Toy Story ของ Walt Disney / Pixar เป็นหนังอนิเมชั่นภาคต่อที่ผมชอบมากที่สุดเรื่องเดียวจริงๆ ผมรู้สึกว่าหนังมันให้ความบันเทิงได้ครบรสมาก
และเห็นพัฒนาการในทุกภาคเลย เหมือนเราได้เติบโตมากับมัน และผูกพันธ์กับเหล่าของเล่นจริงๆ ผมจะเล่าความรู้สึกที่มีต่อหนังแต่ละภาคแบบไม่ได้ลงรายละเอียดเนื้อเรื่องมากนะครับ ซึ่งคนที่เคยดูแล้วน่าจะเข้าใจ
- ภาคแรกปูเนื้อเรื่องให้เราได้รู้จักกับเหล่าของเล่น (แค่เพลง You've got a friend in me ขึ้นตอนดูครั้งแรก ผมก็หลงรักเหล่าของเล่นซะแล้ว) มีวู้ดดี้เป็นของเล่นผู้นำที่ของเล่นตัวอื่นๆ ทุกตัวเคยเคารพ พอมีบัสเข้ามาทุกอย่างเปลี่ยนไป แล้วมีปัญหากัน กลั่นแกล้งกัน จนต้องจับพลัดจับผลูมาอยู่ด้วยกันในที่ที่เหมือนนรกอย่างบ้านของไอ่เด็กเวรข้างบ้านแอนดี้ (แต่ของเล่นบ้านนั้นน่ารักนะ) ต้องร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน แก้ปัญหาร่วมกัน จนสนิทกัน หนีออกมาได้ยังโดนเพื่อนๆ เข้าใจผิดไล่ลงรถขนของอีก แต่ไม่เป็นไร บินไปร่อนลงสวยๆ ที่รถแอนดี้แทน (ฉากที่วู้ดดี้ และบัสบินขึ้นไปกับจรวด และร่อนลงมา เป็นฉากที่ทำให้ผมร้องไห้ได้หลายรอบมาก) ภาคนี้น่าจดจำมากเพราะเป็นหนังที่ปฎิวัติวงการอนิเมชั่นทั้งโลกเลย และเป็นการเปิดตัวเหล่าของเล่นได้งดงามมาก
- ภาคสอง วู้ดดี้ถูกเสี่ยอ้วนเจ้าของร้านของเล่นลักพาตัวจากบ้านแอนดี้ไป เราได้เห็นความสามัคคีและความรักของเหล่าของเล่นตัวอื่นๆ รวมถึงบัสที่เป็นหัวหน้าทีม ที่จะไปตามวู้ดดี้กลับมา ต้องเดินทางจากบ้านแอนดี้เข้าเมืองกัน ภาคนี้จะออกตลกๆ หน่อย ล้อยันสตาร์วอร์ แต่ก็มีฉากที่เศร้าและดราม่ามากคือฉากที่เจสซี่ เล่าถึงอดีตของตัวเองว่าตนก็เคยมีเจ้าของเหมือนกัน(ผ่านเพลง When she loved me) ภาคนี้สนุกอลเวงมาก หนีจากคอนโด ขับรถไปสนามบิน หนีจากเครื่องบินที่กำลังจะเทคออฟ ตื่นเต้นไปหมด เต็มอื่มกับมิตรภาพระหว่างทางมากมาย
- ภาคสาม ทิ้งช่วงไปนานมากเป็นสิบปี ก็ถึงคราวที่แอนดี้โตเป็นหนุ่มจะต้องเข้ามหาลัยแล้ว เหล่าของเล่นก็ต้องไปอยู่ในสถานรับเลี้ยงเด็ก(เพราะแอนดี้ดันใส่ถุงขยะจะเอาไปเก็บห้องใต้หลังคา แต่แม่แอนดี้ดันเห็นก่อน เลยเอาไปวางหน้าบ้าน วู้ดดี้เห็นจึงต้องลงไปช่วยหนีออกมาจากถุงขยะที่กำลังจะโดนรถขยะเก็บ แล้วก็หนีไปอยู่ในกล่องของเล่นที่จะบริจาค ท้ายรถแทนแม่แอนดี้) ซึ่งก่อนที่จะเอาของเล่นใส่ถุงขยะเพื่อเก็บนั้น แอนดี้ได้หยิบวู้ดดี้และบัสขึ้นมาเพื่อเลือกตัวหนึ่งไปอยู่ด้วยที่มหาลัย แอนดี้เลือกวู้ดดี้(ฉากนี้พีคมาก แอนดี้รักของเล่นคาวบอยดึงเชือกธรรมดาๆ ไม่ใช่ของเล่นที่มีลูกเล่นเยอะอย่างบัส)
