Toy Story 4 เป็นหนังเรื่องหนึ่งที่ผมได้ตั้งตารอมาเป็นปี เนื่องจากชอบแอนิเมชั่นจาก Walt Disney และ Pixar มาก และคาดหวังไว้สูงพอสมควร
กระทู้นี้คงไม่ได้วิเคราะห์อะไรมากมาย เพราะผมเล่าเรื่องไม่ค่อยเก่ง
ก่อนเข้าเรื่องความรู้สึกที่ได้ชม ผมแอบเสียดายเล็กๆ อยู่ 2 อย่างคือ
- ภาคนี้ไม่เล่าเรื่อง Real Time เหมือน 3 ภาคแรก คือ ภาค 1(1995) แอนดี้ และน้องสาวยังเด็กๆ ภาค 2(1999) ทั้งสองก็โตขึ้นมาหน่อย
และภาค 3(2010) แอนดี้เป็นหนุ่มเข้ามหาลัยเลย บอนนี่ยังเด็กๆ อยู่ แต่พอมาภาค 4(2019) นึกว่าบอนนี่จะโตเป็นสาวหน่อย ที่ไหนได้ยังเด็กเท่าๆ กับภาค3 อยู่เลย
- นอกจาก You got a friend in me ตอนต้นเรื่อง รู้สึกภาคนี้จะไม่มีฉาก Musical อีกเลย
เปิดเรื่องมาหลังจากโลโก้ของ Pixar ขึ้น แล้วเป็นฉากฝนตกก็รู้สึกได้เลยว่าภาคนี้ต้องดาร์คมากแน่ๆ หนังเล่าย้อนไปเป็น 10 ปีสมัยยังอยู่บ้านแอนดี้
ฉากแรกที่เหล่าของเล่นกำลังช่วยเจ้ารถบังคับ RC ที่ติดฝนตกอยู่นอกบ้านนั้น เป็นฉากที่ซึ้งในความสามัคคีของเหล่าของเล่นมากๆ ทุกคนดูพยามทุกอย่างจริงๆ แต่ก็ตามมาด้วยฉากที่ Bo Peep ต้องย้ายออกจากบ้าน เป็นฉากเศร้าที่มาตั้งแต่ต้นเรื่องเลย
หลังจากนั้นก็ขึ้นเพลง You got a friend in me ประกอบกับภาพความสัมพันธ์ระหว่างแอนดี้ กับวู้ดดี้,บัส และเหล่าของเล่น และจบเพลงด้วยการส่งต่อของเล่นมาให้บอนนี่ ฉากนี้ประทับใจมาก แต่ละฉากในเพลงนี่ อิ่มเอมใจเหลือเกิน เป็นการย้อนเรื่องราวให้เราได้คิดถึงความหลังดีๆ เก่าๆ ที่ผ่านมา
ต่อมาบอนนี่ต้องไปปฐมนิเทศที่โรงเรียนวันแรก โดยที่ไม่มีใครเป็นเพื่อนเธอเลย เธอจึงสร้าง Forky ขึ้นมาเป็นเพื่อน ฉากนี้น่าสงสารมาก
- Forky เชื่อว่าตัวเองเป็นขยะ ไม่ใช่ของเล่น ตัวละครนี้จะน่ารำคาญมากในช่วงแรกๆ เรื่องของ Forky นั้นได้สอดแทรกการสอนเรื่องความเชื่อมั่นในตัวเองได้เป็นอย่างดี Forky เหมือนคนที่ไม่มั่นใจในตัวเอง เขาต้องการกำลังใจและคนที่คอยช่วยเหลือเขา ซึ่งเหล่าของเล่นก็ทำได้ดีมาก
ในช่วงกลางเรื่องตั้งแต่ตอนที่ครอบครัวบอนนี่ขับรถไปงานCarnival ที่เป็นส่วนการผจญภัยนั้น หนังเล่าเรื่องได้เพลินและมันส์มาก ตั้งแต่ Forky ตกรถลงไป วู้ดดี้ลงไปช่วย เดินเท้ามางาน Carnival แล้วก็เข้าไปร้านขายของเก่า เจอกับตุ๊กตาสาวเจ้าถิ่นตัวแสบ , Bo Peep ปรากฎตัวพร้อมกับทีมรถสกั้งค์ , บัสถูกจับมัดเป็นของรางวัลในซุ้มยิงปืน ฯลฯ รู้สึกหนังบ้าบอมากจริงๆ สนุกแบบแปลกๆ อย่างบอกไม่ถูก
