หลังจากที่ปล่อยความกังวล ความว้าวุ่นในหัวมาเนิ่นนาน ก็ถึงเวลาไปพบแพทย์สักที...
เรื่องมีอยู่ว่า ผมเนี่ย คือรู้ตัวเองระดับนึงละ ว่ามีความผิดปกติทางด้านสภาพจิตใจ
แต่ก็ไม่กล้าไปพบแพทย์เฉพาะทางอย่างจิตแพทย์หรือโทรไปปรึกษาที่กรมสุขภาพจิต เพราะเราไม่รู้ว่าเราจะทำตัวอย่างไร พูดอะไรบ้าง
ก็ทิ้งมันมานานโขเลยทีเดียว ถ้านับช่วงที่อาการออกแรกๆ ก็ประมาณ 11-12 ปี (ตอนนั้นไม่รู้จักหรอกโรคซึมเศร้า,ไบโพลาร์)
...จนมาถึงจุดที่ ไม่ไหวแล้ว ถ้าปล่อยไว้ ตัวเองต้องหาทางตายให้ได้อย่างแน่นอน
เพราะทุกเช้าที่ตื่นสิ่งที่วนเวียนอยู่ในหัวคือ "เราไม่อยากมีชีวิตแล้ว" แต่ก่อนมันไม่ได้ชัดเจนขนาดนี้ จะเป็นแบบ คุยกับตัวเองในหัว วิตกกังวล คิดมากเรื่องต่างๆ
สิ่งที่ผมกลัวไม่ใช่ความตายนะ ผมกลัวเจ็บ 55555 ถึงจะเคยบาดเจ็บมาหลายครั้งแล้วแต่ก็ไม่ชินอยู่ดี
>>>> เกริ่นมานาน เอาหละ ได้เวลาไปพบแพทย์ละ เริ่มจากหาข้อมูล รพ.ในพื้นที่ที่มีแผนกจิตเวชก่อน แล้วดูตารางเวลาตรวจของหมอ
ผมเลือกไปในวันจันทร์เช้าๆ เพราะช่วงตรวจทั่วไปคือตั้งแต่ 8.20-12.00
จากพื้นที่ที่ผมอยู่ไปถึงรพ. ขึ้นรถตู้ประจำทางไปเพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้น แล้วก็เดินต่อจาก บขส.ไปอีก 2.1 กิโลเมตร(เลือกเดินเพราะมันยังเช้าอยู่)
หลังจากเดินทางมาถึงก็ถาม บุรุษพยาบาลว่าแผนกจิตเวชอยู่ไหน พอทราบแล้วก็เดินไปหา
ตอนแรกคิดว่าหลง เพราะใช้ชื่อว่า "คลินิกสุขภาพใจ" แถมอยู่ข้างๆทันตกรรมอีก(แต่คนเยอะมาก ตั้งแต่เด็กจนถึงผู้สูงอายุเลย)
เราก็ไปทำบัตร วัดความดันเหมือนกับหาหมอปกติเลย แล้วก็รอคิว แต่ด้วยความที่หมอที่จะตรวจเราไม่อยู่ จึงเป็นหมออีกคนที่มาช้า
พยาบาลเลยพาเราไปซักประวัติก่อน
"ปกติไม่มีเวลาขนาดนี้นะเนี่ย พอดีหมอยังไม่มา เรามาคุยกันก่อน"
พยาบาลบอกแล้วก็ถามถึงว่าทำไมถึงมา เราก็ตอบไปว่า อยากรู้ว่าตัวเองมีแนวโน้มเป็นโรคซึมเศร้าหรือเปล่า?
เราเล่าตั้งแต่มีอาการ สาเหตุของมัน จนถึงเราในปัจจุบัน...
