นี่คือหัวของ Diogo Alves เขาเป็นฆาตกรต่อเนื่องที่ร้ายกาจที่สุดคนหนึ่งของโปรตุเกส และถูกตัดสินประหารชีวิตไปในปี 1841 หลังจากเขาเสียชีวิตเพราะถูกแขวนคอนักวิทยาศาสตร์ก็ทำการตัดหัวเขามาดองไว้เพื่อหวังจะทำการศึกษาว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้เขาก่อเหตุอาชญากรรมฆ่าคนตายหลายสิบคน…?
แต่ปรากฎว่านักวิทยาศาสตร์กลับไม่พบอะไรเลย ดังนั้นหัวของฆาตกรจึงถูกดองมาเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบัน
ย้อนกลับไปปี 1837 ในกรุงลิสบอน ประเทศโปรตุเกสได้เกิดข่าวที่สร้างความวิตกแก่ผู้คนในเมืองเป็นอย่างมากมันคือข่าวของ “ฆาตกรต่อเนื่อง” ที่ดักฆ่าชาวบ้านบริเวณท่อระบายน้ำยกสูง 60 เมตรของเมือง ก่อนจะโยนศพลงมายังพื้นด้านล่างรายแล้วรายเล่า ซึ่งทางเดินดังกล่าวถูกใช้เป็นทางลัดสำหรับพ่อค้าที่ใช้เดินทางไปยังเมืองหลวง
โดย Diogo Alves ย้ายมาอยู่ที่เมืองลิสบอน ประเทศโปรตุเกส เพื่อที่จะเริ่มชีวิตใหม่ แต่หลังจากที่เขาหางานใหม่ทำยังไม่ได้ก็ทำให้เขาตัดสินใจก่อเหตุปล้นชิงทรัพย์และฆาตกรรม โดยเหยื่อของเขาส่วนใหญ่จะเป็นนักเดินทางและพ่อค้าที่ต้องข้ามสะพานเข้า – ออกจากเมือง
โดยสะพานนี้เป็นท่อระบายน้ำนี้เรียกกันว่า Aqueduct of the Free Waters เป็นท่อระบายน้ำสูง 213 ฟุต ตั้งอยู่เหนือหุบเขา Alcântara เขาจะทำการดักรอเหยื่อที่ท่อระบายน้ำจากนั้นก็ทำการปล้นและฆ่าเหยื่อที่ผ่านไปผ่านมาอย่างเลือดเย็น ก่อนจะทิ้งศพไว้แล้วหายตัวไป โดยเชื่อกันว่าเขาลงมือปล้นฆ่ามาแล้วไม่ต่ำกว่า 70 ครั้ง จึงได้รับฉายาว่า "ฆาตกรลำรางส่งน้ำ"
ซึ่งจากข้อมูลระบุว่ามีชาวบ้านเป็นตกเป็นเหยื่อของฆาตกรต่อเนื่องรายนี้ถึง 28 คน แต่มีอีก 70 คนที่ยังไม่ระบุได้ว่าเป็นฝีมือของฆาตกรรายนี้หรือไม่ โดยเน้นไปที่กลุ่มพ่อค้าที่เดินทางกลับจากการขายของในเวลากลางคืนเพื่อปล้น ทำให้ตำรวจของเมืองต้องสั่งปิดเส้นทางดังกล่าวเพื่อหยุดการฆาตกรรมของนาย Diogo Alves
ทำให้ฆาตกรรายนี้เปลี่ยนรูปแบบการฆ่าโดยหันไปก่อเหตุกับเหยื่อตามที่พักแทน ซึ่งเหตุร้ายก็ดันไปเกิดกับครอบครัวของแพทย์ประจำท้องถิ่นทั้งหมด 4 ราย ก่อนจะถูกจับได้ในที่สุดในข้อหาฆาตกรรมครอบครัวแพทย์ดังกล่าวพร้อมกับถูกประหารชีวิตในปี 1841 ด้วย “กรงเหล็กตะแลงแกง” เครื่องมือแขวนคออาชญากรแล้วทิ้งประจานต่อสาธารณะเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างเหมือนอาชญากรรายอื่นๆ
หลังจากถูกแขวนคอ หนึ่งในฆาตกรต่อเนื่องที่ชั่วร้ายที่สุดในโปรตุเกสถูกตัดหัวโดยนักวิทยาศาสตร์โรงเรียนแพทย์ในลิสบอน เพื่อนำไปศึกษาและพยายามหาสาเหตุของความคิดของอาชญากรรายนี้
