าหายแน่ๆ สงสัยเป็นลางดี แต่แล้วเดือนสุดท้ายเดือนที่ 6 ของการกินยามาถึง สิ่งที่ผมคิดไว้กลับไม่เป็นไปตามนั้น.......
ผมมาตามนัดคุณหมอด้วยสีหน้าที่สดชื่นและร่างกายที่อ้วนและกล้ามที่เพิ่มขึ้น หายใจเป็นปกติ ราวกับคนปกติแข็งแรง ที่รอมาฟังหมอบอกว่า คุณหายแล้วหยุดยาได้ พอมาถึง หมอเปิดแฟ้มการรักษาของผม แล้วสิ่งที่หมอบอกกับผมคือ "เอ๊ะ ทำไมผลเสมหะของคุณยังเป็นบวกอยู่นะ ทั้งที่สามเดือนแรกเสมหะคุณไม่เจอเช้อแล้วนี่นา ปอดก็ดูดีขึ้น คุณลองเก็บเสมหะอีกรอบนะคะหมอจะเช็คดูว่าเกิดอะไรขึ้น...." สิ้นสุดเสียงของหมอปุ๊บทุกอย่างดับสนิทครับ ใช่ครับ คุณอานไม่ผิด ดับสนิทจริงๆครับ ตาผมมืดบอดไปชั่วครู่ทั้งที่ยังลืมตาอยู่ หูผมดับสนิทไม่ได้ยินเสียงอะไร ได้ยินแต่เสียงติ๊ดดดดดดดด แหลมๆในหูคล้ายกับเสียงชีพจรอหยุดเต้น อย่างนั้นเลยครับ แล้วน้ำตาก็คลอมาอีกแล้ว ทุกอย่างในหัว ว่างเปล่าไปหมด มีแต่คำถามเดียวคือ "มันเกิดอะไรขึ้น" จากนั้นหัวตื้อไปด้วยคำถามที่วิ่งตามมาเลยครับว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไม ทำไม ทำไม ใช่หรอ ใช่หรอผม ผลออกมาถูกแล้วหรอ ใช่ของผมหรอ บลาๆๆๆ " จนผมต้องถามหมอว่า ไม่จริงใช่ไหมหมอ หมอพูดกับผมว่า "จริงค่ะ ผลออกมาเป็นแบบนั้นจริงๆค่ะ และหมอจะต้องปรับสูตรการรักษาใหม่ให้คุณ สูตรยานี้อาจจะหนักกว่านี้ และใช้เวลา 1 ปี ครึ่งในการรักษานะคะ" อาฟเตอร์ช็อคครั้งที่สองเริ่มขึ้นในทันที ผมไม่รู้เลยว่านรกของจริงกำลังเคาะประตูหน้าบ้านผมโดยที่ผมไม่รู้ตัว ทันทีหลังจากหมออ่านคำวินิจฉัยการรักษาสูตรแรกของผมจบลง ความทรมานที่แท้จริงกำลังเริ่มต้นขึ้น สำหรับ "การรักษาสูตรที่สอง".....
ขอจบกระทู้เพียงเท่านี้ก่อนนะครับเพราะผมมีแรงเท่านี้จริงๆครับ ได้เวลานอนพักละครับ เดี๋ยววันถัดไปผมจะเล่าต่อถึง การรักษาสูตรที่สองที่เหมือนฆ่าผมตายทั้งเป็นและพรากทุกอย่างรอบตัวผมไปหมดสิ้น จนเข้าสู่วิกฤติโรคซึมเศร้า มาให้ได้อ่านกันต่อครับ ขอบคุณทุกท่านที่ได้อ่านความในใจและประสบการณ์ชีวิตการต่อสู้ที่ยังไม่จบสิ้นของผมในครั้งนี้ ไว้เจอกันวันใหม่ครับ