เรื่องราวที่สถานรับเลี้ยงเด็กก็เดินตามสูตร มีปัญหามากมายแต่สนุกมาก มาพีคอีกทีฉากห้องเผาขยะที่เหล่าของเล่นกำลังจะตกลงไป(ฉากนี้ร้องไห้ในโรงหนักมาก) แต่ตัดมาฉากต่อมาที่เหล่าเอเลี่ยนสามตาคีบขึ้นมานี่ตลกมากแบบปรับอารมณ์ไม่ทันเลย และตอนจบที่แอนดี้ส่งของเล่นให้โบนี่ พร้อมกับเล่าเรื่องราวของแต่ละตัวให้ฟัง ถือเป็นการปิดท้ายได้ดีมาก ณ ตอนนั้น (ฉากจบที่เหล่าของเล่นนั่งดูรถของแอนดี้ขับออกไปนั้นกระตุ้นอารมณ์มาก)
พอมีภาคสี่มาอีกก็อยากดูมากจริงๆ พยายามไม่ดูตัวอย่างหลายอันเพราะอยากไปสนุกในโรงทีเดียวเลย แล้วเหมือนเคยเห็นข่าวว่าทอม แฮงค์ที่พากย์วู้ดดี้ ถึงกับร้องไห้ตอนอ่านบทจบ หรืออะไรสักอย่างนี่แหละ ทำให้อยากรู้มากว่าภาคนี้จะเป็นยังไง
อีกอย่างหนึ่งที่ผมรักหนังของทั้งสองค่ายนี้มากนอกจากการ์ตูนที่ภาพสวยแล้ว ผมรู้สึกว่าทีมเขียนบทของพวก Walt Disney / Pixar นั้นเขียนบทได้มีกึ๋นมาก หนังทุกเรื่องจะให้ข้อคิดและคติธรรมเราแบบไม่ต้องยัดเยียดเลย (ถ้าเป็นหนัง ละครไทย จะสอนอะไรก็เอาตัวละครมาพูดๆๆ สอนแบบไม่มีชั้นเชิงอะไรเลย มีพวก GTH ที่ดูมีคลาสหน่อย) และยังมีความเป็น Musical ด้วย ซึ่งเกือบทุกเรื่องต้องมีฉากเล่าเรื่องด้วยเพลง ให้อารมณ์เหมือนดูละครเวทีบรอดเวย์
ยาวและเวิ่นเวิ้อหน่อยนะครับ ผมหยิบ Blu Ray เรื่องนี้มาดูบ่อยมาก เป็นหนังเด็กๆ ที่ผู้ใหญ่ตอนต้นสามสิบกว่าอย่างผมอินมากจริงๆ มีใครรอดูเรื่อง Toy Story 4 เหมือนผมบ้างมั้ยครับ
ขอเสียงคนรอดู Toy Story 4 หน่อยครับ
และเห็นพัฒนาการในทุกภาคเลย เหมือนเราได้เติบโตมากับมัน และผูกพันธ์กับเหล่าของเล่นจริงๆ ผมจะเล่าความรู้สึกที่มีต่อหนังแต่ละภาคแบบไม่ได้ลงรายละเอียดเนื้อเรื่องมากนะครับ ซึ่งคนที่เคยดูแล้วน่าจะเข้าใจ
- ภาคแรกปูเนื้อเรื่องให้เราได้รู้จักกับเหล่าของเล่น (แค่เพลง You've got a friend in me ขึ้นตอนดูครั้งแรก ผมก็หลงรักเหล่าของเล่นซะแล้ว) มีวู้ดดี้เป็นของเล่นผู้นำที่ของเล่นตัวอื่นๆ ทุกตัวเคยเคารพ พอมีบัสเข้ามาทุกอย่างเปลี่ยนไป แล้วมีปัญหากัน กลั่นแกล้งกัน จนต้องจับพลัดจับผลูมาอยู่ด้วยกันในที่ที่เหมือนนรกอย่างบ้านของไอ่เด็กเวรข้างบ้านแอนดี้ (แต่ของเล่นบ้านนั้นน่ารักนะ) ต้องร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน แก้ปัญหาร่วมกัน จนสนิทกัน หนีออกมาได้ยังโดนเพื่อนๆ เข้าใจผิดไล่ลงรถขนของอีก แต่ไม่เป็นไร บินไปร่อนลงสวยๆ ที่รถแอนดี้แทน (ฉากที่วู้ดดี้ และบัสบินขึ้นไปกับจรวด และร่อนลงมา เป็นฉากที่ทำให้ผมร้องไห้ได้หลายรอบมาก) ภาคนี้น่าจดจำมากเพราะเป็นหนังที่ปฎิวัติวงการอนิเมชั่นทั้งโลกเลย และเป็นการเปิดตัวเหล่าของเล่นได้งดงามมาก
