ขอขึ้นต้นเป็นธรรมเนียมสำหรับสมาชิกใหม่ว่า “นี่เป็นครั้งแรกที่เขียนกระทู้รีวิวลงพันทิปครับ” โดยปกติเวลาเที่ยวไหนต่อไหน ก็เก็บความทรงจำเอาไว้กับตัวเอง ไม่คิดจะเล่าให้ใครฟังแบบละเอียด แต่คราวนี้เรารู้สึกว่าที่ผ่านมาเรามาเอาข้อมูล ตามรอยทริปจากกระทู้ในพันทิปบ่อยมาก ... งั้นเราก็ควรจะเป็นคนรีวิวให้คนอื่นฟังบ้าง
ทริปนี้เดินทางท่องเที่ยว 7 วัน ได้เที่ยวพอหอมปากหอมคอ 4 เมืองใหญ่ คือ Ahmedabad - Jaipur - Agra - Jodhpur เป็นทริปที่มีสีสันมากจริงๆ ครับ ทั้ง 4 เมืองมีสีของเมืองไม่เหมือนกันเลย เรียกทริปนี้ว่า "มหากาพย์ทริปร้อนฝนหนาวกับ 4 เมือง 4 สีที่อินเดีย"
หมายเหตุ ผมไม่ได้ลงรายละเอียดค่าใช้จ่าย เพราะไม่ได้จดไว้ครับ ส่วนภาพถ่ายประกอบทั้งหมด ใช้มือถือ Huawei Mate 20 Pro และ Gopro 3 ในการถ่าย และแต่งด้วยแอพในมือถือครับ
จริงๆ แล้วเป้าหมายการเดินทางครั้งนี้ คือเมืองจัยปูร์ หรือ ชัยปุระ (Jaipur) ที่เที่ยวยอดฮิตในอินเดียของนักท่องเที่ยวชาวไทย แต่เที่ยวบินราคาถูกที่จองไว้ (ประมาณ 5,000 บาท) ต้องมาเปลี่ยนเครื่องที่เมืองอัมห์ดาบัด (Ahmedabad) และต้องรอต่อเครื่องอีก 14 ชม. (ลงเครื่อง 6.00 น. รอต่อเครื่องตอน 20.00) ก็เลยพอมีเวลาออกมาเที่ยวชมเมืองนี้สักหน่อย แต่ด้วยความไม่แน่ใจว่าสนามบิน Sardar Vallabhbhai Patel Airportของอัมห์ดาบัดมีที่ฝากกระเป๋าเดินทางหรือไม่ เพราะอย่างที่รู้กันว่าสิ่งอำนวยสะดวกต่างๆ ในอินเดียยังไม่ดีเท่าที่ควร ยิ่งเป็นเมืองที่นักท่องเที่ยวน้อยแล้วด้วย ก็เลยอิเมล์ไปถามเจ้าหน้าที่สนามบินก่อนออกเดินทาง เค้าก็ตอบเมล์กันไปมาจนถึงเจ้าหน้าที่คนนึงตอบกลับมาเป็นภาษา Hindi !!! แปลได้ว่า "สนามบินนี้ไม่มีที่ฝากกระเป๋า!!!" ก็เลยจองห้องพักแถวสนามบินวันละ 200 กว่าบาทไว้เก็บกระเป๋า จะได้ออกไปตะลอนเที่ยวสบายๆ
สนามบิน Sardar Vallabhbhai Patel Airport
การเตรียมตัวเดินทาง ให้ทำประกันการเดินทางไว้ด้วย บุคกิ้งต่างๆ ให้เรียบร้อย ทั้งตั๋วเครื่องไป-กลับ, ที่พัก, ตั๋วรถไฟ เพราะตม.จะถาม ส่วนการทำวีซ่าอินเดียก็แสนจะง่ายดาย สมัคร E-Visa ทาง
https://indianvisaonline.gov.in/evisa/ ได้เลยง่ายๆ ค่าสมัครสองพันกว่าบาท ประมาณ 2-3 วันทำการ เค้าก็จะส่งวีซ่ากลับมาทางอิเมล์ เราก็ปริ้นท์ไปยื่นที่ตม.อินเดียได้เลย
