โดยเฉพาะสงฆ์ในนิกายเถรวาทนั้น จะทำกันทุกกึ่งเดือน คือ ทุกวันพระขึ้นและแรม ๑๕ ค่ำ แต่บางเดือนก็จะมีแค่แรม ๑๔ ค่ำ ก็จะถือเอาวันแรม ๑๔ ค่ำนั้น เป็นวันพระลงประชุมอุโบสถ ซึ่งพระภิกษุในราชอณาจักรสยามได้ถือปฏิบัติกันมาตั้งแต่โบราณกาลอย่างเคร่งครัด
หลังจากหลวงปู่สวดพระปาฏิโมกข์จบลง หลวงปู่มั่นท่านจึงถือเอาโอกาสที่เหล่าสงฆ์ผู้เป็นศิษย์ของท่าน มาประชุมกันในครั้งนั้น เทศน์อบรมแก่สงฆ์ทั้งหลาย แต่ครั้งนั้นพระอาจารย์บุญธรรม จะถูกหลวงปู่มั่น ท่านเทศน์จี้เป็นพิเศษ โดยหลวงปู่มั่นท่านกล่าวว่า
“ท่านบุญธรรมนี้เป็นผู้ตั้งอยู่ในความประมาท ถือตัวว่าเป็นเจ้าเป็นนายมาบวช สำคัญว่าตนมีความรู้มาก เอาเปรียบหมู่คณะ ไม่ช่วยเหลือการงานของหมู่บกพร่องในข้อวัตรปฏิบัติ ไม่ตั้งอยู่ในพระธรรมวินัย” จากนั้นเหล่าสงฆ์ศิษย์หลวงปู่มั่นจึงแยกย้ายกันไป
การที่หลวงปู่มั่นกล่าวต่อพระอาจารย์บุญธรรม ในท่ามกลางสงฆ์เช่นนี้ ทำให้พระอาจารย์บุญธรรมเกิดความน้อยเนื้อต่ำใจ
พอตกตอนเย็น พระอาจารย์บุญธรรมได้เดินไปพบหลวงปู่ยังที่กุฏิ ขณะนั้นหลวงปู่กำลังจะสรงน้ำพอดี จึงหยุดคุยกัน ท่านกล่าวกับหลวงปู่ด้วยความน้อยใจว่า “โอ๊ย! ผมอยู่กับหมู่คุณไม่ได้แล้ว”
หลวงปู่จึงกล่าวว่า “ทำไม...เป็นอะไรหรือท่าน”
พระอาจารย์บุญธรรมตอบ “พระก็มีตั้งหลายรูป ท่านอาจารย์ใหญ่มาว่าแต่ผมคนเดียว เราจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนล่ะ”
หลวงปู่จึงพูดว่า “พระยังมีหน้ามีตาอยู่หรือ ไม่ควรจะไปถือหน้า ถือตานะ เราอุตสาห์ดั้นด้นมาหาครูบาอาจารย์ไกลแสนไกลปานนี้ ท่านเทศน์ให้อุบายธรรมอย่างนั้น นับว่าบุญหลายนะ ถ้าท่านเทศน์ให้ผม ผมจะไม่โกรธเลยนะ ผมจะยกมือขึ้นสาธุสุดศอกเลย ผมจะไม่เสียใจเลยที่เราอุตส่าห์บุกป่าฝ่าดงมา ก็เพราะหวังมาให้ท่านสั่งสอน
เมื่อท่านเห็นบกพร่องตรงไหน ท่านก็สอนเอา เราก็ปฏิบัติตามนั้น จุดมุ่งหมายก็อยู่ตรงนี้จึงได้มาหาท่าน ท่านอาจารย์ก็คงจะมีจุดหมายอย่างเดียวกับผมมิใช่หรือ เมื่อท่านว่าอย่างนั้นก็เสียใจ มันจะได้รับผลดีอย่างไรเล่า ท่านเจตนาดีต่างหากเตือนสติเราว่าให้เรา จะได้แก้ไขให้ดีขึ้น”
ถึงแม้หลวงปู่จะหาเหตุผลจากใดๆ มากล่าวแก่พระอาจารย์บุญธรรม ท่านก็ไม่ลงใจ ยืนยันแต่จะจากไปท่าเดียว หลวงปู่ท่านจึงคิดว่า “เออ! ไม่ลงก็แล้วไป คนใหญ่แล้วสอนกันยาก”
