คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 15
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้ แมวน้อยจะนำมาความหรรษามาสู่ท่าน 555
ขึ้นชื่อว่าโรค มันจะมีองค์ประกอบ3อย่างครับ
1.แหล่งของโรค_ปัจจัยที่ทำให้คนเราไม่สบายก็คือเชื้อโรค โรคทางจิตเวชก็เช่นกัน
ปัจจัยภายนอก เช่น ปัญหาเรื่องเงิน,ปัญหาความสัมพันธ์,การตั้งครรภ์,ความเหงา,การโดนกลั่นแกล้ง,แอลกอฮอล์และสารเสพติด,การสูญเสีย,ปัญหาเรื่องงาน,ความเครียด
ปัจจัยภายใน เช่น นิสัยส่วนตัว,ประสบการณ์ในวัยเด็ก,ครอบครัว,ปัญหาสุขภาพระยะยาว
ดังนั้นจังไม่ควรตัดสินปัญหาของผู้ป่วยเอง ควรเป็นหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญมากกว่า
2.วิธีแพร่เชื้อโรค_ถ้าเทียบกับการติดโรคมาลาเรียเพราะถูกยุงก้นปล่องที่มีเชื้อกัด โรคซึมเศร้าก็คือการที่ผู้ป่วยรับเอาปัจจัยข้อ1 เข้ามากระทบตัวเองเรื่อยๆ
3.ผู้ป่วย_พอมีปัจจัยทั้งสองข้อแล้ว บางคนมีภูมิคุ้มกันสูง บางคนภูมิคุ้มกันต่ำ โรคบางอย่างเป็นแล้วก็หายง่าย หรือหายแล้วกลับมาเป็นอีก ยิ่งถ้าผู้ป่วยยังแวดล้อมด้วยปัจจัยสองข้อแรกโอกาสหายก็จะยาก หรือหายแล้วก็กลับมาเป็นซ้ำอีก บางโรคถึงจุดนึงก็ต้องรักษากันตลอดชีวิต แต่เราก็ยังสามารถมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ต่อไปได้
ถ้าคนไข้ไขมันสูงต่อให้หาหมอยังไง กินยาแค่ไหน ถ้าไม่ปรับพฤติกรรม ไม่ออกกำลังกาย ไม่ลดอาหารที่มีไขมัน ก็ยากที่จะหายสนิท แต่บางคนแค่ปรับพฤติกรรมตัวเอง หันมาออกกำลังกาย ไม่ต้องกินยาก็หายได้ ขอแค่คนไข้ร่วมมือกับแพทย์อีกแรง การรักษาก็จะมีประสิทธิภาพมาก
ในส่วนของโรคจิตเวช ส่วนใหญ่การได้รับการรักษาแต่เนิ่นๆ จะมีโอกาสหายสูงกว่ามาก และการได้พบจิตแพทย์เพื่อพูดคุยบำบัดเบื้องต้นก็ได้ผลดีพอๆกับการกินยาเลยด้วย ดังนั้นถ้าเริ่มรู้สึกไม่ปกติการไปพบแพทย์เพื่อตรวจอาการก็เป็นสิ่งที่ดีในการรับรู้ว่าเรามีปัญหาอะไรและควรรับมืออย่างไร การกินยาอาจจะเป็นการแก้ที่ปลายเหตุ แต่ในเมื่อคุณได้รับเชื้อแล้ว ถ้าร่างกายมันบอกว่าไม่ไหว การใช้ยาก็คือตัวช่วยอีกแรงทางการแพทย์ เพื่อให้ร่างกายคุณมีพลังในการสู้กับเชื้อโรค เมื่อได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี หลีกเลี่ยงปัจจัยสองข้อได้ พัฒนาร่างกายจิตใจให้มีภูมิต้านทานมากขึ้น โรคจิตเวชก็ทำอะไรเราไม่ได้ครับ
ขึ้นชื่อว่าโรค มันจะมีองค์ประกอบ3อย่างครับ
1.แหล่งของโรค_ปัจจัยที่ทำให้คนเราไม่สบายก็คือเชื้อโรค โรคทางจิตเวชก็เช่นกัน
