เทคนิคการแปลภาษาอังกฤษ (5)

You been up too much, mate?!

เป็นไงกันบ้าง ยังตั้งใจอ่านหนังสือกันอยู่นะ (?) มาอัพเดตความรู้รอบดึก! (อ่านไม่เกิน 15 นาที)

วันนี้ถึงเวลาแล้ว ที่ต้องมาเรียนเทคนิคการแปลเพิ่ม!
ยอมรับว่านี้เป็นเซคชั่นที่เขียนยากอันดับต้น ๆ เลย แต่เรามีมา 4 ตอนแล้วนะ วันนี้ตอนที่ 5

ใครยังไม่เคยอ่านสักตอนนี่พลาดมาาาาก ไปหาอ่านด้วยล่ะ

สรุปวิธีการคิดให้ง่าย ๆ ก่อนเริ่ม
1. อย่าแปลโดยยึดติดกับคำศัพท์แบบคำต่อคำ
2. อย่า limit จินตนาการตัวเองด้วยการ “นั่งจ้องประโยคภาษาไทย”

อ่านประโยคเสร็จให้สายตามองไปทางอื่น (จะได้จำแค่ความหมาย ไม่จำรูปประโยค)
แล้วจะคิดประโยคภาษาอังกฤษที่ไม่ยึดติดออกมาได้!

มาเริ่มกันเลย!
_______________

1. “ฉันชักจะหัวร้อนแล้วสิ!

อื้อหือ ประโยคนี้จัดว่ายากอยู่ ลองพยายามแปลตรง ๆ ก่อน
I’m starting to become hotheaded!

Hotheaded (adj.) (หรือ hot-headed) แปลว่า “หัวร้อน” ตรง ๆ เลย

ก็ไม่ได้แย่มาก แต่เอาใหม่ ๆ ลองหนีจากคำว่า “หัวร้อน” อาจได้ว่า
I’m not liking this at all!

Not liking this แปลตรง ๆ ว่า “กำลังไม่ชอบ” ในบริบทนี้ก็ประมาณ “ฉันชักจะไม่ชอบใจซะแล้ว”
ปกติ like ไม่ใช้ในรูป -ing หรอก แต่เวลาพูดถึงอารมณ์ที่มา ๆ หาย ๆ ก็อนุโลมให้ได้

ลองหนีภาษาไทยไปให้ไกลกว่านี้สิ
This is driving me mad!
เห็นไหมว่าประโยคง่าย ๆ ไม่เห็นต้องใช้คำว่า hotheaded เสมอไปหรอก

อย่างไรก็ดี ประโยคที่ผมคิดว่าเท่ที่สุดคือ
Oh, this is getting personal!

ฝรั่งนิยามไว้ว่า “When things get personal, it means you start to take them quite (or too) seriously.” พูดง่าย ๆ ก็คือเราเริ่มจะจริงจัง(มากเกินไป) จนกลายเป็นอาการหัวร้อนนั่นเอง
_______________

2. “ค่อยโล่งอกขึ้นมาหน่อย

ถ้ารู้จักกับคำว่า “โล่งอก” ในภาษาอังกฤษ ก็แปลได้ไม่ยาก
I feel more relieved now.

Relieved (adj.) แปลว่า “รู้สึกโล่งใจ” (มาจากกริยา to relieve)

แต่ไม่มีฝรั่งคนไหนเขาพูดกันหรอกแบบนี้ ประโยคโคตรไม่เป็นธรรมชาติ! ลองเปลี่ยนมาเป็น
Well, that’s a relief!
ประโยคนี้ค่อยดูดีขึ้นมาหน่อย

Relief (n.) แปลว่า “ความรู้สึกโล่งอก” (A feeling of happiness that something bad has ended)

แต่ทุกคนเห็นใช่ไหมว่าเรายังยึดติดกับคำว่า “โล่งอก” อยู่ ไม่ใช่เรื่องไม่ดีหรอก แต่อยากให้ลองหนีมันไปดู!
Oh that’s a load off my chest.

เป็นประโยคที่คุ้นหูเลยแหละ แต่แน่นอนว่าไม่ใช่ประโยคที่ผมชอบที่สุด
ขอแนะนำประโยคนี้เลย
You had me worry right there!

“เมื่อกี้คุณทำผมกังวลแทบแย่” ก็แปลว่า “ค่อยโล่งอกขึ้นมาหน่อย” นั่นแหละ (ได้คะแนนการแปลด้วย!)
_______________

3. “ที่คุยกันไม่ใช่แบบนี้นี่!