และในที่สุดพระอาจารย์บุญธรรมก็ไม่ฟังอยู่ดี ได้หนีไปในเย็นนั้นจริงๆ พอตอนเช้าจะไปบิณฑบาต หลวงปู่จึงไปกราบเรียนหลวงปู่มั่น ท่านก็ไม่ว่าอะไร เพียงแต่ท่านพูดขึ้นลอยๆ ว่า “ไปไม่ถึงไหนหรอก!” หลวงปู่ได้แต่นิ่ง ไม่พูดอะไรต่อ
หลังจากนั้นประมาณ ๒ เดือนต่อมา หลวงปู่ได้เที่ยววิเวกต่อไปทางเชียงใหม่พอดี เลยได้ข่าวพระอาจารย์บุญธรรม ว่าท่านได้อาการหนัก เป็นไข้ป่าขึ้นสมอง หลวงปู่ได้ติดตามไปดูแล ตอนนั้นพระอาจารย์บุญธรรมมาพักอยู่ที่วัดบ้านได้ ๑๕ วันแล้ว ฉันข้าวไม่ได้เลย
พอหลวงปู่ไปพบก็เลยถามว่า “อาจารย์ไปยังไงมายังไง หลังจากออกจากหลวงปู่มั่นไปแล้ว”
ท่านก็บอกว่า “ไปภาวนาบนภูเขาลูกหนึ่ง อยู่องค์เดียวได้สักระยะหนึ่ง ก็เลยเป็นไข้มาเลเรียนี้แหละ”
หลวงปู่จึงรีบนำท่านส่งไปยังโรงพยาบาลแม็คคอร์มิค ในตัวเมืองเชียงใหม่ แต่อาการของท่านก็เพียบเต็มทีแล้ว รักษาตัวอยู่ประมาณ ๘ วัน จึงมรณภาพ ไม่มีลูกศิษย์คอยเฝ้าอุปัฏฐากเลย
หลังจากจัดการเรื่องศพของพระอาจารย์บุญธรรมเรียบร้อยแล้ว หลวงปู่จึงเดินทางไปพักอยู่ที่สำนักสงฆ์อำเภอสันกำแพง (ปัจจุบันคือวัดโรงธรรมสามัคคี) จังหวัดเชียงใหม่
หลวงปู่ท่านยังคงเร่งความเพียร ปฏิบัติ นั่งสมาธิ เดินจงกรมทั้งกลางวันกลางคืน โดยมิได้ปล่อยให้เวลาล่วงไปเปล่า ขณะที่หลวงปู่กำลังนั่งภาวนาอยู่ พอจิตสงบ ท่านได้เกิดมีนิมิตขึ้นว่า เห็นพระอาจารย์บุญธรรม แวะมาหา มาหยุดลงที่หน้ากุฏิของหลวงปู่ แล้วเดินขึ้นมาหาท่านในห้อง พร้อมกับเปิดมุ้งกลดของหลวงปู่ แล้วพูดว่า
“ผมขอนอนด้วย”
หลวงปู่กล่าวกับพระอาจารย์บุญธรรมว่า “โอ้! พระอาจารย์ ไม่ใช่ท่านตายแล้วหรือ มาได้ยังไง”
พระอาจารย์บุญธรรมตอบว่า “ก็เหาะมาน่ะสิ”
ว่าแล้วพระอาจารย์บุญธรรมก็ล้มตัวลงนอน พอนอนลงไปร่างกายก็ขึ้นอืด เน่าเฟะ ส่งกลิ่นเหม็นตลบอบอวลในห้องนั้นเลย หลวงปู่ได้เล่าว่า “อาตมาจึงพิจารณาดู นี่หนอเวลาตายแล้ว ร่างกายก็เน่าเปื่อยอย่างนี้หนอ!” กลิ่นนั้นจึงสงบลง ร่างกายพระอาจารย์บุญธรรม ก็เป็นปกติเหมือนเดิม ทีแรกเป็นอสุภะ อสุภังไปเลย พอเป็นปกติแล้ว ท่านก็ลุกขึ้น และพูดว่า ผมจะกลับก่อน
อาตมาจึงถามว่า “ตายแล้วไปอยู่ที่ไหน”