ยอมรับว่ามีความรู้เกี่ยวกับเมืองนี้น้อยมาก เลยเปิดหาข้อมูลเบาๆ ในกูเกิ้ลเอา ก็พอวางแผนไปเที่ยวได้ 2-3 แห่งในเมือง ที่เห็นตามสมควรว่าสามารถเที่ยวได้ภายในหนึ่งวันสบายๆ ซึ่งความจริงแล้วสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของเมืองนี้จะอยู่นอกเมืองเสียส่วนใหญ่ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2-3 ชม. โดยเฉพาะล่าสุดมีรูปปั้นที่ใหญ่ที่สุดในโลก “Sardar Patel’s Statue of Unity” ที่เพิ่งสร้างเสร็จปลายปีที่แล้ว ก็น่าเสียดายที่เวลาไม่เอื้ออำนวย เลยต้องเที่ยวอยู่แต่ในเมือง แต่ก็ถือว่าคุ้มค่ามาก
(ข้อมูลทั่วไป : เมืองอัมห์ดาบัด ตั้งอยู่ในรัฐคุชราต (Gujarat) เป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของรัฐนี้ และถือเป็นเมืองแรกของอินเดียที่ได้รับประกาศเป็นเมืองมรดกโลกแห่งแรกในอินเดีย อีกทั้งยังเป็นบ้านเกิดของมหาตมะคานธี (Mohandas Gandhi) นักเคลื่อนไหวผู้ทรงอิทธิพลของอินเดียและของโลก)
ในส่วนของการเดินทาง ผมจ้างรถแท็กซี่หน้าสนามบินเลย ได้ราคา 1,000 รูปีทั้งวัน (ประมาณ 500 บาท) ในลักษณะการต่อรองราคา ไม่ได้มีมิเตอร์หรือราคาตายตัวอะไร ก็รู้สึกว่าแพงสำหรับคนเดียวแหละ แต่ถ้ามีคนเดินทางด้วยก็จะช่วยแชร์ค่ารถได้สบายๆ แล้วคนขับรถก็ทำหน้าที่ไกด์ให้ด้วย ถึงดูเก้ๆ กังๆ เหมือนไม่ค่อยมีประสบการณ์นำเที่ยว แต่ก็ดูตั้งใจดี ตามใจเราทุกอย่างจะไปไหนก็พาไป
เมืองอัมห์ดาบัดไม่วุ่นวายพลุกพล่านเหมือนเมืองใหญ่อื่นๆ มีแม่น้ำ Sabarmati (กว้างใหญ่มาก พอๆ กับเจ้าพระยาบ้านเรา) ไหลผ่านกลางเมือง เวลาคนขับรถใช้เส้นทางเลียบแม่น้ำ ก็จะเห็นวิวทิวทัศน์แม่น้ำสวยงามมาก ซึ่งตอนแรกว่าจะไปชมพิพิธภัณฑ์ที่เป็นอาศรมของท่านมหาตมะคานธี แต่เผอิญว่าปิดทำการวันจันทร์พอดี
Bhadra Towers
สถานที่แรกที่ไป คือ Bhadra Towers เป็นป้อมปราการที่เก่าแก่ที่สุดของเมืองอัมห์ดาบัด สร้างขึ้นเมื่อปี 1411 โดย Sultan Ahmed สร้างอุทิศแด่พระแม่กาลี เทพเจ้าที่ประชากรทางใต้ของอินเดียให้ความนับถืออย่างมาก โดยมี Bhadrakali Temple หรือวัดพระแม่ภัทรกาลี อยู่ติดกับป้อมเลย บางคนอาจเคยได้ยินชื่อท่านมาบ้าง แต่ภาคภัทรกาลีถือเป็นภาคพระแม่ที่ดุร้ายที่สุด เพราะฉะนั้นการเยี่ยมชมที่นี่ ต้องให้ความเคารพอย่างมาก ขาตั้งกล้อง (Tripod) จะไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ นี่เลยไปขออนุญาตใช้ไม้เซลฟี่ (Monopod) เจ้าหน้าที่ ก็อนุญาตให้ใช้ได้ การมาเที่ยวคนเดียว ขาตั้งกล้องถือว่าจำเป็นมาก ในเมื่อใช้ไม่ได้ (และคุณพี่เจ้าหน้าที่ก็จ้องจับผิดตลอดเวลา) ... เลยได้แต่เซลฟี่รัวๆ
Sidi Saeed’s Mosque