ซึ่งในสมัยนั้นศพของฆาตกรผู้โด่งดังมากมายหลายคน มักได้รับความสนใจจากนักเรียนในคณะแพทย์ และอัลเวสเองก็มีชื่อเสียงอยู่พอสมควร แพทย์จึงทำการตัดศีรษะของอัลเวส เพื่อนำไปศึกษาลักษณะของสมอง หาความผิดปกติว่าทำไมเขาถึงมีความชื่นชอบและพฤติกรรมโหดร้ายทารุณผิดมนุษย์ได้มากขนาดนี้ เพราะเคยมีนักฟิสิกส์ชาวเยอรมันชื่อดัง ฟรานซ์ โยเซฟ กัล ได้เสนอทฤษฏีที่ว่าสติปัญญาและลักษณะสัญชาตญาณของบุคคลแตกต่างกันไปตามลักษณะของกะโหลกศีรษะ นั่นเอง
และจนถึงทุกวันนี้ศีรษะของอัลเวส ก็ยังคงได้รับการเก็บรักษาไว้ในภาชนะใบเดิมที่ห้องสาธิตกายวิภาค แห่งคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยลิสบอน ยาวนานกว่า 178 ปีมาแล้ว แต่ก็นั่นแหละครับ ยังไม่มีใครสามารถตอบได้ว่า ทฤษฏีกะโหลกของ ฟรานซ์ โยเซฟ กัล มีผลต่อการเป็นฆาตกรต่อเนื่องจริงหรือไม่ ?
อย่างไรก็ตามนักวิทยาศาสตร์ก็ไม่สามารถหาคำอธิบายจากหัวของฆาตกรต่อเนื่องรายนี้ได้ ซึ่งหัวก็ถูกดองเก็บไว้ในโหลเพื่อเป็นอุทาหรณ์
นอกจากนี้เรื่องราวของฆาตกรรายนี้ยังถูกนำไปทำเป็นภาพยนต์เรื่อง The Crimes of Diogo Alves นวนิยายเรื่องแรกที่ถูกนำไปทำภาพยนตร์ในปี 1911 อีกด้วย
ที่มา : sobadsogood | clipmass
zpore.com
SpokeDark.TV
Flagfrog
Diogo Alves ฆาตกรต่อเนื่องชาวโปรตุเกส ที่ก่อเหตุสะเทือนขวัญในช่วงปี 1836 - 1840 ด้วยการฆ่าคนไปมากถึง 70
นี่คือหัวของ Diogo Alves เขาเป็นฆาตกรต่อเนื่องที่ร้ายกาจที่สุดคนหนึ่งของโปรตุเกส และถูกตัดสินประหารชีวิตไปในปี 1841 หลังจากเขาเสียชีวิตเพราะถูกแขวนคอนักวิทยาศาสตร์ก็ทำการตัดหัวเขามาดองไว้เพื่อหวังจะทำการศึกษาว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้เขาก่อเหตุอาชญากรรมฆ่าคนตายหลายสิบคน…?
แต่ปรากฎว่านักวิทยาศาสตร์กลับไม่พบอะไรเลย ดังนั้นหัวของฆาตกรจึงถูกดองมาเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบัน
ย้อนกลับไปปี 1837 ในกรุงลิสบอน ประเทศโปรตุเกสได้เกิดข่าวที่สร้างความวิตกแก่ผู้คนในเมืองเป็นอย่างมากมันคือข่าวของ “ฆาตกรต่อเนื่อง” ที่ดักฆ่าชาวบ้านบริเวณท่อระบายน้ำยกสูง 60 เมตรของเมือง ก่อนจะโยนศพลงมายังพื้นด้านล่างรายแล้วรายเล่า ซึ่งทางเดินดังกล่าวถูกใช้เป็นทางลัดสำหรับพ่อค้าที่ใช้เดินทางไปยังเมืองหลวง
โดย Diogo Alves ย้ายมาอยู่ที่เมืองลิสบอน ประเทศโปรตุเกส เพื่อที่จะเริ่มชีวิตใหม่ แต่หลังจากที่เขาหางานใหม่ทำยังไม่ได้ก็ทำให้เขาตัดสินใจก่อเหตุปล้นชิงทรัพย์และฆาตกรรม โดยเหยื่อของเขาส่วนใหญ่จะเป็นนักเดินทางและพ่อค้าที่ต้องข้ามสะพานเข้า – ออกจากเมือง
