จะไปทะเล โดนทัวร์เท ตั้งแต่ยังไม่ได้ไป เอเจนซี่ขา คุณหลอกดาวววว

กระทู้นี้ขอเขียนเล่าประสบการณ์จริง เพื่อเป็นแนวทางให้เพื่อนที่เจอเหตุการณ์คล้ายๆกัน
ตั้งใจเล่าแบบลำดับเหตุการณ์ให้เห็นภาพทุกขั้นตอน อาจยาวบ้างอะไรบ้าง ต้องขออภัยนะคะ🙏🏻🙏🏻🙏🏻

EP.1 ความฝันพังทลาย คล้ายจะเป็นลม


         เฮ้ยแกมัลดีฟส์มันใกล้จะจมแล้วนะ ประโยคธรรมดาที่เคยได้ยินครั้งแล้วครั้งเล่า กลับมาจุดประกายความฝันน้อยๆของคนสองคน ทำให้เราทั้งคู่ ที่เป็นพนักงานประจำเบี้ยน้อยหอยน้อย เฝ้าหยอดกระปุกเก็บหอมรอมริบ จนได้เงินมาหนึ่งก้อน เพื่อจะเดินทางตามความฝัน ทุกๆอย่างดูราบรื่นไปหมด ตั้งแต่ได้ตั๋วเครื่องบินราคาดีเวลาดี รีสอร์ทที่ต้องการก็อยู่ในงบที่เอื้อมถึง เราทั้งคู่จึงกำเงินก้อนหนึ่ง ไปที่งาน TITF เดือนสิงหาคมปีที่แล้ว(2561) เราเดินหาอยู่หลายเอเจนซี่ ไม่มีเอเจนซี่ไหนสามารถบอกโปรรีสอร์ทที่เราต้องการไปได้เลย เนื่องด้วยว่าเราจองตั๋วเดินทางไกลเกินไป คือปลายพฤษภาปีนี้(2562) โปรยังทำไม่ถึงนั่นเอง เดินกันทั่วงานจนขาลาก ในที่สุดก็เจอเอเจนซี่เจ้านึง เค้าบอกว่าเค้ามีโปรไปถึงปีหน้าแล้ว แถมพูดว่า จริงๆบริษัทอื่นก็มี เค้าแค่ยังไม่อยากบอก อยากขายใกล้ๆให้หมดก่อน ตอนนั้นด้วยความที่เหนื่อยมามาก อยู่ๆเจอคนพูดอย่างนี้รู้สึกว่าบริษัทนี้ ช่างเป็นคนดีจริงๆ เขาพูดอะไรเชียร์อะไรก็คล้อยตามไปหมด พนักงานทุกคนช่างหน้าตาดี เหมือนถูกเรณูทำคุณไสยใส่ก็ไม่ปาน555 เราทั้งคู่เลยซื้อ package รีสอร์ต 4ดาว 4วัน3คืน แบบ All Inclusive (รวมค่าอาหารทุกมื้อและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์) ใน package รวม seaplane ด้วย
ค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 34,xxxบาท ต่อคน แต่ช้าก่อนถ้าจ่ายเต็ม ลดเพิ่มอีก 10% จะรออะไรล่ะ รูดเต็มไปเลยจ้าา หน้ามืดขนาดนี้แล้ว สรุป2คนจ่ายไป 61,xxx บาท เดินออกจากงานด้วยสภาพที่ จิตใจเบิกบานและตัวเบาหวิว
          เข้าปี62 ก่อนเดินทาง5เดือน เราเริ่มมาเตรียมตัว เพื่อนเราจึงขอเอกสารยืนยันไปกับเอเจนซี่ สิ่งที่ควรได้คือ ใบยืนยันจากทางรีสอร์ต ที่ระบุวันที่เข้าพัก,ชนิดห้อง,ประเภทบริการ และตั๋ว seaplane ที่ต้องใช้เดินทางระหว่างเกาะมาเล (เกาะใหญ่ที่เป็นเมืองหลวง) ไปถึงรีสอร์ต เพื่อนเราขอไปตั้งแต่มกราคมตามทุกเดือน ช่องทางหลักในการคุยคือ FB Messenger ของเพจ ซึ่งอ่านบ้างไม่อ่านบ้าง ชาตินึงตอบที แต่ก็ต้องทน เพราะโทรไปไม่ยอมรับสาย คำตอบของเอเจนซี่เอาแต่บ่ายเบี่ยงว่า อีกตั้งนานกว่าจะเดินทาง ใบconfirmยังไม่ออกบ้าง พอใกล้ๆก็ เดี๋ยวส่งเย็นนี้บ้างล่ะ เดี๋ยวส่งพรุ่งนี้บ้างล่ะ แต่สุดท้ายก็ไม่ส่ง จนจะเดินทางในอีก6วันแล้ว เราไม่สบายใจอย่างมาก เพื่อนเลยถามตรงไปทางรีสอร์ตว่าวันที่นี้ มีชื่อเรา2คนเข้าพักไหม หลังจากรีสอร์ตเช็ค ตอบกลับมาว่าไม่พบชื่อทั้งคู่ หัวใจเราหล่นไปที่ตาตุ่ม เค้าถามว่าเราซื้อผ่านเอเจนซี่ชื่ออะไร พอบอกชื่อไป เค้าว่าไม่เคยทำธุรกิจกับเอเจนซี่นี้มาก่อนเลย น่าจะเป็น fake agency พอได้ยินคำนี้ วิญญาณหลุดออกจากร่างเลย แต่คำว่าเหลืออีก6วัน ช่วยกระชากวิญญาณให้กลับเข้าร่างมารีบแก้ปัญหา เราตั้งสติ จับเข่าคุยกัน เอาไงดี ตังค์ไม่มีแล้ว แต่ตั๋วเครื่องบินยังมี คิดออก2ทาง
1.ยอมทิ้งตั๋วเครื่องบินไป ไม่ไปแล้ววุ้ยมัลดีฟส์ เมาดิบอยู่กรุงเคล้าน้ำตานี่ละ
2.ต้องซื้อที่พักใหม่ และต้องเป็นรีสอร์ตเดิม เพราะดันไปชวนเพื่อนที่จะไปฮันนีมูนให้ไปด้วยอีกคู่(นางซื้อทางAgodaได้ไปชัวร์)