ปัจจัยภายนอก เช่น ปัญหาเรื่องเงิน,ปัญหาความสัมพันธ์,การตั้งครรภ์,ความเหงา,การโดนกลั่นแกล้ง,แอลกอฮอล์และสารเสพติด,การสูญเสีย,ปัญหาเรื่องงาน,ความเครียด
ปัจจัยภายใน เช่น นิสัยส่วนตัว,ประสบการณ์ในวัยเด็ก,ครอบครัว,ปัญหาสุขภาพระยะยาว
ดังนั้นจังไม่ควรตัดสินปัญหาของผู้ป่วยเอง ควรเป็นหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญมากกว่า
2.วิธีแพร่เชื้อโรค_ถ้าเทียบกับการติดโรคมาลาเรียเพราะถูกยุงก้นปล่องที่มีเชื้อกัด โรคซึมเศร้าก็คือการที่ผู้ป่วยรับเอาปัจจัยข้อ1 เข้ามากระทบตัวเองเรื่อยๆ
3.ผู้ป่วย_พอมีปัจจัยทั้งสองข้อแล้ว บางคนมีภูมิคุ้มกันสูง บางคนภูมิคุ้มกันต่ำ โรคบางอย่างเป็นแล้วก็หายง่าย หรือหายแล้วกลับมาเป็นอีก ยิ่งถ้าผู้ป่วยยังแวดล้อมด้วยปัจจัยสองข้อแรกโอกาสหายก็จะยาก หรือหายแล้วก็กลับมาเป็นซ้ำอีก บางโรคถึงจุดนึงก็ต้องรักษากันตลอดชีวิต แต่เราก็ยังสามารถมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ต่อไปได้
ถ้าคนไข้ไขมันสูงต่อให้หาหมอยังไง กินยาแค่ไหน ถ้าไม่ปรับพฤติกรรม ไม่ออกกำลังกาย ไม่ลดอาหารที่มีไขมัน ก็ยากที่จะหายสนิท แต่บางคนแค่ปรับพฤติกรรมตัวเอง หันมาออกกำลังกาย ไม่ต้องกินยาก็หายได้ ขอแค่คนไข้ร่วมมือกับแพทย์อีกแรง การรักษาก็จะมีประสิทธิภาพมาก
ในส่วนของโรคจิตเวช ส่วนใหญ่การได้รับการรักษาแต่เนิ่นๆ จะมีโอกาสหายสูงกว่ามาก และการได้พบจิตแพทย์เพื่อพูดคุยบำบัดเบื้องต้นก็ได้ผลดีพอๆกับการกินยาเลยด้วย ดังนั้นถ้าเริ่มรู้สึกไม่ปกติการไปพบแพทย์เพื่อตรวจอาการก็เป็นสิ่งที่ดีในการรับรู้ว่าเรามีปัญหาอะไรและควรรับมืออย่างไร การกินยาอาจจะเป็นการแก้ที่ปลายเหตุ แต่ในเมื่อคุณได้รับเชื้อแล้ว ถ้าร่างกายมันบอกว่าไม่ไหว การใช้ยาก็คือตัวช่วยอีกแรงทางการแพทย์ เพื่อให้ร่างกายคุณมีพลังในการสู้กับเชื้อโรค เมื่อได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี หลีกเลี่ยงปัจจัยสองข้อได้ พัฒนาร่างกายจิตใจให้มีภูมิต้านทานมากขึ้น โรคจิตเวชก็ทำอะไรเราไม่ได้ครับ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 5
เมื่อ 8 ปีก่อน ผมต้องเจอกับเรื่องที่ไม่คาดคิดว่าตัวเองจะได้เจอในชีวิตนี้ ผมจิตตก ไปไม่เป็น นอนไม่หลับ ถึงหลับก็หลับไม่สนิท กินข้าวไม่ลง น้ำหนักลด ตอนจะหลับตานอนคิดทุกคืนว่าอยากหลับไปแล้วไม่ต้องตื่นขึ้นมาเผชิญความเป็นจริงอีกเลย คนรอบข้างพยายามให้กำลังใจและช่วยเหลือ แต่ไม่สามารถช่วยได้ แม้กระทั่งคนในครอบครัวก็ช่วยอะไรไม่ได้ สุดท้ายผมตัดสินใจไปบวช บวชได้เกือบเดือน สภาพจิตใจค่อยๆดีขึ้น ผมเลิกหาคำตอบให้กับตัวเองว่าทำไม เพราะอะไร หรือเพราะใคร ที่ทำให้ผมต้องเจอกับเรื่องนี้ คิดแค่ว่าชีวิตมนุษย์มันก็แค่นี้ ตัวเราเมื่อเทียบกับโลกใบนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับจุลินทรีย์หรือแบคทีเรีย เราเป็นเพียงหนึ่งในหลายล้านๆฟันเฟืองที่ขับเคลื่อนเวลาให้หมุนไป เพราะฉะนั้น เมื่อมีเหตุไม่คาดคิดเกิดขึ้นในชีวิต จงพยายามทำใจยอมรับเรื่องที่เกิด แล้วหาทางใช้ชีวิตต่อไป ไม่มีใครย้อนเวลากลับไปแก้ไขเรื่องที่ผ่านมาแล้วได้ แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ทำไม่ได้ และอย่าคาดหวังเรื่องต่างๆในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งอย่าคาดหวังหรือฝากความหวังไว้กับบุคคลอื่น ไม่ว่าจะเป็นคนสนิท คนรัก หรือแม้กระทั่งคนที่มีบุญคุณกับตัวเราอย่างพ่อแม่ เพราะเราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าวันไหนเค้าจะทำให้เราผิดหวัง ไม่คาดหวัง ก็จะไม่ผิดหวัง ไม่ผิดหวังก็จะไม่เป็นทุกข์
อาจจะไม่ค่อยเกี่ยวกับเรื่องของ จขกท แต่ผมอยากแชร์ประสบการณ์ของตัวเอง ผมคิดว่าเมื่อคนเราเจอเรื่องทุกข์ สิ่งที่จะช่วยให้ผ่านไปได้มีแค่ 2 อย่างเท่านั้น คือตัวเราเอง และเวลา ใครอื่นไม่ว่าจะเป็นจิตแพทย์ หรือพระพุทธเจ้า ก็ช่วยไม่ได้ ถ้าตัวเราเองไม่สามารถเปลี่ยนมุมมองหรือทัศนคติของตัวเองได้ และเมื่อเปลี่ยนได้ ก็ต้องใช้เวลา ไม่ใช่เพื่อให้ลืมสิ่งที่เคยเกิดหรือเคยพบเจอ แต่เพื่อให้ตัวเราค่อยๆมองโลกในมุมใหม่ ค่อยๆยอมรับว่าโลกไม่ได้หมุนรอบตัวเรา
อาจจะไม่ค่อยเกี่ยวกับเรื่องของ จขกท แต่ผมอยากแชร์ประสบการณ์ของตัวเอง ผมคิดว่าเมื่อคนเราเจอเรื่องทุกข์ สิ่งที่จะช่วยให้ผ่านไปได้มีแค่ 2 อย่างเท่านั้น คือตัวเราเอง และเวลา ใครอื่นไม่ว่าจะเป็นจิตแพทย์ หรือพระพุทธเจ้า ก็ช่วยไม่ได้ ถ้าตัวเราเองไม่สามารถเปลี่ยนมุมมองหรือทัศนคติของตัวเองได้ และเมื่อเปลี่ยนได้ ก็ต้องใช้เวลา ไม่ใช่เพื่อให้ลืมสิ่งที่เคยเกิดหรือเคยพบเจอ แต่เพื่อให้ตัวเราค่อยๆมองโลกในมุมใหม่ ค่อยๆยอมรับว่าโลกไม่ได้หมุนรอบตัวเรา
แสดงความคิดเห็น
::: ประสบการณ์การพบจิตแพทย์ และ จิตแพทย์วินิจฉัยว่าไม่ต้องทานยา :::
วันนี้ขออนุญาตมาเล่าเรื่องการไปพบจิตแพทย์เผื่อว่าอาจจะเป็นประโยชน์กับใครบ้างหรือไม่ก็ถือว่าฟังเราเล่าไปสนุกๆนะคะ
เริ่มเลยเรามีเรื่องมากระทบจิตใจเราครั้งใหญ่จนเราไปไม่ถูกคิดมากจนเราคิดว่าเราควรจะพาตัวเองไปพบจิตแพทย์
เราโชคดีได้ไปเจอคุณหมอวิเชียรที่คลินิกส่วนตัวของคุณหมอ
เริ่มแรกเราโทรไปโรงพยาบาลมนารมย์ก่อนค้นหาจากGoogle เพราะใกล้บ้านที่สุด แต่คิวว่างอีกทีอีก1-2 วันเรารอไม่ไหวเลยขอไปหาคุณหมอวิเชียรก่อนซึ่งอยู่แถวนนทบุรี ซึ่งปกติคุณหมอก็ยุ่งมากคิวแทบไม่ว่างเช่นกันแต่พอดีภรรยาคุณหมอ(ซึ่งก็ทำงานช่วยคุณหมอ) ช่วยจัดคิวให้เราเลยได้ไปในวันเดียวกันค่ะ