นั่งรถเลี้ยวไปเลี้ยวมาไม่ไกลเท่าไหร่ ก็เจอกับ Sidi Saeed’s Mosque เป็นสุเหร่ากลางเมือง สร้างขึ้นเมื่อปี 1572 อุทิศให้กับ Sidi Saeed ขุนนางชาว Abyssinian ผู้เดินทางมาจาก Habshah (Ethiopia) ผ่านเยเมนมาที่ดินแดนคุชราตแห่งนี้ ท่าน Sidi Saeed ขึ้นเป็นขุนนางในสมัยของกษัตริย์ Nasir-ud-Din Mahmud III เป็นคนชอบช่วยเหลือคนจน ประกอบคุณงามความดีมากมาย พอเสียชีวิตลง Sultan Muzaffar Shah III ก็ได้สร้างสุเหร่าแห่งศรัทธานี้ขึ้นมาอุทิศให้แก่ขุนนางท่านนี้ ระยะเวลาผ่านไปที่นี่กลายเป็นสถานที่สำคัญมากมายในอดีตของอินเดีย เช่น สถานที่ราชการในยุคที่สหราชอาณาจักรเข้ามายึดครอง จนทุกวันนี้กลายเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สำคัญของอัมห์ดาบัดในปัจจุบัน
สุเหร่าแห่งนี้มี Jalis หรือช่องหน้าต่างหินฉลุลาย อยู่ทางด้านหลังของสุเหร่า (ด้านหน้าเปิดโล่ง) ลายฉลุมีชื่อเรียกว่า Tree of Life สวยงามเป็นที่โจษจันจนได้ประกาศเป็นมรดกโลก และกลายเป็นสัญลักษณ์ของเมืองอัมห์ดาบัด ผู้คนที่นี่ก็จะแวะเวียนเข้ามาด้านในตลอดเวลา ที่เห็นคือมาสักการะและนั่งสงบนิ่งตามพิธีกรรมทางศาสนา ผู้ดูแลที่นี่ก็ใจดี เห็นเราเก้ๆ กังๆ เค้าก็เดินมาบอกให้เราเดินเข้าไปดูสุเหร่าใกล้ๆ ได้ และแนะนำให้ดูหน้าต่างให้ครบทั้ง 4 ช่อง แต่เราต้องสำรวมและให้ความเคารพสถานที่ด้วย (มีป้ายบอกห้ามนุ่งกางเกงขาสั้นเข้าไปด้วย)
Sarkhej Roza
Sarkhej Roza (Roza เป็นภาษา Perso-Arabic มีความหมายว่าสุสานหรือสถานที่เคารพบูชา) ซึ่งซาร์เคจ เคยเป็นศูนย์กลางอารยธรรม Sufi เป็นที่อยู่ของนักบุญ Shaikh Ahmad Ganj Baksh ผู้เป็น 1 ใน 4 Ahmad (ชื่อเรียกผู้เป็นที่ยกย่องสรรเสริญ ...อ่านออกเสียงคล้าย “อำมาตย์” อ่ะ) ผู้ซึ่งวางรากฐานการก่อตั้งเมือง Ahmedabad นี้ขึ้นมาในปี 1411 ในสมัยของกษัตริย์ Sultan Ahmad Shah I และภายหลังที่นักบุญท่านนี้เสียชีวิตลงในปี 1446 กษัตริย์ Sultan Ahmad Shah II จึงได้สร้างสุสาน และสุเหร่าขึ้นที่นี่เพื่อระลึกถึงนักบุญท่านนี้ ที่นี่หาทางเข้ายากพอสมควร แท็กซี่ก็หลงทางสุด ขับย้อนศรไปมากลางถนน นี่ก็เลยต้องเปิดกูเกิ้ลแมพนำทางให้พี่เค้าเลย
ภายในเป็นพื้นที่กว้างใหญ่มาก มีสุเหร่า (Mosque) สุสาน (Tomb) และมีทะเลสาบขุด Ahmed-Sar Lake อยู่ด้านข้างสุเหร่า ที่ตอนนี้น้ำเหือดแห้งกลายเป็นทุ่งเลี้ยงวัวไปแล้ว คาดว่าพอหน้าน้ำก็จะกลับคืนเป็นทะเลสาบที่สวยงามได้(มั้ง) ถึงแม้ข้างในค่อนข้างทรุดโทรม แต่ก็ยังคงความศักดิ์สิทธิ์ สัมผัสได้ถึงมนต์ขลังและสเน่ห์แห่งอารยธรรมเก่าแก่กว่า 6 ศตวรรษ