          ด้วยความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ที่มีต่อเพื่อนและความเสียดายตั๋วเครื่องบิน เราจึงตัดสินใจว่ายังไงก็ต้องไปให้ได้ เลือกข้อ2โว้ยยย แบบโวกเวกโวยวาย
เพื่อนถามว่าตังค์ก็ไม่มีจะทำยังไง เราตอบไปด้วยความมั่นใจว่า จะเอาตังค์คืนมาให้ได้ทุกบาททุกสตางค์ก่อนเดินทาง (ตอนนั้นไม่รู้ไปเอาความมั่นใจมาจากไหน อาจเป็นเพราะความงกก็เป็นได้555)


EP.2 การมีกัลยาณมิตรเป็นเรื่องที่ดีมากกกกกก

ช่วงแนะนำตัวละคร! คืนนั้นเองเราได้สร้างทีมพันธมิตร แบ่งออกเป็น3ก๊กด้วยกัน ก๊กละ2คน(2คนตั้งเป็นก๊กจะผิดมั้ย😂)
- ก๊กแรก เป็นคู่รักที่ตกกระไดพลอยโจน คือนางเป็นเพื่อนสมัยมัธยมจะมานั่งเล่นเม้าส์มอยด์ที่คอนโด แล้วบังเอิญอยู่ในเหตุการณ์พอดี คู่นางทำหน้าที่เป็นนักสืบ IT หาหลักฐานในโลกอินเตอร์เน็ต ซึ่งเป็นประโยชน์มาก
- ก๊กสอง เป็นพี่สาวและเพื่อน(คบกันตั้งแต่อนุบาล) ทั้งคู่ทำงานด้านการท่องเที่ยวมาก่อน ภายหลังแฟนของทั้งคู่มาช่วยเหลือด้วยซึ่งแฟนทั้งคู่ก็ทำงานเกี่ยงข้องกับการท่องเที่ยวเหมือนกัน ก๊กนี้ ช่วยดูข้อมูลเกี่ยวกับตัวเอเจนซี่เจ้ากรรม ใบอนุญาต และวิธีจัดการกับบริษัทแบบนี้
- ก๊กสุดท้าย เราและเพื่อนผู้เผชิญชะตากรรมร่วมกัน เป็นก๊กที่พังๆหน่อย ไม่เหมือน2ก๊กด้านบน ก๊กนี้ทำหน้าที่อะไร ปัจจุบันก็ยังไม่รู้เลย555 แต่คร่าวๆคือ รวบรวมหลักฐานจากอีก2ก๊ก แล้วนำไปดำเนินการตามกฎหมาย

หลังจากจัดตั้งทีมพันธมิตรเสร็จ เราก็เริ่มพากย์เสียงภาษาไทย555 ไม่เกี่ยว เราเริ่มต้นด้วยการรวบรวมข้อมูลวิธีการดำเนินการ ทั้งการแจ้งความ การฟ้องสคบ. การฟ้องร้องกับกระทรวงการท่องเที่ยว รวมถึงวิธีที่จะได้เงินคืน ขอบอกตรงนี้ว่าการเตรียมข้อมูลดีมีชัยไปกว่าครึ่ง
เบื้องต้นเราพบว่า ช่องทางที่จะได้เงินคืนมีหลักๆอยู่สามทาง คือ
1. จากตัวเอเจนซี่เอง เอเจนซี่อาจยอมคืนเงินหรือฟ้องร้องเอาตามกฏหมาย
2. จากเงินประกันที่ทางเอเจนซีวางไว้กับกรมการท่องเที่ยว (ทุกบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการท่องเที่ยวจะต้องไปจดทะเบียนธุรกิจท่องเที่ยวกับกรมการท่องเที่ยวเพื่อให้ได้ใบอนุญาตโดยมีเงื่อนไขต้องวางเงินประกันตั้งแต่ 10,000 ถึง 200,000 บาทแล้วแต่ประเภทใบอนุญาตที่จด)
3. ทางบัตรเครดิต (เฉพาะกรณีที่จ่ายด้วยบัตรเครดิต) เดชะบุญเรารูดบัตรไป