- ภาคสอง วู้ดดี้ถูกเสี่ยอ้วนเจ้าของร้านของเล่นลักพาตัวจากบ้านแอนดี้ไป เราได้เห็นความสามัคคีและความรักของเหล่าของเล่นตัวอื่นๆ รวมถึงบัสที่เป็นหัวหน้าทีม ที่จะไปตามวู้ดดี้กลับมา ต้องเดินทางจากบ้านแอนดี้เข้าเมืองกัน ภาคนี้จะออกตลกๆ หน่อย ล้อยันสตาร์วอร์ แต่ก็มีฉากที่เศร้าและดราม่ามากคือฉากที่เจสซี่ เล่าถึงอดีตของตัวเองว่าตนก็เคยมีเจ้าของเหมือนกัน(ผ่านเพลง When she loved me) ภาคนี้สนุกอลเวงมาก หนีจากคอนโด ขับรถไปสนามบิน หนีจากเครื่องบินที่กำลังจะเทคออฟ ตื่นเต้นไปหมด เต็มอื่มกับมิตรภาพระหว่างทางมากมาย
- ภาคสาม ทิ้งช่วงไปนานมากเป็นสิบปี ก็ถึงคราวที่แอนดี้โตเป็นหนุ่มจะต้องเข้ามหาลัยแล้ว เหล่าของเล่นก็ต้องไปอยู่ในสถานรับเลี้ยงเด็ก(เพราะแอนดี้ดันใส่ถุงขยะจะเอาไปเก็บห้องใต้หลังคา แต่แม่แอนดี้ดันเห็นก่อน เลยเอาไปวางหน้าบ้าน วู้ดดี้เห็นจึงต้องลงไปช่วยหนีออกมาจากถุงขยะที่กำลังจะโดนรถขยะเก็บ แล้วก็หนีไปอยู่ในกล่องของเล่นที่จะบริจาค ท้ายรถแทนแม่แอนดี้) ซึ่งก่อนที่จะเอาของเล่นใส่ถุงขยะเพื่อเก็บนั้น แอนดี้ได้หยิบวู้ดดี้และบัสขึ้นมาเพื่อเลือกตัวหนึ่งไปอยู่ด้วยที่มหาลัย แอนดี้เลือกวู้ดดี้(ฉากนี้พีคมาก แอนดี้รักของเล่นคาวบอยดึงเชือกธรรมดาๆ ไม่ใช่ของเล่นที่มีลูกเล่นเยอะอย่างบัส)
เรื่องราวที่สถานรับเลี้ยงเด็กก็เดินตามสูตร มีปัญหามากมายแต่สนุกมาก มาพีคอีกทีฉากห้องเผาขยะที่เหล่าของเล่นกำลังจะตกลงไป(ฉากนี้ร้องไห้ในโรงหนักมาก) แต่ตัดมาฉากต่อมาที่เหล่าเอเลี่ยนสามตาคีบขึ้นมานี่ตลกมากแบบปรับอารมณ์ไม่ทันเลย และตอนจบที่แอนดี้ส่งของเล่นให้โบนี่ พร้อมกับเล่าเรื่องราวของแต่ละตัวให้ฟัง ถือเป็นการปิดท้ายได้ดีมาก ณ ตอนนั้น (ฉากจบที่เหล่าของเล่นนั่งดูรถของแอนดี้ขับออกไปนั้นกระตุ้นอารมณ์มาก)
พอมีภาคสี่มาอีกก็อยากดูมากจริงๆ พยายามไม่ดูตัวอย่างหลายอันเพราะอยากไปสนุกในโรงทีเดียวเลย แล้วเหมือนเคยเห็นข่าวว่าทอม แฮงค์ที่พากย์วู้ดดี้ ถึงกับร้องไห้ตอนอ่านบทจบ หรืออะไรสักอย่างนี่แหละ ทำให้อยากรู้มากว่าภาคนี้จะเป็นยังไง
อีกอย่างหนึ่งที่ผมรักหนังของทั้งสองค่ายนี้มากนอกจากการ์ตูนที่ภาพสวยแล้ว ผมรู้สึกว่าทีมเขียนบทของพวก Walt Disney / Pixar นั้นเขียนบทได้มีกึ๋นมาก หนังทุกเรื่องจะให้ข้อคิดและคติธรรมเราแบบไม่ต้องยัดเยียดเลย (ถ้าเป็นหนัง ละครไทย จะสอนอะไรก็เอาตัวละครมาพูดๆๆ สอนแบบไม่มีชั้นเชิงอะไรเลย มีพวก GTH ที่ดูมีคลาสหน่อย) และยังมีความเป็น Musical ด้วย ซึ่งเกือบทุกเรื่องต้องมีฉากเล่าเรื่องด้วยเพลง ให้อารมณ์เหมือนดูละครเวทีบรอดเวย์
ยาวและเวิ่นเวิ้อหน่อยนะครับ ผมหยิบ Blu Ray เรื่องนี้มาดูบ่อยมาก เป็นหนังเด็กๆ ที่ผู้ใหญ่ตอนต้นสามสิบกว่าอย่างผมอินมากจริงๆ มีใครรอดูเรื่อง Toy Story 4 เหมือนผมบ้างมั้ยครับ