ตัวละคร วู้ดดี้ ซึ่งภาคนี้จะค่อนข้างเด่นที่สุด มีภาวะความเป็นผู้นำอยู่สูงมาก เสียสละ แต่บางครั้งการตัดสินใจบางอย่างก็ต้องดูส่วนรวมเป็นหลักด้วย อย่างฉากที่เข้าไปช่วย Forky จากร้านของเก่า โดยที่เพื่อนๆ เหล่าของเล่นสะบักสะบอมกันออกมา แต่วู้ดดี้เลือกที่จะไม่ยอมแพ้เข้าไปช่วยต่อ โดยบอกว่าจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง แต่กลับเป็นการทิ้งเหล่าของเล่นกลุ่มใหญ่ไว้แทน เป็นคำถามหลักที่หนังได้ทิ้งไว้ให้คนดูได้คิดตาม
อีกหนึ่งตัวละครเด่นที่น่าสนใจคือ Gabby Gabby เธอคือตุ๊กตาสาวตัวร้าย ที่ลึกๆ แล้วน่าสงสาร จากการมีปมเรื่องกล่องเสียงในตัว แต่พอได้จากวู้ดดี้ไปแล้วก็ไม่ได้เป็นอย่างที่เธอคาดไว้ แต่สุดท้ายก็ได้เจ้าของใหม่ที่เป็นเด็กหลงทางที่ร้องไห้ในงาน ความฝันของของเล่นทุกตัวในเรื่องนี้คือมีเจ้าของ สะท้อนเรื่องของคนได้ดีก็คือ คนที่ร้ายนั้น มักจะมีปมบางอย่างในใจ จริงๆ แล้วทุกคนเป็นคนดีได้ ถ้าได้รับการยอมรับทั้งจากตัวเองและคนอื่นๆ เพื่อนก็เป็นสิ่งสำคัญอย่างที่วู้ดดี้ได้แสดงให้เห็น
นอกจากด้านเนื้อเรื่องแล้ว ภาคนี้ภาพสวยและวิวดีมาก ซึ่งในทุกๆ ภาคที่ผ่านมาจะเห็นได้ชัดว่าภาพสวยขึ้นตามลำดับ ภาคนี้ดูแค่วิวก็คุ้มแล้ว เห็นได้ชัดว่าสีของหนังสดขึ้นมาก รายละเอียดในฉากต่างๆ นี่เนียนกริบเลย มุมกล้องในแต่ละฉากถูกออกแบบมาอย่างดี พอหนังภาพสวยมาก มุมกล้องดี อรรถรสในการรับชมก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น
ที่เกินคาดมาพอสมควรคือภาคนี้ยิงมุขได้แบบสุดมาก ฮาก๊ากทั้งโรงไปหลายทีเลย โดยเฉพาะอีสองคู่หูตัวประกอบเป็ดกับกระต่ายนี่ เรียกได้ว่าโคตรแย่งซีน ทั้งสองตัวนี่โคตรกวนตีนเลย สร้างสีสันให้กับหนังได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะฉากที่จะขโมยกุญแจยายเจ้าของร้านของเก่านี่สุดมากๆ (ฮาสุดตั้งแต่มี Toy Story มาเลย) และก็ฉากเลียนแบบเสียง GPS นี่ก็ฮาได้เรื่องอยู่
ในส่วนของฉากเศร้านั้นมีมาเรื่อยๆ ตั้งแต่ตอนต้นเรื่องที่ Bo Peep ต้องออกจากบ้าน , วู้ดดี้โดนพ่อของบอนนี่เหยียบหน้าเบี้ยว (อาจเป็นฉากเล็กๆ แต่รู้สึกเศร้าจริงๆ) , วู้ดดี้ตัดสินใจเลือกที่จะอยู่ต่อกับคนรักอย่าง Bo peep โดนต้องแยกทางกับเหล่าของเล่นที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาอย่างยาวนาน เป็นฉากสุดท้ายที่สะเทือนใจสุดๆ แต่ก็มีความสุขไปพร้อมๆ กัน เพราะถือว่าวู้ดดี้ได้ตัดสินใจแล้ว ฉากนี้สะท้อนสัจธรรมของชีวิตมาก โดยตลอดทั้งเรื่องหนังก็ได้พูดเรื่องการจากลา หรือการต้องยอมทิ้งใครสักคนไปอยู่แล้ว
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะครับ โดยรวมแล้วหนังเรื่องนี้มีครบทุกอารมณ์ ภาพสวยมาก ให้ข้อคิดและสอนในหลายๆ เรื่องได้ดี ตัวละครหลายตัวจะมีประเด็นของตัวเอง อาจจะเล่าได้ไม่หมดแต่รู้สึกได้ว่าหนังมีดีมากจริงๆ หนังทำตามที่ผมคาดหวังไว้ได้ดีทีเดียว ถ้าให้เป็นคะแนนก็คงเต็ม 5 ดาวครับ