ปัจจุบันสุเหร่าด้านในยังใช้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาอยู่ มีผู้คนเข้ามาสักการะ ฉะนั้นต้องเยี่ยมชมด้วยสงบสำรวม (มีป้ายบอกห้ามถ่ายแบบด้วย) ซึ่งค่าเยี่ยมชมก็เล็กน้อยพองาม 10 บาทประมาณนี้ แต่ต้องถอดรองเท้าไว้ตรงทางเข้า พื้นร้อนมากเดินเขย่งกันเท้าพองเลยทีเดียว และโปรดระวังลิงหางยาวไว้ให้ดี ตัวใหญ่มากพอๆ กับเด็กป.6 เลย เพราะจู่ๆ น้องก็จะวิ่งกระโดดตัดหน้ไปมาาอย่างรวดเร็ว แบบไม่ทันตั้งตัว
Dada Harir Stepwell
บ่อน้ำขั้นบันได Stepwell (คนที่นี่เรียกว่า Vav) เป็นที่เก็บกักน้ำสมัยโบราณที่สร้างมาแบบอลังการมาก ผนังทำด้วยหินที่มีการแกะสลักเป็นลวดลายวิจิตรตลอดทางเดินลงไปด้านล่าง Stepwell ที่อัมห์ดาบัดมีอยู่หลายบ่อ ที่สวยมากใหญ่โตมโหฬาร คือ Rani Ki Vav ประกาศเป็น World Heritage Site ในปี 2014 อยู่ไกลออกไปร้อยกว่ากิโล แต่ทางเรามีเวลาน้อย เลยได้ไปแค่ Dada Harir Stepwell ที่อยู่ในตัวเมือง ซึ่งดีงามมาก ทุกอย่างยังสมบูรณ์และไม่มีนักท่องเที่ยวเลย สามารถเดินถ่ายได้ทั่วบริเวณเลย ไม่มีค่าเข้าชม
Dada Harir Vav (สร้างปี 1499) ดูยังไงก็ไม่เป็นบ่อน้ำ เหมือนทางเดินลงไปวังใต้พิภพมากกว่า คือจะมีทางเดินบันไดลงไปใต้ดินเป็นชั้นๆ ลงเรื่อยๆ จนไปถึงก้นบ่อ ตลอดทางมีการแกะสลักพิมพ์ต่ำและเสาหินสลัดลายตลอดทาง นี่เดินเล่นคนเดียวโต๋เต๋ๆ สักพัก ก็มีลุงพร้อมแขวนป้ายบอกว่าเป็นคนดูแลที่นี่ ก็เข้ามาคุยพาเดินและบรรยายให้ฟัง แถมจะพาเข้าบันไดวนลึกลับขึ้นไปสู่สุเหร่าด้านบน (สุสานของ Dhai Harir มเหสีของกษัตริย์ผู้สร้าง Vav แห่งนี้) แต่พอจะเดินเข้าก็มีค้างคาวตัวใหญ่บินพุ่งออกมาตลอดเวลา ลุงแกก็บอกไม่เป็นไรๆ มันไม่กัดหรอก แต่นี่มันพุ่งออกมาจากความมืดไม่หยุด ประหนึ่งถ้ำค้างคาว ก็เลยขอบาย ไม่เข้านะลุง และสุดท้ายลุงก็ขอทิปตามระเบียบ เลยให้ไป 100 รูปี
Adalaj Stepwell
เวลาเหลือ พี่แท็กซี่ก็เลยพามาดู Adalaj Stepwell ที่ออกมานอกเมืองเล็กน้อยประมาณ 20 กิโล Stepwell ที่นี่ค่อนข้างสมบูรณ์แบบเหมือนได้บูรณะแล้ว มีรั้วกั้นให้เดินตามทาง ห้ามปีนป่ายออกนอกลู่นอกทาง ผู้คนก็เยอะมาก ไม่เหมือน Dada Harir Vav ที่สงบกว่า
หลังจากนี้ก็ไปเที่ยว Jaipur ต่อ แล้วก็นั่งรถไฟไปเที่ยวที่ Taj Mahal ซึ่งโชคดีที่ตรงกับวันมรดกโลกพอดี (18 เม.ย.) ก็เลยได้เข้าฟรีทุก World Heritage Sites ใน Agra จบทริปนี้ด้วย Jodhpur ซึ่งเป็นเมืองที่ชนะใจมากที่สุด ไว้มีโอกาสจะมาเล่าต่อครับ
[CR] A day to be Alone in Ahmedabad ... รีวิวลุยเดี่ยว เที่ยวอัมห์ดาบัดในหนึ่งวัน