เราไปหาคุณหมอวิเชียร. ที่คลินิกส่วนตัวหลังเวลาราชการทำงานของคุณหมอ
ไปถึงก็กรอกประวัติส่วนตัวแล้วนั่งรอไม่นานก็ได้เข้าพบคุณหมอเพราะเราไปรอคิวแรกเลยค่ะ(คือภรรยาคุณหมอบอกว่าให้เรามารอถ้ามีคิวพอแทรกคิวได้ก็จะให้เราเข้าพบแต่ให้คนที่นัดไว้ล่วงหน้าก่อนเจอก่อนซึ่งเราก็เข้าใจดีเราเลยรีบไปรอก่อนตั้งแต่คลินิกยังไม่เปิดพอดีช่วงนั้นรถติดคนที่นัดก่อนไว้แล้วยังมาไม่ถึงเราเลยได้เข้าพบก่อน)
เจอคุณหมอวิเชียรคุณหมอใจดีมากค่ะเราไม่รู้สึกเกร็ง รู้สึกเหมือนกำลังนั่งคุยกับญาติผู้ใหญ่มากกว่า
เราก็เริ่มเล่าเรื่องเราที่รบกวนจิตใจเราให้คุณหมอฟังคุณหมอก็รับฟังอย่างดีอย่างตั้งใจพร้อมจดไปด้วยเป็นระยะๆ
เล่าไปเราก็ร้องไห้ไปเรื่องมันใหญ่มากสำหรับเราเป็นเรื่องส่วนตัวล้วนๆเลยค่ะ
มันเหมือนเราตั้งใจทุ่มเททั้งกำลังกาย. กำลังใจ และกำลังเงินให้กับงานๆหนึ่งที่สำคัญกับชีวิตเรา เราเป็นเจ้าของงานแต่ก็มีคนๆหนึ่งมางานสำคัญของเราและมาทำร้ายจิตใจเราทำลายสิ่งของบางอย่างของเราไปด้วยทำเราเสียใจมาก
แต่วันนั้นเราก็พยายามอดทนร้องไห้แล้วก็พยายามฝืนใจหยุดทำหน้าที่เราต่อไปจนจบงานด้วยรอยยิ้มเพราะงานนั้นเราสร้างมันมากับมือของเรามันมีความหมายความสำคัญอย่างยิ่งกับเราเราไม่อยากให้มันพังลงและยังมีคนอื่นในงานอีกมากที่ไม่รู้เรื่องอะไรด้วยเราไม่อยากให้งานหมดสนุก.
เราก็เล่าเหตุการณ์ทุกอย่างตั้งแต่เริ่มต้นก่อนหน้างานว่าคนนั้นทำอะไรเราไว้บ้าง
คุณหมอฟังเรื่องราวต่างๆมากมากอย่างละเอียดคุณหมอพูดกับเราว่าคิดไม่ถึงว่าคนๆนั้นจะทำและแสดงออกได้อย่างนี้ คุณหมอบอกพฤติกรรมคนนั้นที่ทำกับเราจากหลายๆเหตุการณ์รวมทั้งในวันนั้นด้วยว่าไม่ปกติ เรานะปกติดี
สิ่งหนึ่งทำให้เราคิดได้จากคำพูดของคุณหมอคือ
เราบอกเราต้องการยุติธรรมจากเหตุการณ์ครั้งนี้ต้องมีคนรับผิดชอบและต้องมีคำขอโทษ
คุณหมอถามกลับเราว่าเราทำงาน..... อาชีพเรารู้ใช่ไหมว่าความยุติธรรมบ่อยครั้งมันไม่มีอยู่จริงหาไม่เจอ
เรานิ่งเงียบไปสักครู่ก่อนยิ้มออกมาทั้งน้ำตาบอกจริงด้วยค่ะคุณหมอ
คุณหมอบอกสำหรับเรื่องเราไม่ต้องทานยาแค่ให้พยายามมองจุดอื่นที่มากกว่าจุดดำจุดหนึ่งเพราะนอกจากคนนั้นแล้วคนอื่นๆอีกมากมายในงานนั้นดีกับเราทุกคนยินดีมีความสุขกับเราทุกคนคุณหมอก็วาดรูปในกระดาษบอกจุดดำจุดเล็กๆไม่ต้องไปคิดไม่ต้องไปมองมองจุดอื่นที่กว้างกว่านั้นว่ามันคือสีขาววงใหญ่น่ามองน่าจดจำกว่าจุดสีดำตั้งเยอะ