หลังจากพิจารณาทั้งสามช่องทางแล้วเราตั้งใจว่า ต้องทำให้ตัวเอเจนซี่คืนเงินเราโดยตรง เพราะเป็นช่องทางที่เร็วที่สุด หากวิธีแรกไม่สำเร็จ เราขอความช่วยเหลือจากธนาคารของบัตรเครดิตที่ใช้รูด ให้ช่วยตรวจสอบ หากทางธนาคารพบความผิดปกติ ก็จะคืนเงินตามจำนวนจริงเป็นเครดิตกลับมาให้ในบัตร ส่วนการดึงเงินประกันคืน เราไม่สามารถทำได้เพราะก๊ก2 แจ้งว่าเอเจนซี่เจ้ากรรมไม่ได้จดทะเบียน(เป็นบทเรียนเลยหลังจากนี้ถ้าซื้อทัวร์อะไร ต้องตรวจสอบบริษัทให้ดีก่อนว่ามีใบอนุญาตไหม)
**หากใครที่เลือกข้อแรก ต้องไปแจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้ก่อนโดยต้องมีหลักฐานตามนี้
1.หลักฐานการซื้อขายที่ลงรายละเอียดจำนวนเงิน ชื่อรีสอร์ต จำนวนวัน ประเภทห้อง การบริการทั้งหลาย และพวกหลักฐานการจ่ายเงิน ใบเสร็จรับเงินที่ลงรายเซ็นกำกับ สลิปบัตรเครดิต(แน่นอนว่าเราทิ้งไปแล้ว 10 เดือนแล้วนี่) เลยต้องขอใหม่กับทางธนาคาร
2.ข้อมูลเอเจนซี่ ชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ เลขที่ใบอนุญาต ชื่อเจ้าของ ซึ่งเรามีแค่ ชื่อเอเจนซี่, เบอร์โทรศัพท์02 ซึ่งโทรไปเข้าระบบฝากข้อความตลอด, เบอร์โทรศัพท์มือถือที่โทรไปก็ไม่เคยรับมาตลอดสี่เดือน, เลขที่ใบอนุญาตก็ไม่มี เลยหาชื่อเจ้าของไม่ได้ และสุดท้ายที่อยู่บริษัท สืบมาคือย้ายออกแล้ว (แทบไม่มีอะไรสาวถึงตัวเจ้าของได้เลย)
3.ใบปริ้นบทสนทนาของเรากับเอเจนซี่ที่แสดงให้เห็นว่าเค้าบ่ายเบี่ยงการส่งหลักฐานการจอง มาตลอดสี่เดือนที่ผ่านมา
***เนื่องจากเรายังไม่ได้ไป เราก็พูดไม่ได้ 100% ว่าเขาจะไม่ทำตามข้อตกลง แต่เราก็ไม่อยากเสี่ยงบินไปแล้วไม่มีใครมารับ ไม่มีที่นอน เคว้งอยู่สนามบินแล้วต้องบินกลับ เราจึงต้องมี หลักฐานข้อที่สี่ นั่นคือ
4.ใบปริ้นบทสนทนาของเรากับทางโรงแรมว่าไม่มีการจองผ่านเอเจนซี่นี้ในชื่อของเรา มันใกล้วันมากแล้วเหตุผลเพียงพอที่จะแจ้งความได้

พอเตรียมเอกสารครบสามอย่างแล้ว เหลือบมองนาฬิกาเป็นเวลา4ทุ่มกว่าๆ เราจุงมือกันไปแจ้งความที่สถานีตำรวจใกล้บ้าน ขอลงบันทึกประจำวัน พอไปถึงสถานีตำรวจ ปรากฎว่าเค้าไม่รับแจ้ง บอกว่าไม่ใช่ท้องที่ความรับผิดชอบ ให้ไปแจ้งกับสถานีตำรวจ ที่รับผิดชอบโดยกรณีนี้ซื้อขายที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ท้องที่ที่รับผิดชอบคือสน.ลุมพินี เหตุผลก็เข้าใจ แต่หัวเราะเยาะไม่เข้าใจ แค่ขอถามความรู้ก็ไม่ให้ความช่วยเหลือ ขอให้ช่วยดูหลักฐานก็ไม่ดู ทำหน้าเหมือนโดนหลอกแล้วไม่น่าจะได้เงินคืนหรอก รู้ไหมว่ากว่าเตรียมหลักฐานทั้งหมดมาลำบากแค่ไหน ตำรวจยศนายพันนายนี้ทำใจพังมาก เดินโซซัดโซเซลากสังขารกลับบ้านพร้อมบอกเพื่อนว่า เดี๋ยวพรุ่งนี้ 6 โมงครึ่งไปรับ บ้านอยู่ฝั่งธน จะขับไปสถานีลุมพินีต้องไปเช้าหน่อย และยังต้องทำงานต่อไม่ได้ลา (เดี๋ยวมาต่อนะจ๊ะ)
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่