ขอขึ้นต้นเป็นธรรมเนียมสำหรับสมาชิกใหม่ว่า “นี่เป็นครั้งแรกที่เขียนกระทู้รีวิวลงพันทิปครับ” โดยปกติเวลาเที่ยวไหนต่อไหน ก็เก็บความทรงจำเอาไว้กับตัวเอง ไม่คิดจะเล่าให้ใครฟังแบบละเอียด แต่คราวนี้เรารู้สึกว่าที่ผ่านมาเรามาเอาข้อมูล ตามรอยทริปจากกระทู้ในพันทิปบ่อยมาก ... งั้นเราก็ควรจะเป็นคนรีวิวให้คนอื่นฟังบ้าง
ทริปนี้เดินทางท่องเที่ยว 7 วัน ได้เที่ยวพอหอมปากหอมคอ 4 เมืองใหญ่ คือ Ahmedabad - Jaipur - Agra - Jodhpur เป็นทริปที่มีสีสันมากจริงๆ ครับ ทั้ง 4 เมืองมีสีของเมืองไม่เหมือนกันเลย เรียกทริปนี้ว่า "มหากาพย์ทริปร้อนฝนหนาวกับ 4 เมือง 4 สีที่อินเดีย"
หมายเหตุ ผมไม่ได้ลงรายละเอียดค่าใช้จ่าย เพราะไม่ได้จดไว้ครับ ส่วนภาพถ่ายประกอบทั้งหมด ใช้มือถือ Huawei Mate 20 Pro และ Gopro 3 ในการถ่าย และแต่งด้วยแอพในมือถือครับ
จริงๆ แล้วเป้าหมายการเดินทางครั้งนี้ คือเมืองจัยปูร์ หรือ ชัยปุระ (Jaipur) ที่เที่ยวยอดฮิตในอินเดียของนักท่องเที่ยวชาวไทย แต่เที่ยวบินราคาถูกที่จองไว้ (ประมาณ 5,000 บาท) ต้องมาเปลี่ยนเครื่องที่เมืองอัมห์ดาบัด (Ahmedabad) และต้องรอต่อเครื่องอีก 14 ชม. (ลงเครื่อง 6.00 น. รอต่อเครื่องตอน 20.00) ก็เลยพอมีเวลาออกมาเที่ยวชมเมืองนี้สักหน่อย แต่ด้วยความไม่แน่ใจว่าสนามบิน Sardar Vallabhbhai Patel Airportของอัมห์ดาบัดมีที่ฝากกระเป๋าเดินทางหรือไม่ เพราะอย่างที่รู้กันว่าสิ่งอำนวยสะดวกต่างๆ ในอินเดียยังไม่ดีเท่าที่ควร ยิ่งเป็นเมืองที่นักท่องเที่ยวน้อยแล้วด้วย ก็เลยอิเมล์ไปถามเจ้าหน้าที่สนามบินก่อนออกเดินทาง เค้าก็ตอบเมล์กันไปมาจนถึงเจ้าหน้าที่คนนึงตอบกลับมาเป็นภาษา Hindi !!! แปลได้ว่า "สนามบินนี้ไม่มีที่ฝากกระเป๋า!!!" ก็เลยจองห้องพักแถวสนามบินวันละ 200 กว่าบาทไว้เก็บกระเป๋า จะได้ออกไปตะลอนเที่ยวสบายๆ
สนามบิน Sardar Vallabhbhai Patel Airport
การเตรียมตัวเดินทาง ให้ทำประกันการเดินทางไว้ด้วย บุคกิ้งต่างๆ ให้เรียบร้อย ทั้งตั๋วเครื่องไป-กลับ, ที่พัก, ตั๋วรถไฟ เพราะตม.จะถาม ส่วนการทำวีซ่าอินเดียก็แสนจะง่ายดาย สมัคร E-Visa ทาง https://indianvisaonline.gov.in/evisa/ ได้เลยง่ายๆ ค่าสมัครสองพันกว่าบาท ประมาณ 2-3 วันทำการ เค้าก็จะส่งวีซ่ากลับมาทางอิเมล์ เราก็ปริ้นท์ไปยื่นที่ตม.อินเดียได้เลย