ความรู้สึกหลังได้ชม Toy Story 4 (สปอยล์)
กระทู้นี้คงไม่ได้วิเคราะห์อะไรมากมาย เพราะผมเล่าเรื่องไม่ค่อยเก่ง
ก่อนเข้าเรื่องความรู้สึกที่ได้ชม ผมแอบเสียดายเล็กๆ อยู่ 2 อย่างคือ
- ภาคนี้ไม่เล่าเรื่อง Real Time เหมือน 3 ภาคแรก คือ ภาค 1(1995) แอนดี้ และน้องสาวยังเด็กๆ ภาค 2(1999) ทั้งสองก็โตขึ้นมาหน่อย
และภาค 3(2010) แอนดี้เป็นหนุ่มเข้ามหาลัยเลย บอนนี่ยังเด็กๆ อยู่ แต่พอมาภาค 4(2019) นึกว่าบอนนี่จะโตเป็นสาวหน่อย ที่ไหนได้ยังเด็กเท่าๆ กับภาค3 อยู่เลย
- นอกจาก You got a friend in me ตอนต้นเรื่อง รู้สึกภาคนี้จะไม่มีฉาก Musical อีกเลย
เปิดเรื่องมาหลังจากโลโก้ของ Pixar ขึ้น แล้วเป็นฉากฝนตกก็รู้สึกได้เลยว่าภาคนี้ต้องดาร์คมากแน่ๆ หนังเล่าย้อนไปเป็น 10 ปีสมัยยังอยู่บ้านแอนดี้
ฉากแรกที่เหล่าของเล่นกำลังช่วยเจ้ารถบังคับ RC ที่ติดฝนตกอยู่นอกบ้านนั้น เป็นฉากที่ซึ้งในความสามัคคีของเหล่าของเล่นมากๆ ทุกคนดูพยามทุกอย่างจริงๆ แต่ก็ตามมาด้วยฉากที่ Bo Peep ต้องย้ายออกจากบ้าน เป็นฉากเศร้าที่มาตั้งแต่ต้นเรื่องเลย
หลังจากนั้นก็ขึ้นเพลง You got a friend in me ประกอบกับภาพความสัมพันธ์ระหว่างแอนดี้ กับวู้ดดี้,บัส และเหล่าของเล่น และจบเพลงด้วยการส่งต่อของเล่นมาให้บอนนี่ ฉากนี้ประทับใจมาก แต่ละฉากในเพลงนี่ อิ่มเอมใจเหลือเกิน เป็นการย้อนเรื่องราวให้เราได้คิดถึงความหลังดีๆ เก่าๆ ที่ผ่านมา
ต่อมาบอนนี่ต้องไปปฐมนิเทศที่โรงเรียนวันแรก โดยที่ไม่มีใครเป็นเพื่อนเธอเลย เธอจึงสร้าง Forky ขึ้นมาเป็นเพื่อน ฉากนี้น่าสงสารมาก
- Forky เชื่อว่าตัวเองเป็นขยะ ไม่ใช่ของเล่น ตัวละครนี้จะน่ารำคาญมากในช่วงแรกๆ เรื่องของ Forky นั้นได้สอดแทรกการสอนเรื่องความเชื่อมั่นในตัวเองได้เป็นอย่างดี Forky เหมือนคนที่ไม่มั่นใจในตัวเอง เขาต้องการกำลังใจและคนที่คอยช่วยเหลือเขา ซึ่งเหล่าของเล่นก็ทำได้ดีมาก
ในช่วงกลางเรื่องตั้งแต่ตอนที่ครอบครัวบอนนี่ขับรถไปงานCarnival ที่เป็นส่วนการผจญภัยนั้น หนังเล่าเรื่องได้เพลินและมันส์มาก ตั้งแต่ Forky ตกรถลงไป วู้ดดี้ลงไปช่วย เดินเท้ามางาน Carnival แล้วก็เข้าไปร้านขายของเก่า เจอกับตุ๊กตาสาวเจ้าถิ่นตัวแสบ , Bo Peep ปรากฎตัวพร้อมกับทีมรถสกั้งค์ , บัสถูกจับมัดเป็นของรางวัลในซุ้มยิงปืน ฯลฯ รู้สึกหนังบ้าบอมากจริงๆ สนุกแบบแปลกๆ อย่างบอกไม่ถูก
ตัวละคร วู้ดดี้ ซึ่งภาคนี้จะค่อนข้างเด่นที่สุด มีภาวะความเป็นผู้นำอยู่สูงมาก เสียสละ แต่บางครั้งการตัดสินใจบางอย่างก็ต้องดูส่วนรวมเป็นหลักด้วย อย่างฉากที่เข้าไปช่วย Forky จากร้านของเก่า โดยที่เพื่อนๆ เหล่าของเล่นสะบักสะบอมกันออกมา แต่วู้ดดี้เลือกที่จะไม่ยอมแพ้เข้าไปช่วยต่อ โดยบอกว่าจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง แต่กลับเป็นการทิ้งเหล่าของเล่นกลุ่มใหญ่ไว้แทน เป็นคำถามหลักที่หนังได้ทิ้งไว้ให้คนดูได้คิดตาม