หลังจากพยาบาลพิมพ์ข้อมูลลงในคอมเสร็จ ก็หันมายิ้มกับเรา แล้วเริ่มสนทนากับเรา แลกเปลี่ยนข้อมูล
พยาบาลพูดให้คำแนะนำเราดีมาก แต่ปัญหาอยู่ที่ตัวเราอะ มีคำถามตลอด(หมายถึงความเคลือบแคลงสงสัยในใจ)
เขาก็บอกให้เราเลิกตั้งคำถาม เลิกคิดมากซะ (มันค่อนข้างยากเพราะเป็นบุคลิกเรามาตั้งนาน ต้องค่อยเป็นค่อยไป)
ก็คุยกันจนหมอมา ผมก็มีน้ำตาบ้างแหละ ทั้งๆที่พยาบาลไม่ได้พูดอะไรมากมายเลย
...คราวนี้มาพบกับหมอบ้าง หลังจากคุยกับพยาบาลมานาน
หมอถามเหมือนกับพยาบาลถามเลยว่าเป็นอะไรมา เราก็บอกแบบเดียวกับพยาบาล
หมอถามถึงความรุนแรง สภาพที่อยู่ ความกดดันต่างๆ ซึ่งไม่เยอะ เพราะสามารถอ่านได้จากที่พยาบาลพิมพ์ไว้
"น้องไม่ไหวแล้วนะเนี่ย เป็นหนักเลย สะดวกที่จะมาพบกันอีกไหม หมออยากจะนัดบ่อยๆเพราะเพิ่งมาครั้งแรก"
"ก็สะดวกครับ"
"งั้นเป็นอาทิตย์หน้า เดี๋ยวหมอให้ยาไปลองดูก่อน"
เราก็เดินออกมา เจอกับพี่พยาบาลคนเดิมตรง "บริการหลังตรวจ"
พี่แกก็บอกเราว่า"เราต้องกินยาประมาณหกเดือนนะ สู้ๆเราทำได้"
ยาที่เราได้ก็เหมือนๆกับคนไข้โรคซึมเศร้าคนอื่นๆ หลักๆอย่าง sertraline และยาช่วยนอนพวก Diazepam,Lorazepam
...........................................................................................................................................................................
ผ่านไปหนึ่งอาทิตย์ ก็ไปเจอหมออีกครั้ง เราก็อธิบายผลของยาไป ส่วนมากเป็นผลข้างเคียงมากกว่า
ผลรักษาโดยรวมมันก็ยังไม่ดีขึ้น (หมอเพิ่งมาบอกว่ากว่ายาจะทำงานก็เป็นเดือน)
การกินยาสามตัวนี้ทำให้เราเอ๋อๆอ๊องๆไปทำงานในตอนเช้า 555555
หมอเลยบอกว่าพวกยานอนหลับนั้นไม่ต้องกินก็ได้ แต่หลักๆคือ sertraline ต้องกินต่อเนื่อง
แล้วหมอก็เพิ่มยามาให้ แล้วนัดกันในอีกสามอาทิตย์
..................................................................................................................................
สรุปแล้ว ก็ไม่ต่างจากการไปหาหมอธรรมดา ก็มีการสอบถามปกติ ไม่ได้น่ากลัวอย่างในจินตนาการ ไม่ได้ต้องไปนอนบนเบาะ ระบายให้หมอฟัง 55555
แต่โดยรวมก็โอเคครับ ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับตัวผมเองด้วย
เวิ่นเยอะไปหน่อย ขอโทษด้วยนะครับ
มาเล่าประสบการณ์ พบจิตแพทย์ครั้งแรกครับ
เรื่องมีอยู่ว่า ผมเนี่ย คือรู้ตัวเองระดับนึงละ ว่ามีความผิดปกติทางด้านสภาพจิตใจ
แต่ก็ไม่กล้าไปพบแพทย์เฉพาะทางอย่างจิตแพทย์หรือโทรไปปรึกษาที่กรมสุขภาพจิต เพราะเราไม่รู้ว่าเราจะทำตัวอย่างไร พูดอะไรบ้าง
ก็ทิ้งมันมานานโขเลยทีเดียว ถ้านับช่วงที่อาการออกแรกๆ ก็ประมาณ 11-12 ปี (ตอนนั้นไม่รู้จักหรอกโรคซึมเศร้า,ไบโพลาร์)
...จนมาถึงจุดที่ ไม่ไหวแล้ว ถ้าปล่อยไว้ ตัวเองต้องหาทางตายให้ได้อย่างแน่นอน
เพราะทุกเช้าที่ตื่นสิ่งที่วนเวียนอยู่ในหัวคือ "เราไม่อยากมีชีวิตแล้ว" แต่ก่อนมันไม่ได้ชัดเจนขนาดนี้ จะเป็นแบบ คุยกับตัวเองในหัว วิตกกังวล คิดมากเรื่องต่างๆ
สิ่งที่ผมกลัวไม่ใช่ความตายนะ ผมกลัวเจ็บ 55555 ถึงจะเคยบาดเจ็บมาหลายครั้งแล้วแต่ก็ไม่ชินอยู่ดี
>>>> เกริ่นมานาน เอาหละ ได้เวลาไปพบแพทย์ละ เริ่มจากหาข้อมูล รพ.ในพื้นที่ที่มีแผนกจิตเวชก่อน แล้วดูตารางเวลาตรวจของหมอ
ผมเลือกไปในวันจันทร์เช้าๆ เพราะช่วงตรวจทั่วไปคือตั้งแต่ 8.20-12.00
จากพื้นที่ที่ผมอยู่ไปถึงรพ. ขึ้นรถตู้ประจำทางไปเพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้น แล้วก็เดินต่อจาก บขส.ไปอีก 2.1 กิโลเมตร(เลือกเดินเพราะมันยังเช้าอยู่)
หลังจากเดินทางมาถึงก็ถาม บุรุษพยาบาลว่าแผนกจิตเวชอยู่ไหน พอทราบแล้วก็เดินไปหา
ตอนแรกคิดว่าหลง เพราะใช้ชื่อว่า "คลินิกสุขภาพใจ" แถมอยู่ข้างๆทันตกรรมอีก(แต่คนเยอะมาก ตั้งแต่เด็กจนถึงผู้สูงอายุเลย)
เราก็ไปทำบัตร วัดความดันเหมือนกับหาหมอปกติเลย แล้วก็รอคิว แต่ด้วยความที่หมอที่จะตรวจเราไม่อยู่ จึงเป็นหมออีกคนที่มาช้า
พยาบาลเลยพาเราไปซักประวัติก่อน
"ปกติไม่มีเวลาขนาดนี้นะเนี่ย พอดีหมอยังไม่มา เรามาคุยกันก่อน"
พยาบาลบอกแล้วก็ถามถึงว่าทำไมถึงมา เราก็ตอบไปว่า อยากรู้ว่าตัวเองมีแนวโน้มเป็นโรคซึมเศร้าหรือเปล่า?