โอเค ประโยคไทยมาแบบนี้ ก็คงหนีไม่พ้น
This is not what we talked about.

เป็นการแปลที่ซื่อสัตย์ต่อภาษาไทยมาก ลองปรับประโยคสักนิด
You didn’t say it was gonna be like this!

ฟังดูคุ้นหูขึ้นมาหน่อย แต่คงเห็นตรงกันว่ามันยาวไปนิด ลองทำให้สั้นลง
This is not what I expected.

ง่าย ๆ และผมเชื่อว่าเราน่าจะเคยได้ยินฝรั่งพูดนะ แต่! (อีกแล้ว) ประโยคที่ตอบโจทย์ที่สุดคือ
I did not sign up for this sh*t!

หรือ for this เฉย ๆ ก็ได้ ฮ่า ๆ พอดีอารมณ์มันพาปายยย
_______________

4. “อย่างี่เง่าไปหน่อยเลยน่า!

แน่นอนว่าเราต้องนึกถึงประโยคนี้เป็นประโยคแรก
Don’t be silly.

จริง ๆ ก็เป็นประโยคที่ดีแล้วแหละ แต่อาจฟังดูน่ารักไปหน่อย ลองโหดขึ้นมาสักนิด
Don’t get me started!

อื้อ! แบบนี้สิค่อยให้อารมณ์ดุดันขึ้นมาหน่อย
Don’t get me started เป็นประโยคที่เราใช้เพื่อแสดงความเหนื่อยหน่ายกับบางอย่าง

แต่เชื่อไหมว่ามีประโยคที่ดีกว่านี้! มันคือ
Don’t be an ass!

ใช่แล้ว อย่าทำตัวเป็นตูดนั่นเอง (ฮ่า ๆ ความจริงคือ An ass ในบริบทนี้แปลว่า “คนที่ทำตัวงี่เง่าเกินเหตุ”)

แต่... ประโยคที่ได้ใจผมคือ
Don’t you even.

สั้น ๆ ง่าย ๆ แต่คนฟังฟังแล้วต้องสงบเสงี่ยมขึ้นมาทันที
_______________

มาถึงประโยคสุดท้ายคือ

5. “เธอต้องรู้จักปฎิเสธซะบ้าง

อืม นั่นแหละครับ บางทีเป็นคนดีก็เจ็บปวดเกินไป ประโยคนี้แปลตรง ๆ ได้ว่า
You must say no sometimes.

ง่าย ๆ แหละ ฝรั่งก็พูดกันอยู่ แต่มันขาดลีลาทางภาษาไปหน่อย ลองปรับเป็น
Don’t be a yes-man, bro!

Yes-man (คำนี้ทำให้ผมรู้สึกอึดอัด...) แปลว่า “คนหัวอ่อนที่ไม่กล้าปฎิเสธใครทั้งนั้น” ใครว่าอะไรก็ได้คร้าบบ

เอาจริงมันก็ดีแล้วแหละ แต่ถึงอย่างงั้นก็เถอะ ขอประโยคเท่ ๆ หน่อยละกัน มันคือ
Maybe it’s time you drew the line.

หรืออาจบอกว่า “Sometimes you gotta draw the line.” ก็ยังเท่อยู่

Draw the line (idiom) แปลว่า “ขีดเส้นตาย” นั่นแหละ ความหมายคือ “รู้จักกำหนดขอบเขตให้ตัวเอง” (to set a limit on what you can do and cannot.)
_______________

จบกันไป! หวังว่าจะได้อะไรไปบ้างนะ
ว่าง ๆ ก็กลับไปทบทวนตอนเก่า ๆ ด้วยล่ะ เผื่อลืมไป (ผมพนันเลยว่าลืม! อิอิ)

ความขยันไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นชั่วข้ามคืนนะ มันต้องใช้เวลาสร้าง ต้องบ่มเพาะนิสัย
และมันก็หายไปเร็วมากด้วย ดังนั้นจงเติมพลังชีวิตให้ความขยันของตัวเองเสมอ!

แล้วเจอกันใหม่ตอนหน้า
"ไม่จำเป็นต้องรู้ทั้งหมดในวันนี้ แค่รู้มากกว่าเมื่อวานนี้ก็พอ"
รู้ภาษาอังกฤษมากขึ้นทุกวันที่ Page: พ่อผมเป็นคนอังกฤษ
Stay electric
JGC.
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่