อีกหนึ่งตัวละครเด่นที่น่าสนใจคือ Gabby Gabby เธอคือตุ๊กตาสาวตัวร้าย ที่ลึกๆ แล้วน่าสงสาร จากการมีปมเรื่องกล่องเสียงในตัว แต่พอได้จากวู้ดดี้ไปแล้วก็ไม่ได้เป็นอย่างที่เธอคาดไว้ แต่สุดท้ายก็ได้เจ้าของใหม่ที่เป็นเด็กหลงทางที่ร้องไห้ในงาน ความฝันของของเล่นทุกตัวในเรื่องนี้คือมีเจ้าของ สะท้อนเรื่องของคนได้ดีก็คือ คนที่ร้ายนั้น มักจะมีปมบางอย่างในใจ จริงๆ แล้วทุกคนเป็นคนดีได้ ถ้าได้รับการยอมรับทั้งจากตัวเองและคนอื่นๆ เพื่อนก็เป็นสิ่งสำคัญอย่างที่วู้ดดี้ได้แสดงให้เห็น
นอกจากด้านเนื้อเรื่องแล้ว ภาคนี้ภาพสวยและวิวดีมาก ซึ่งในทุกๆ ภาคที่ผ่านมาจะเห็นได้ชัดว่าภาพสวยขึ้นตามลำดับ ภาคนี้ดูแค่วิวก็คุ้มแล้ว เห็นได้ชัดว่าสีของหนังสดขึ้นมาก รายละเอียดในฉากต่างๆ นี่เนียนกริบเลย มุมกล้องในแต่ละฉากถูกออกแบบมาอย่างดี พอหนังภาพสวยมาก มุมกล้องดี อรรถรสในการรับชมก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น
ที่เกินคาดมาพอสมควรคือภาคนี้ยิงมุขได้แบบสุดมาก ฮาก๊ากทั้งโรงไปหลายทีเลย โดยเฉพาะอีสองคู่หูตัวประกอบเป็ดกับกระต่ายนี่ เรียกได้ว่าโคตรแย่งซีน ทั้งสองตัวนี่โคตรกวนตีนเลย สร้างสีสันให้กับหนังได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะฉากที่จะขโมยกุญแจยายเจ้าของร้านของเก่านี่สุดมากๆ (ฮาสุดตั้งแต่มี Toy Story มาเลย) และก็ฉากเลียนแบบเสียง GPS นี่ก็ฮาได้เรื่องอยู่
ในส่วนของฉากเศร้านั้นมีมาเรื่อยๆ ตั้งแต่ตอนต้นเรื่องที่ Bo Peep ต้องออกจากบ้าน , วู้ดดี้โดนพ่อของบอนนี่เหยียบหน้าเบี้ยว (อาจเป็นฉากเล็กๆ แต่รู้สึกเศร้าจริงๆ) , วู้ดดี้ตัดสินใจเลือกที่จะอยู่ต่อกับคนรักอย่าง Bo peep โดนต้องแยกทางกับเหล่าของเล่นที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาอย่างยาวนาน เป็นฉากสุดท้ายที่สะเทือนใจสุดๆ แต่ก็มีความสุขไปพร้อมๆ กัน เพราะถือว่าวู้ดดี้ได้ตัดสินใจแล้ว ฉากนี้สะท้อนสัจธรรมของชีวิตมาก โดยตลอดทั้งเรื่องหนังก็ได้พูดเรื่องการจากลา หรือการต้องยอมทิ้งใครสักคนไปอยู่แล้ว
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะครับ โดยรวมแล้วหนังเรื่องนี้มีครบทุกอารมณ์ ภาพสวยมาก ให้ข้อคิดและสอนในหลายๆ เรื่องได้ดี ตัวละครหลายตัวจะมีประเด็นของตัวเอง อาจจะเล่าได้ไม่หมดแต่รู้สึกได้ว่าหนังมีดีมากจริงๆ หนังทำตามที่ผมคาดหวังไว้ได้ดีทีเดียว ถ้าให้เป็นคะแนนก็คงเต็ม 5 ดาวครับ