ปูพื้นความรู้ สู่ตลาดหลักทรัพย์ Part 3

หลังจากห่างหายไปนาน 
ในครั้งที่แล้ว เราได้กล่าวกันเรื่อง
ระบบการเงิน ใน part 1  https://ppantip.com/topic/37795073
และ
องค์กรที่กำกับดูแลตลาดหลักทรัพย์และระบบงานเงินใน part 2 https://ppantip.com/topic/37798921

รอบนี้เรามากล่าวกันต่อในเรื่องของ โครงสร้างตลาดการเงิน
ไม่ต้องพิธีรีตองอะไร ขอเริ่มเลยนะครับ

หากเราจะแบ่งโครงสร้างของตลาดการเงินออกเป็นประเภทใหญ่ๆ เราอาจจะแบ่งได้ 3 แบบ คือ

1. แบ่งตามอายุของตราสาร เราจะแบ่งได้ได้เป็น 2 ประเภท คือ
        - ตลาดเงิน (Money Market)  คือ ตลาดของตราสารที่อายุไม่เกิน 1 ปี หรือก็คือตราสารระยะสั้น 
        - ตลาดทุน (Capital Market)  คือ ตลาดของตราสารที่มีอายุมากกว่า 1 ปี คือ
2. แบ่งตามลักษณะของเงินที่นำมาลงทุน
        - ตลาดตราสารหนี้ ( Debt Market)
        - ตลาดตราสารทุน (Stock Market)
3. แบ่งตามวิธีซื้อขาย 
        - ตลาดการประมูล (Open Market)
        - ตลาดซือขายตรง (Negotiated Market)

อย่างไรก็ดี โครงสร้างตลาดการเงิน หรือ Financial Market สามารถแบ่งได้เป็น 2 ส่วนใหญ่ คือ
     ตลาดเงิน (กำกับดูแลโดย ธปท.) และตลาดทุน(กำกับดูแลโดย กลต.)

1. ตลาดเงิน (Money Market) คือตลาดของตราสารที่มีอายุไม่เกิน 1 ปี ซึ่งประกอบไปด้วย
        ตราสารหนี้ที่ออกโดยรัฐบาล ที่มีอายุตราสารไม่เกิน 1 ปี เช่น ตั๋วเงินคลัง, พันธบัตร
        ตราสารที่ออกโดยเอกชน ที่มีอายุไม่เกิน 1 ปี เช่น ตั๋วเงิน, เช็ค
2. ตลาดทุน (Capital Market) คือตลาดของตราสารที่มีอายุตราสารมากกว่า 1 ปี กล่าวง่ายๆคือ ตัวอื่นที่นอกเหนือจากตราสารด้านบนนั่นเอง
        และตลาดนี่เอง ที่พวกเราเรียกกันติดปากว่า ตลาดหุ้น

ตลาดทุน (Capital Market) จะแบ่งออกเป็น ประเภทใหญ่ๆ 2 ประเภท คือ ตลาดแรก (Primary Market) และ ตลาดรอง (Secondary Markrt)
ความแตกต่างของ 2 ตลาดนี้คือ
        ตลาดแรก (Primary Market) คือ ตลาดที่มีการลงทุนครั้งแรก  พูดให้เข้าใจง่ายๆคือ บริษัทที่จะเข้าสู่ตลาดหุ้น ประตูด่านแรกเลยก็คือ การซือขายหุ้นในตลาดแรก ซึ่งลักษณะการซื้อขาย คือ ได้รับเงินจากผู้ลงทุนใหม่ และ เป็นการซื้อขายหุ้นครั้งแรก โดย การซือขายในตลาดแรก จะแบ่งออกเป็น  3 ลักษณะคือ
     1. Public Offering (PO)  คือ การเสนอขายหลักทรัพย์ให้กับประชาชนทั่วไป ใครๆก็ซื้อได้
     2. Private Placemant (PP) คือ การเสนอขายแบบจำเพาะเจาะจง คือไม่ได้เปิดขายเป็นการทั่วไป ขายให้กับบุคคลหรือกลุ่มคนที่กำหนดเท่านั้น
     3.Right Offer (RO) คือ การเสนอขายให้กับผู้ถือหุ้นเดิม โดยให้สิทธิ์ในการซื้อกับผู้ถือหุ้นเดิม ไม่เสนอขายให้คนอื่น
     สรุปง่ายๆ คือ Primary Market คือตลาดที่มีการซื้อขายหุ้นกันในครั้งแรกที่มีการเสนอขาย ซึ่งเมื่อเกิดการเปลี่ยนมือของหุ้นก็จะเป็นในตลาดต่อไป หรือตลาดที่ทุกๆคน ซื้อขายกันเป็นประจำ คือ ตลาดรอง (Secondary Market)