เราเล่าตั้งแต่มีอาการ สาเหตุของมัน จนถึงเราในปัจจุบัน...
หลังจากพยาบาลพิมพ์ข้อมูลลงในคอมเสร็จ ก็หันมายิ้มกับเรา แล้วเริ่มสนทนากับเรา แลกเปลี่ยนข้อมูล
พยาบาลพูดให้คำแนะนำเราดีมาก แต่ปัญหาอยู่ที่ตัวเราอะ มีคำถามตลอด(หมายถึงความเคลือบแคลงสงสัยในใจ)
เขาก็บอกให้เราเลิกตั้งคำถาม เลิกคิดมากซะ (มันค่อนข้างยากเพราะเป็นบุคลิกเรามาตั้งนาน ต้องค่อยเป็นค่อยไป)
ก็คุยกันจนหมอมา ผมก็มีน้ำตาบ้างแหละ ทั้งๆที่พยาบาลไม่ได้พูดอะไรมากมายเลย
...คราวนี้มาพบกับหมอบ้าง หลังจากคุยกับพยาบาลมานาน
หมอถามเหมือนกับพยาบาลถามเลยว่าเป็นอะไรมา เราก็บอกแบบเดียวกับพยาบาล
หมอถามถึงความรุนแรง สภาพที่อยู่ ความกดดันต่างๆ ซึ่งไม่เยอะ เพราะสามารถอ่านได้จากที่พยาบาลพิมพ์ไว้
"น้องไม่ไหวแล้วนะเนี่ย เป็นหนักเลย สะดวกที่จะมาพบกันอีกไหม หมออยากจะนัดบ่อยๆเพราะเพิ่งมาครั้งแรก"
"ก็สะดวกครับ"
"งั้นเป็นอาทิตย์หน้า เดี๋ยวหมอให้ยาไปลองดูก่อน"
เราก็เดินออกมา เจอกับพี่พยาบาลคนเดิมตรง "บริการหลังตรวจ"
พี่แกก็บอกเราว่า"เราต้องกินยาประมาณหกเดือนนะ สู้ๆเราทำได้"
ยาที่เราได้ก็เหมือนๆกับคนไข้โรคซึมเศร้าคนอื่นๆ หลักๆอย่าง sertraline และยาช่วยนอนพวก Diazepam,Lorazepam
...........................................................................................................................................................................
ผ่านไปหนึ่งอาทิตย์ ก็ไปเจอหมออีกครั้ง เราก็อธิบายผลของยาไป ส่วนมากเป็นผลข้างเคียงมากกว่า
ผลรักษาโดยรวมมันก็ยังไม่ดีขึ้น (หมอเพิ่งมาบอกว่ากว่ายาจะทำงานก็เป็นเดือน)
การกินยาสามตัวนี้ทำให้เราเอ๋อๆอ๊องๆไปทำงานในตอนเช้า 555555
หมอเลยบอกว่าพวกยานอนหลับนั้นไม่ต้องกินก็ได้ แต่หลักๆคือ sertraline ต้องกินต่อเนื่อง
แล้วหมอก็เพิ่มยามาให้ แล้วนัดกันในอีกสามอาทิตย์
..................................................................................................................................
สรุปแล้ว ก็ไม่ต่างจากการไปหาหมอธรรมดา ก็มีการสอบถามปกติ ไม่ได้น่ากลัวอย่างในจินตนาการ ไม่ได้ต้องไปนอนบนเบาะ ระบายให้หมอฟัง 55555
แต่โดยรวมก็โอเคครับ ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับตัวผมเองด้วย
เวิ่นเยอะไปหน่อย ขอโทษด้วยนะครับ