เราขอกระดาษใบนั้นจากคุณหมอมาด้วยค่ะบอกขอมาเก็บไว้เตือนสติคุณหมอก็ให้เรามาด้วยความเต็มใจ
คุณหมอนั่งฟังเราแบบไม่มีเร่งเวลาเราเลยค่ะเราคุยกับคุณหมอประมาณเกือบ2 ชั่วโมงได้ค่ะเราประทับใจมาก
คุณหมอวิเชียรรับฟังเราช่วยเตือนสติเราเวลาเกือบ2 ชั่วโมงทำเราออกมาเรายิ้มเลยค่ะมันเหมือนมีคนที่เข้าใจเรารับฟังเราสอนเราเตือนเราอย่างเป็นกลางอย่างเป็นธรรม
คุณหมอบอกเราไม่จำเป็นต้องทานยาเรานะปกติดีนอนหลับได้ ทานข้าวได้ เล่นได้ ยิ้มได้ ไม่มีคิดทำร้ายตัวเอง มีสติรู้ตัวดีทุกอย่างเพียงแต่มีเรื่องมากระทบใจเราเท่านั้นเอง
ก่อนกลับเราก็ยกมือไหว้คุณหมอขอจับมือคุณหมอ ขอบคุณคุณหมอ บอก คุณหมอว่าเรารู้สึกดีขึ้นมากๆเลยเราขอมาคุยด้วยอีกได้ไหมคะ? เราขอไปเองเลยค่ะทั้งๆที่คุณหมอบอกไม่ต้องมาอีกก็ได้แต่เราบอกเราอยากมาอีกและเราก็มาอีกรวมแล้วเจอคุณหมอ3 ครั้งค่ะ
ดีต่อใจมากมายสบายใจมากแค่พูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญที่เข้าใจปัญหาเรารับฟังเรามองอย่างเป็นกลาง แค่นี้เราก็ดีขึ้นมากๆค่ะ
เราไม่เก่งหรือมีประสบการณ์ถึงขนาดจะแนะนำใครได้ในเรื่องเกี่ยวกับการไปพบจิตแพทย์
เพียงแต่เราอยากจะมาแชร์ประสบการณ์ที่เราดึงตัวเราเองไปพบจิตแพทย์เพราะเราไม่อยากจะเป็นทุกข์ใจร้องให้เฝ้าถามตัวเราเองว่าทำไมเค้าถึงทำกับเราแบบนี้ทั้งๆที่เราไม่เคยไปทำอะไรให้เค้าหรือครอบครัวเค้าเลยไม่เคยไปสร้างความเดือดร้อนหรือขอความช่วยเหลือหรือรบกวนอะไรแม้แต่ครั้งเดียว
เราถามคำถามนี้กับคุณหมอ
คุณหมอเขียนในกระดาษให้เราอ่านตอบเราว่า“ไม่ต้องไปหาคำตอบว่าทำไมเค้าถึงทำกับเรา” เลิกตั้งคำถามในใจว่า“ทำไม”
ให้เราเปลี่ยนเป็น“ทำอย่างไร” ให้เราเลิกคิดให้เรามองจุดดีที่มีมากมายจุดอื่นที่คนอื่นในงานมอบให้เราทำอย่างไรให้เราพาตัวเราเองดีขึ้น
คำปรึกษาคำแนะนำคำเตือนสติจากคุณหมอดึงเราออกมาจากความทุกข์ใจเราได้ค่ะคุณหมอไม่ได้เข้าข้างเรายังบอกเราเลยว่าพอเค้าทำไม่ดีกับเราเราควรน่าจะแสดงออกทำแบบนี้ๆมากกว่าที่เราทำไปแล้ว
นี้คืออีกเหตุผลหนึ่งที่เรามาเขียนกระทู้ในวันนี้อยากจะบอกคนที่อาจจะยังลังเลใจว่าจะไปหาหมอดีไหม? ควรจะเริ่มต้นตรงไหน?
ถ้าให้เราแนะนำสำหรับเราGoogle หาข้อมูลเลยค่ะมีให้อ่านมากมายทั้งข้อมูลคนที่ไปหาหมอมาแล้วยาอะไรที่ช่วยได้(ที่คุณหมอจัดให้) ทั้งที่ตั้งโรงพยาบาลต่างๆที่ใกล้บ้านรายละเอียดการติดต่อ
โทรศัพท์ไปนัดเจอผู้เชี่ยวชาญเลยค่ะดีกว่ามานั่งคิดๆในใจไม่สบายใจเปล่าๆหาทางออกที่ดีที่สุดให้กับตัวเองดีกว่า
The sooner the better!
ขอบคุณคุณหมอวิเชียรนะคะและภรรยาคุณหมอด้วยนะคะจากFC ค่ะ
ขอบคุณนะคะที่มาอ่าน