พระอาจารย์บุญธรรมตอบ “ไปเป็นภูมิเทวดาอยู่ที่ถ้ำแกลบ”
อาตมาจึงกล่าวว่า “โอ้! ท่านบวชมาตั้งหลายปีดีดัก ติดตามครูบาอาจารย์ผู้หลักผู้ใหญ่ปานนั้น น่าจะได้ภูมิสูงกว่านี้นะ ทำไมไปเกิดเป็นภูมิเทวดา”
พระอาจารย์บุญธรรมตอบ “คนเรามีกรรมเป็นของๆ ตน ผู้ใดทำกรรมอันใด ก็ต้องได้รับผลของกรรมอันนั้น เราไปแล้วนะ”แล้วท่านก็เหาะไป
หลังจากหลวงปู่ท่านถอนออกจากสมาธิ ท่านจึงพิจารณาดูว่า เหตุใดพระอาจารย์บุญธรรมท่านบวชมาก็นานแล้ว ทำไมจึงเป็นได้แต่ภูมิเทวดา ได้ความว่า ท่านได้ประมาทท่านหลวงปู่มั่นด้วยเรื่องที่ถูกตำหนิ ณ ท่ามกลางสงฆ์ในวันลงอุโบสถคราวนั้น ด้วยกรรมอย่างนี้ ไม่ตกนรกก็นับว่าบุญหนักหนาแล้ว
ต่อมาภายหลัง หลวงปู่ได้นำเรื่องพระอาจารย์บุญธรรม แสดงอสุภะมาสอนศิษย์อยู่เสมอ ว่าเมื่อภาวนาจิตสงบแล้ว ไม่ต้องไปดูที่อื่น ดูที่กายที่ใจนี้ พิจารณาร่างกายนี้ ว่าไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย จากนั้นท่านก็ยกเรื่องของพระอาจารย์บุญธรรมขึ้นมาเป็นอนุสติ
• หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ •
พระสุธรรมคณาจารย์ (หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ)
การลงอุโบสถ ฟังพระปาฏิโมกข์ ของพระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนา
หลังจากหลวงปู่สวดพระปาฏิโมกข์จบลง หลวงปู่มั่นท่านจึงถือเอาโอกาสที่เหล่าสงฆ์ผู้เป็นศิษย์ของท่าน มาประชุมกันในครั้งนั้น เทศน์อบรมแก่สงฆ์ทั้งหลาย แต่ครั้งนั้นพระอาจารย์บุญธรรม จะถูกหลวงปู่มั่น ท่านเทศน์จี้เป็นพิเศษ โดยหลวงปู่มั่นท่านกล่าวว่า
“ท่านบุญธรรมนี้เป็นผู้ตั้งอยู่ในความประมาท ถือตัวว่าเป็นเจ้าเป็นนายมาบวช สำคัญว่าตนมีความรู้มาก เอาเปรียบหมู่คณะ ไม่ช่วยเหลือการงานของหมู่บกพร่องในข้อวัตรปฏิบัติ ไม่ตั้งอยู่ในพระธรรมวินัย” จากนั้นเหล่าสงฆ์ศิษย์หลวงปู่มั่นจึงแยกย้ายกันไป
การที่หลวงปู่มั่นกล่าวต่อพระอาจารย์บุญธรรม ในท่ามกลางสงฆ์เช่นนี้ ทำให้พระอาจารย์บุญธรรมเกิดความน้อยเนื้อต่ำใจ
พอตกตอนเย็น พระอาจารย์บุญธรรมได้เดินไปพบหลวงปู่ยังที่กุฏิ ขณะนั้นหลวงปู่กำลังจะสรงน้ำพอดี จึงหยุดคุยกัน ท่านกล่าวกับหลวงปู่ด้วยความน้อยใจว่า “โอ๊ย! ผมอยู่กับหมู่คุณไม่ได้แล้ว”