ยอมรับว่ามีความรู้เกี่ยวกับเมืองนี้น้อยมาก เลยเปิดหาข้อมูลเบาๆ ในกูเกิ้ลเอา ก็พอวางแผนไปเที่ยวได้ 2-3 แห่งในเมือง ที่เห็นตามสมควรว่าสามารถเที่ยวได้ภายในหนึ่งวันสบายๆ ซึ่งความจริงแล้วสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของเมืองนี้จะอยู่นอกเมืองเสียส่วนใหญ่ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2-3 ชม. โดยเฉพาะล่าสุดมีรูปปั้นที่ใหญ่ที่สุดในโลก “Sardar Patel’s Statue of Unity” ที่เพิ่งสร้างเสร็จปลายปีที่แล้ว ก็น่าเสียดายที่เวลาไม่เอื้ออำนวย เลยต้องเที่ยวอยู่แต่ในเมือง แต่ก็ถือว่าคุ้มค่ามาก
(ข้อมูลทั่วไป : เมืองอัมห์ดาบัด ตั้งอยู่ในรัฐคุชราต (Gujarat) เป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของรัฐนี้ และถือเป็นเมืองแรกของอินเดียที่ได้รับประกาศเป็นเมืองมรดกโลกแห่งแรกในอินเดีย อีกทั้งยังเป็นบ้านเกิดของมหาตมะคานธี (Mohandas Gandhi) นักเคลื่อนไหวผู้ทรงอิทธิพลของอินเดียและของโลก)
ในส่วนของการเดินทาง ผมจ้างรถแท็กซี่หน้าสนามบินเลย ได้ราคา 1,000 รูปีทั้งวัน (ประมาณ 500 บาท) ในลักษณะการต่อรองราคา ไม่ได้มีมิเตอร์หรือราคาตายตัวอะไร ก็รู้สึกว่าแพงสำหรับคนเดียวแหละ แต่ถ้ามีคนเดินทางด้วยก็จะช่วยแชร์ค่ารถได้สบายๆ แล้วคนขับรถก็ทำหน้าที่ไกด์ให้ด้วย ถึงดูเก้ๆ กังๆ เหมือนไม่ค่อยมีประสบการณ์นำเที่ยว แต่ก็ดูตั้งใจดี ตามใจเราทุกอย่างจะไปไหนก็พาไป
เมืองอัมห์ดาบัดไม่วุ่นวายพลุกพล่านเหมือนเมืองใหญ่อื่นๆ มีแม่น้ำ Sabarmati (กว้างใหญ่มาก พอๆ กับเจ้าพระยาบ้านเรา) ไหลผ่านกลางเมือง เวลาคนขับรถใช้เส้นทางเลียบแม่น้ำ ก็จะเห็นวิวทิวทัศน์แม่น้ำสวยงามมาก ซึ่งตอนแรกว่าจะไปชมพิพิธภัณฑ์ที่เป็นอาศรมของท่านมหาตมะคานธี แต่เผอิญว่าปิดทำการวันจันทร์พอดี
Bhadra Towers
สถานที่แรกที่ไป คือ Bhadra Towers เป็นป้อมปราการที่เก่าแก่ที่สุดของเมืองอัมห์ดาบัด สร้างขึ้นเมื่อปี 1411 โดย Sultan Ahmed สร้างอุทิศแด่พระแม่กาลี เทพเจ้าที่ประชากรทางใต้ของอินเดียให้ความนับถืออย่างมาก โดยมี Bhadrakali Temple หรือวัดพระแม่ภัทรกาลี อยู่ติดกับป้อมเลย บางคนอาจเคยได้ยินชื่อท่านมาบ้าง แต่ภาคภัทรกาลีถือเป็นภาคพระแม่ที่ดุร้ายที่สุด เพราะฉะนั้นการเยี่ยมชมที่นี่ ต้องให้ความเคารพอย่างมาก ขาตั้งกล้อง (Tripod) จะไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ นี่เลยไปขออนุญาตใช้ไม้เซลฟี่ (Monopod) เจ้าหน้าที่ ก็อนุญาตให้ใช้ได้ การมาเที่ยวคนเดียว ขาตั้งกล้องถือว่าจำเป็นมาก ในเมื่อใช้ไม่ได้ (และคุณพี่เจ้าหน้าที่ก็จ้องจับผิดตลอดเวลา) ... เลยได้แต่เซลฟี่รัวๆ
Sidi Saeed’s Mosque
นั่งรถเลี้ยวไปเลี้ยวมาไม่ไกลเท่าไหร่ ก็เจอกับ Sidi Saeed’s Mosque เป็นสุเหร่ากลางเมือง สร้างขึ้นเมื่อปี 1572 อุทิศให้กับ Sidi Saeed ขุนนางชาว Abyssinian ผู้เดินทางมาจาก Habshah (Ethiopia) ผ่านเยเมนมาที่ดินแดนคุชราตแห่งนี้ ท่าน Sidi Saeed ขึ้นเป็นขุนนางในสมัยของกษัตริย์ Nasir-ud-Din Mahmud III เป็นคนชอบช่วยเหลือคนจน ประกอบคุณงามความดีมากมาย พอเสียชีวิตลง Sultan Muzaffar Shah III ก็ได้สร้างสุเหร่าแห่งศรัทธานี้ขึ้นมาอุทิศให้แก่ขุนนางท่านนี้ ระยะเวลาผ่านไปที่นี่กลายเป็นสถานที่สำคัญมากมายในอดีตของอินเดีย เช่น สถานที่ราชการในยุคที่สหราชอาณาจักรเข้ามายึดครอง จนทุกวันนี้กลายเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สำคัญของอัมห์ดาบัดในปัจจุบัน
สุเหร่าแห่งนี้มี Jalis หรือช่องหน้าต่างหินฉลุลาย อยู่ทางด้านหลังของสุเหร่า (ด้านหน้าเปิดโล่ง) ลายฉลุมีชื่อเรียกว่า Tree of Life สวยงามเป็นที่โจษจันจนได้ประกาศเป็นมรดกโลก และกลายเป็นสัญลักษณ์ของเมืองอัมห์ดาบัด ผู้คนที่นี่ก็จะแวะเวียนเข้ามาด้านในตลอดเวลา ที่เห็นคือมาสักการะและนั่งสงบนิ่งตามพิธีกรรมทางศาสนา ผู้ดูแลที่นี่ก็ใจดี เห็นเราเก้ๆ กังๆ เค้าก็เดินมาบอกให้เราเดินเข้าไปดูสุเหร่าใกล้ๆ ได้ และแนะนำให้ดูหน้าต่างให้ครบทั้ง 4 ช่อง แต่เราต้องสำรวมและให้ความเคารพสถานที่ด้วย (มีป้ายบอกห้ามนุ่งกางเกงขาสั้นเข้าไปด้วย)
Sarkhej Roza
Sarkhej Roza (Roza เป็นภาษา Perso-Arabic มีความหมายว่าสุสานหรือสถานที่เคารพบูชา) ซึ่งซาร์เคจ เคยเป็นศูนย์กลางอารยธรรม Sufi เป็นที่อยู่ของนักบุญ Shaikh Ahmad Ganj Baksh ผู้เป็น 1 ใน 4 Ahmad (ชื่อเรียกผู้เป็นที่ยกย่องสรรเสริญ ...อ่านออกเสียงคล้าย “อำมาตย์” อ่ะ) ผู้ซึ่งวางรากฐานการก่อตั้งเมือง Ahmedabad นี้ขึ้นมาในปี 1411 ในสมัยของกษัตริย์ Sultan Ahmad Shah I และภายหลังที่นักบุญท่านนี้เสียชีวิตลงในปี 1446 กษัตริย์ Sultan Ahmad Shah II จึงได้สร้างสุสาน และสุเหร่าขึ้นที่นี่เพื่อระลึกถึงนักบุญท่านนี้ ที่นี่หาทางเข้ายากพอสมควร แท็กซี่ก็หลงทางสุด ขับย้อนศรไปมากลางถนน นี่ก็เลยต้องเปิดกูเกิ้ลแมพนำทางให้พี่เค้าเลย
ภายในเป็นพื้นที่กว้างใหญ่มาก มีสุเหร่า (Mosque) สุสาน (Tomb) และมีทะเลสาบขุด Ahmed-Sar Lake อยู่ด้านข้างสุเหร่า ที่ตอนนี้น้ำเหือดแห้งกลายเป็นทุ่งเลี้ยงวัวไปแล้ว คาดว่าพอหน้าน้ำก็จะกลับคืนเป็นทะเลสาบที่สวยงามได้(มั้ง) ถึงแม้ข้างในค่อนข้างทรุดโทรม แต่ก็ยังคงความศักดิ์สิทธิ์ สัมผัสได้ถึงมนต์ขลังและสเน่ห์แห่งอารยธรรมเก่าแก่กว่า 6 ศตวรรษ