     ตลาดรอง (Secondary Market) เราจะแบ่งเป็นสองลักษณะใหญ่ คือ ตลาดเป็นทางการ และ ตลาดไม่เป็นทางการ
     ขอกล่าวในส่วนของตลาดไม่เป็นทางการ ก่อนนะครับเพื่อกันความสับสน  
     ตลาดไม่เป็นทางการ หรือ Over The Counter (OTC) หรือพูดง่ายๆคือ เป็นตลาดที่มีการซื้อขายตกลงกันเอง ซึ่งผลก็คือทำให้ผู้ซื้อและผู้ขายสามารถต่อรองราคากันได้เองตามต้องการ ซึ่งมีการควบคุมดูแล โดย สมาคมตราสารหนี้ไทย (THAI BMA)

     ตลาดเป็นทางการ (Original Market)  คือตลาดที่มีการซือขายหุ้นที่เรารู้จักกันดีนั้นเอง แต่เดี๋ยวก่อน ตลาดเป็นทางการไม่ได้มีแต่ ตลาดหุ้นที่เราคุ้นเคย ตลาดเป็นทางการจะแบ่งได้เป็น
     - ตลาดหลักทรัพย์ MAI
     - ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)
     - ตลาดตราสารอนุพันธ์ (Thailand Future Exchang, TFEX) 
     - ตลาดตราสารหนี้ (Bond Electronic Exchang, BEX) กำกับดูแลโดย THAI BMA 

โดยรายละเอียดลักษณะการซื้อขายของแต่ตลาด คือ
     - ตลาด MAI และ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(SET)  ขออธิบายทีเดียวเลยเพื่อกันความสับสนนะครับ
       ขอยกคำอธิบายของ set.or.th มาประกอบเพื่อความเข้าใจโดยง่าย 
     " SET ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นแหล่งระดมทุนระยะยาวของบริษัทที่มีขนาดใหญ่ ซึ่งมีการชำระทุนแล้วหลังจาก IPO ตั้งแต่ 300 ล้านบาทขึ้นไป"
     " MAI เป็นแหล่งระดมทุนอขงธุรกิจที่มีศักยภาพขนาดกลางและขนาดเล็ก ซึ่งมีการชำระทุนแล้วหลังจาก IPO ตั้งแต่ 50 ล้านบาทขึ้นไป โดยเน้นธุรกิจที่มีการเติบโตสูง และมีแนวโน้มการเติบโตดีในอนาคต"
    สรุปง่ายๆคือ แบ่งกันที่ ขนาดของบริษัทนั้นแหละครับ

     - ตลาดตราสารอนุพันธ์ สรุปง่ายๆคือ ตลาดซื้อขายล่วงหน้านั่นแหละครับ
     - ตลาดตราสารหนี้ คือ ตลาดการเงินที่บริษัทต่างๆต้องการระดมทุนโดยการออกหุ้นกู้เพื่อเสนอขาย โดยผู้ซือจะได้รับผลตอบแทนในรูปแบบของดอกเบี้ยนั้นเอง

บางคนสับสนกับ ตราสารหนี้(หุ้นกู้) และ ตราสารทุน(หุ้น)
อธิบายง่ายๆ คือ ต่างกันที่ สถานะครับ  หุ้น คือ มีสถานะเป็นเจ้าของกิจการ ได้รับผลตอบแทนในรูปแบบของเงินปันผล
                                                        หุ้นกู คือ มีสถานะเป็นเจ้าหนี้ ได้รับผลตอบแทนในรูปแบบของดอกเบี้ย
อีกอย่างที่ต่างคือ ถ้าเกิดกรณีบริษัทล้ม คนที่จะได้รับเงินก่อน คือ เจ้าหนี้ (หุ้นกู้) ส่วนเจ้าของ(หุ้น) เป็นลำดับหลังนะครับ

วันนี้ขอจบไว้เพียงเท่านี้ ขอบคุณครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่