หลวงปู่จึงกล่าวว่า “ทำไม...เป็นอะไรหรือท่าน”
พระอาจารย์บุญธรรมตอบ “พระก็มีตั้งหลายรูป ท่านอาจารย์ใหญ่มาว่าแต่ผมคนเดียว เราจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนล่ะ”
หลวงปู่จึงพูดว่า “พระยังมีหน้ามีตาอยู่หรือ ไม่ควรจะไปถือหน้า ถือตานะ เราอุตสาห์ดั้นด้นมาหาครูบาอาจารย์ไกลแสนไกลปานนี้ ท่านเทศน์ให้อุบายธรรมอย่างนั้น นับว่าบุญหลายนะ ถ้าท่านเทศน์ให้ผม ผมจะไม่โกรธเลยนะ ผมจะยกมือขึ้นสาธุสุดศอกเลย ผมจะไม่เสียใจเลยที่เราอุตส่าห์บุกป่าฝ่าดงมา ก็เพราะหวังมาให้ท่านสั่งสอน
เมื่อท่านเห็นบกพร่องตรงไหน ท่านก็สอนเอา เราก็ปฏิบัติตามนั้น จุดมุ่งหมายก็อยู่ตรงนี้จึงได้มาหาท่าน ท่านอาจารย์ก็คงจะมีจุดหมายอย่างเดียวกับผมมิใช่หรือ เมื่อท่านว่าอย่างนั้นก็เสียใจ มันจะได้รับผลดีอย่างไรเล่า ท่านเจตนาดีต่างหากเตือนสติเราว่าให้เรา จะได้แก้ไขให้ดีขึ้น”
ถึงแม้หลวงปู่จะหาเหตุผลจากใดๆ มากล่าวแก่พระอาจารย์บุญธรรม ท่านก็ไม่ลงใจ ยืนยันแต่จะจากไปท่าเดียว หลวงปู่ท่านจึงคิดว่า “เออ! ไม่ลงก็แล้วไป คนใหญ่แล้วสอนกันยาก”
และในที่สุดพระอาจารย์บุญธรรมก็ไม่ฟังอยู่ดี ได้หนีไปในเย็นนั้นจริงๆ พอตอนเช้าจะไปบิณฑบาต หลวงปู่จึงไปกราบเรียนหลวงปู่มั่น ท่านก็ไม่ว่าอะไร เพียงแต่ท่านพูดขึ้นลอยๆ ว่า “ไปไม่ถึงไหนหรอก!” หลวงปู่ได้แต่นิ่ง ไม่พูดอะไรต่อ
หลังจากนั้นประมาณ ๒ เดือนต่อมา หลวงปู่ได้เที่ยววิเวกต่อไปทางเชียงใหม่พอดี เลยได้ข่าวพระอาจารย์บุญธรรม ว่าท่านได้อาการหนัก เป็นไข้ป่าขึ้นสมอง หลวงปู่ได้ติดตามไปดูแล ตอนนั้นพระอาจารย์บุญธรรมมาพักอยู่ที่วัดบ้านได้ ๑๕ วันแล้ว ฉันข้าวไม่ได้เลย
พอหลวงปู่ไปพบก็เลยถามว่า “อาจารย์ไปยังไงมายังไง หลังจากออกจากหลวงปู่มั่นไปแล้ว”
ท่านก็บอกว่า “ไปภาวนาบนภูเขาลูกหนึ่ง อยู่องค์เดียวได้สักระยะหนึ่ง ก็เลยเป็นไข้มาเลเรียนี้แหละ”
หลวงปู่จึงรีบนำท่านส่งไปยังโรงพยาบาลแม็คคอร์มิค ในตัวเมืองเชียงใหม่ แต่อาการของท่านก็เพียบเต็มทีแล้ว รักษาตัวอยู่ประมาณ ๘ วัน จึงมรณภาพ ไม่มีลูกศิษย์คอยเฝ้าอุปัฏฐากเลย
หลังจากจัดการเรื่องศพของพระอาจารย์บุญธรรมเรียบร้อยแล้ว หลวงปู่จึงเดินทางไปพักอยู่ที่สำนักสงฆ์อำเภอสันกำแพง (ปัจจุบันคือวัดโรงธรรมสามัคคี) จังหวัดเชียงใหม่