ปัจจุบันสุเหร่าด้านในยังใช้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาอยู่ มีผู้คนเข้ามาสักการะ ฉะนั้นต้องเยี่ยมชมด้วยสงบสำรวม (มีป้ายบอกห้ามถ่ายแบบด้วย) ซึ่งค่าเยี่ยมชมก็เล็กน้อยพองาม 10 บาทประมาณนี้ แต่ต้องถอดรองเท้าไว้ตรงทางเข้า พื้นร้อนมากเดินเขย่งกันเท้าพองเลยทีเดียว และโปรดระวังลิงหางยาวไว้ให้ดี ตัวใหญ่มากพอๆ กับเด็กป.6 เลย เพราะจู่ๆ น้องก็จะวิ่งกระโดดตัดหน้ไปมาาอย่างรวดเร็ว แบบไม่ทันตั้งตัว
Dada Harir Stepwell
บ่อน้ำขั้นบันได Stepwell (คนที่นี่เรียกว่า Vav) เป็นที่เก็บกักน้ำสมัยโบราณที่สร้างมาแบบอลังการมาก ผนังทำด้วยหินที่มีการแกะสลักเป็นลวดลายวิจิตรตลอดทางเดินลงไปด้านล่าง Stepwell ที่อัมห์ดาบัดมีอยู่หลายบ่อ ที่สวยมากใหญ่โตมโหฬาร คือ Rani Ki Vav ประกาศเป็น World Heritage Site ในปี 2014 อยู่ไกลออกไปร้อยกว่ากิโล แต่ทางเรามีเวลาน้อย เลยได้ไปแค่ Dada Harir Stepwell ที่อยู่ในตัวเมือง ซึ่งดีงามมาก ทุกอย่างยังสมบูรณ์และไม่มีนักท่องเที่ยวเลย สามารถเดินถ่ายได้ทั่วบริเวณเลย ไม่มีค่าเข้าชม
Dada Harir Vav (สร้างปี 1499) ดูยังไงก็ไม่เป็นบ่อน้ำ เหมือนทางเดินลงไปวังใต้พิภพมากกว่า คือจะมีทางเดินบันไดลงไปใต้ดินเป็นชั้นๆ ลงเรื่อยๆ จนไปถึงก้นบ่อ ตลอดทางมีการแกะสลักพิมพ์ต่ำและเสาหินสลัดลายตลอดทาง นี่เดินเล่นคนเดียวโต๋เต๋ๆ สักพัก ก็มีลุงพร้อมแขวนป้ายบอกว่าเป็นคนดูแลที่นี่ ก็เข้ามาคุยพาเดินและบรรยายให้ฟัง แถมจะพาเข้าบันไดวนลึกลับขึ้นไปสู่สุเหร่าด้านบน (สุสานของ Dhai Harir มเหสีของกษัตริย์ผู้สร้าง Vav แห่งนี้) แต่พอจะเดินเข้าก็มีค้างคาวตัวใหญ่บินพุ่งออกมาตลอดเวลา ลุงแกก็บอกไม่เป็นไรๆ มันไม่กัดหรอก แต่นี่มันพุ่งออกมาจากความมืดไม่หยุด ประหนึ่งถ้ำค้างคาว ก็เลยขอบาย ไม่เข้านะลุง และสุดท้ายลุงก็ขอทิปตามระเบียบ เลยให้ไป 100 รูปี
Adalaj Stepwell
เวลาเหลือ พี่แท็กซี่ก็เลยพามาดู Adalaj Stepwell ที่ออกมานอกเมืองเล็กน้อยประมาณ 20 กิโล Stepwell ที่นี่ค่อนข้างสมบูรณ์แบบเหมือนได้บูรณะแล้ว มีรั้วกั้นให้เดินตามทาง ห้ามปีนป่ายออกนอกลู่นอกทาง ผู้คนก็เยอะมาก ไม่เหมือน Dada Harir Vav ที่สงบกว่า
หลังจากนี้ก็ไปเที่ยว Jaipur ต่อ แล้วก็นั่งรถไฟไปเที่ยวที่ Taj Mahal ซึ่งโชคดีที่ตรงกับวันมรดกโลกพอดี (18 เม.ย.) ก็เลยได้เข้าฟรีทุก World Heritage Sites ใน Agra จบทริปนี้ด้วย Jodhpur ซึ่งเป็นเมืองที่ชนะใจมากที่สุด ไว้มีโอกาสจะมาเล่าต่อครับ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น