โดยสะพานนี้เป็นท่อระบายน้ำนี้เรียกกันว่า Aqueduct of the Free Waters เป็นท่อระบายน้ำสูง 213 ฟุต ตั้งอยู่เหนือหุบเขา Alcântara เขาจะทำการดักรอเหยื่อที่ท่อระบายน้ำจากนั้นก็ทำการปล้นและฆ่าเหยื่อที่ผ่านไปผ่านมาอย่างเลือดเย็น ก่อนจะทิ้งศพไว้แล้วหายตัวไป โดยเชื่อกันว่าเขาลงมือปล้นฆ่ามาแล้วไม่ต่ำกว่า 70 ครั้ง จึงได้รับฉายาว่า "ฆาตกรลำรางส่งน้ำ"
ซึ่งจากข้อมูลระบุว่ามีชาวบ้านเป็นตกเป็นเหยื่อของฆาตกรต่อเนื่องรายนี้ถึง 28 คน แต่มีอีก 70 คนที่ยังไม่ระบุได้ว่าเป็นฝีมือของฆาตกรรายนี้หรือไม่ โดยเน้นไปที่กลุ่มพ่อค้าที่เดินทางกลับจากการขายของในเวลากลางคืนเพื่อปล้น ทำให้ตำรวจของเมืองต้องสั่งปิดเส้นทางดังกล่าวเพื่อหยุดการฆาตกรรมของนาย Diogo Alves
ทำให้ฆาตกรรายนี้เปลี่ยนรูปแบบการฆ่าโดยหันไปก่อเหตุกับเหยื่อตามที่พักแทน ซึ่งเหตุร้ายก็ดันไปเกิดกับครอบครัวของแพทย์ประจำท้องถิ่นทั้งหมด 4 ราย ก่อนจะถูกจับได้ในที่สุดในข้อหาฆาตกรรมครอบครัวแพทย์ดังกล่าวพร้อมกับถูกประหารชีวิตในปี 1841 ด้วย “กรงเหล็กตะแลงแกง” เครื่องมือแขวนคออาชญากรแล้วทิ้งประจานต่อสาธารณะเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างเหมือนอาชญากรรายอื่นๆ
หลังจากถูกแขวนคอ หนึ่งในฆาตกรต่อเนื่องที่ชั่วร้ายที่สุดในโปรตุเกสถูกตัดหัวโดยนักวิทยาศาสตร์โรงเรียนแพทย์ในลิสบอน เพื่อนำไปศึกษาและพยายามหาสาเหตุของความคิดของอาชญากรรายนี้
ซึ่งในสมัยนั้นศพของฆาตกรผู้โด่งดังมากมายหลายคน มักได้รับความสนใจจากนักเรียนในคณะแพทย์ และอัลเวสเองก็มีชื่อเสียงอยู่พอสมควร แพทย์จึงทำการตัดศีรษะของอัลเวส เพื่อนำไปศึกษาลักษณะของสมอง หาความผิดปกติว่าทำไมเขาถึงมีความชื่นชอบและพฤติกรรมโหดร้ายทารุณผิดมนุษย์ได้มากขนาดนี้ เพราะเคยมีนักฟิสิกส์ชาวเยอรมันชื่อดัง ฟรานซ์ โยเซฟ กัล ได้เสนอทฤษฏีที่ว่าสติปัญญาและลักษณะสัญชาตญาณของบุคคลแตกต่างกันไปตามลักษณะของกะโหลกศีรษะ นั่นเอง
และจนถึงทุกวันนี้ศีรษะของอัลเวส ก็ยังคงได้รับการเก็บรักษาไว้ในภาชนะใบเดิมที่ห้องสาธิตกายวิภาค แห่งคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยลิสบอน ยาวนานกว่า 178 ปีมาแล้ว แต่ก็นั่นแหละครับ ยังไม่มีใครสามารถตอบได้ว่า ทฤษฏีกะโหลกของ ฟรานซ์ โยเซฟ กัล มีผลต่อการเป็นฆาตกรต่อเนื่องจริงหรือไม่ ?
อย่างไรก็ตามนักวิทยาศาสตร์ก็ไม่สามารถหาคำอธิบายจากหัวของฆาตกรต่อเนื่องรายนี้ได้ ซึ่งหัวก็ถูกดองเก็บไว้ในโหลเพื่อเป็นอุทาหรณ์
นอกจากนี้เรื่องราวของฆาตกรรายนี้ยังถูกนำไปทำเป็นภาพยนต์เรื่อง The Crimes of Diogo Alves นวนิยายเรื่องแรกที่ถูกนำไปทำภาพยนตร์ในปี 1911 อีกด้วย
ที่มา : sobadsogood | clipmass
zpore.com
SpokeDark.TV
Flagfrog