หลวงปู่ท่านยังคงเร่งความเพียร ปฏิบัติ นั่งสมาธิ เดินจงกรมทั้งกลางวันกลางคืน โดยมิได้ปล่อยให้เวลาล่วงไปเปล่า ขณะที่หลวงปู่กำลังนั่งภาวนาอยู่ พอจิตสงบ ท่านได้เกิดมีนิมิตขึ้นว่า เห็นพระอาจารย์บุญธรรม แวะมาหา มาหยุดลงที่หน้ากุฏิของหลวงปู่ แล้วเดินขึ้นมาหาท่านในห้อง พร้อมกับเปิดมุ้งกลดของหลวงปู่ แล้วพูดว่า
“ผมขอนอนด้วย”
หลวงปู่กล่าวกับพระอาจารย์บุญธรรมว่า “โอ้! พระอาจารย์ ไม่ใช่ท่านตายแล้วหรือ มาได้ยังไง”
พระอาจารย์บุญธรรมตอบว่า “ก็เหาะมาน่ะสิ”
ว่าแล้วพระอาจารย์บุญธรรมก็ล้มตัวลงนอน พอนอนลงไปร่างกายก็ขึ้นอืด เน่าเฟะ ส่งกลิ่นเหม็นตลบอบอวลในห้องนั้นเลย หลวงปู่ได้เล่าว่า “อาตมาจึงพิจารณาดู นี่หนอเวลาตายแล้ว ร่างกายก็เน่าเปื่อยอย่างนี้หนอ!” กลิ่นนั้นจึงสงบลง ร่างกายพระอาจารย์บุญธรรม ก็เป็นปกติเหมือนเดิม ทีแรกเป็นอสุภะ อสุภังไปเลย พอเป็นปกติแล้ว ท่านก็ลุกขึ้น และพูดว่า ผมจะกลับก่อน
อาตมาจึงถามว่า “ตายแล้วไปอยู่ที่ไหน”
พระอาจารย์บุญธรรมตอบ “ไปเป็นภูมิเทวดาอยู่ที่ถ้ำแกลบ”
อาตมาจึงกล่าวว่า “โอ้! ท่านบวชมาตั้งหลายปีดีดัก ติดตามครูบาอาจารย์ผู้หลักผู้ใหญ่ปานนั้น น่าจะได้ภูมิสูงกว่านี้นะ ทำไมไปเกิดเป็นภูมิเทวดา”
พระอาจารย์บุญธรรมตอบ “คนเรามีกรรมเป็นของๆ ตน ผู้ใดทำกรรมอันใด ก็ต้องได้รับผลของกรรมอันนั้น เราไปแล้วนะ”แล้วท่านก็เหาะไป
หลังจากหลวงปู่ท่านถอนออกจากสมาธิ ท่านจึงพิจารณาดูว่า เหตุใดพระอาจารย์บุญธรรมท่านบวชมาก็นานแล้ว ทำไมจึงเป็นได้แต่ภูมิเทวดา ได้ความว่า ท่านได้ประมาทท่านหลวงปู่มั่นด้วยเรื่องที่ถูกตำหนิ ณ ท่ามกลางสงฆ์ในวันลงอุโบสถคราวนั้น ด้วยกรรมอย่างนี้ ไม่ตกนรกก็นับว่าบุญหนักหนาแล้ว
ต่อมาภายหลัง หลวงปู่ได้นำเรื่องพระอาจารย์บุญธรรม แสดงอสุภะมาสอนศิษย์อยู่เสมอ ว่าเมื่อภาวนาจิตสงบแล้ว ไม่ต้องไปดูที่อื่น ดูที่กายที่ใจนี้ พิจารณาร่างกายนี้ ว่าไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย จากนั้นท่านก็ยกเรื่องของพระอาจารย์บุญธรรมขึ้นมาเป็นอนุสติ
• หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ •
พระสุธรรมคณาจารย์ (หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ)