สวัสดีทุกคนนะครับ
เราอยากปรึกษาสมาชิคทุกคนในนี้ หรือใครก็ได้ที่ไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่รู้จักเรา ช่วยให้คำแนะนำในฐานะ คนที่รับฟังเรื่องของคนๆนึงและแสดงความคิดเห็นตามที่สัมผัสและรู้สึกจริงๆ โดยไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรกับตัวเองเลย เพื่อแนะนำเราสำหรับความสับสนกับปัญหาครั้งนี้
ปัตจุบันเราเพิ่งอายุ 20 กลางๆ คือเรากับแฟนคบกันมาเกือบ 7 ปีแล้ว ส่วนแฟนนั้นห่างกับเรา 7 ปี หมายความว่าเราคบกันมาตั้งแต่สมัยมัธยมปลาย ซึ่งนั่นคือความรักครั้งแรกของเราเลยก็ว่าได้
เราเป็นคนต่างจัดหวัดที่โง่ๆซื่อๆ ไม่ทันคน ลำบากยากจนมาแต่เด็ก บ้านแตกพ่อแม่แยกทางกัน เอาง่ายๆคือเหมือนเด็กมีปัญหาคนนึง แต่เราก็ใช้ชีวิตของเรามาแบบเรื่อยๆ โดยที่มีอาคนนึงคอยดูแลแทนพ่อกับแม่
( พ่อกับแม่แยกทางกันตั้งแต่เรา ป.6 ไล่แม่ออกจากบ้านไป โดยปกติเราจะอยู่ที่บ้านกับแม่ตลอด และติดแม่มาก ซึ่งพ่อจะไปทำงานอีกจังหวัดนึง และกลับบ้านอาทิตย์ละ 2 วันคือวันเสาร์ค่ำๆ ถึงวันอาทิตย์ และจันท์-ศุกร์ เราอยู่กับแม่ แต่ตั้งแต่วันที่พ่อไล่แม่ออกจากบ้านวันนั้น แม่ก็ไม่กลับมาอีกเลย เราจึงจะเจอพ่อแค่วันเสาร์-อาทิตย์เท่านั้น นอกจากนั้นต้องใช้ชีวิตด้วยเองโดยที่แม่ไม่อยู่อีกแล้ว แต่เค้าก็แวะมาหาบ้างนานๆครั้ง )
ด้วยความที่พ่อแม่เรียนจบแค่ ป.4-6 ไม่มีความรู้มากมาย งานจึงลำบากมาก เงินไม่เยอะ แต่ถือเป็นโชคดีที่เรายังพอมีวาสนา ที่มีเพื่อนของพ่อข้างบ้าน เขาเป็นเกย์ และไม่มีลูก และสนิทกับครอบครัวพ่อแม่เรามาก เค้าจึงคอยให้เงิน และดูแลเรามาตลอด เราเรียกเขาว่าอา ( หน้าที่งานงานดี จบปริญญา มีงานและเงินเดือนที่มั่นคงในระดับนึง )
อาอยู่ข้างบ้านเรา คอยดูแลเราช่วยเหลือครอบครัวเรา ส่งเสียเราเรียนตั้งแต่เด็ก จนถึงม.ปลาย อาก็ย้ายบ้าน เพราะมีแฟนเข้ามา และแฟนอาก็ไม่ชอบเรา เพราะคิดว่าเราคือตัวผลาญเงินอา ไม่มีความจำเป็นต้องส่งเสีย ( มันควเป็นแบบนั้นจริงๆ ) แต่เรามีน้องชายคนนึง อาดูแลทั้งเราและน้องมาตลอด เราก็อยู่กับน้องสองคน
สุดท้ายพอถึงวันที่จะย้ายบ้าน อาเอาน้องเราไปด้วย เพราะแฟนอารู้สึกเอ็นดูน้องของเรา แต่ไม่ชอบเรา เพราะเราชอบขอเงินอา ( เราเป็นเด็กอ้วน หิวเก่ง เลยขอตังค์บ่อยๆ ) อาเลี้ยงเรามาตั้งแต่เกิดจนมารู้ทีหลังว่าจริงๆแล้วเขาไม่ใช่อาแท้ๆ เป็นแค่คนข้างบ้านเท่านั้น แรกๆก็อึ้ง แต่มันรู้สึกเหมือนเป็นคนในครอบครัวไปแล้ว
อาและแฟนตัดสินใจย้ายบ้านไปบ้านใหม่และเอาน้องไปอยู่ด้วย แต่ไม่ให้เราไป เค้าให้เหตุผลว่าให้เราเฝ้าต้องบ้านที่นี่ เพราะต้องดูแลตัวเองและบ้านที่นี่ เราก็เลยต้องอยู่อย่างนั้นมาตลอด ชีวิตเลยไม่ค่อยได้โฟกัสกับความรักเลย หรือแทบไม่เคยรู้จักความรักเลยด้วยซ้ำ อยู่แบบไม่ได้มีใครสั่งสอน คิดเองใช้ชีวิตเอาเอง เลยไม่ค่อยทันคนอื่นเขา
อยู่มาวันนึง เราเข้าเรียนจนจะจบมัธยมปลายแล้ว เริ่มดูแลตัวเอง ลดความอ้วน ทำตัวเองให้ดูดีมากขึ้น ก็เริ่มมีคนมาคุยด้วย มาจีบเรา ซึ่งเราก็ไม่เคยมีแฟน เลยไม่รู้เลยว่าต้องทำตัวยังไงก็ตัดสินใจคบไปเพราะเค้าบอกว่าขอเป็นแฟน เราก็ตอบตกลงแบบงงๆ
แต่ตอนนั้นเราเด็กมาก ไม่ได้เลือกเลยด้วยซ้ำ ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย แค่มีคนมาคุย เราก็รู้สึกดีใจมากแล้ว เพราะเคยเห็นในละคร ก็รู้สึกว่าอยากมีความรักแบบนี้บ้าง เราก็รู้สึกดีตามประสาเด็กๆ
ซึ่งพอเราเริ่มคบกับแฟนคนนี้ เราก็เริ่มงี่เง่า เค้าเองก็ใจร้อน ต่างคนต่างไม่ยอม ทะเลาะกันเรื่องไร้สาระ จนมันเหมือนเป็นแค่คำว่าแฟน ที่แค่รู้ว่ามีแฟน ฟิกซ์ไปหมดว่าต้องทำแบบนั้นแบบนี้ จนสุดท้าย พอพี่เขาเรียนจบม.6 เราก็แยกย้ายกันไป สุดท้ายมันเป็นเหมือนแค่ประสบการณ์นึงในวัยมัธยมที่ผ่านมาและผ่านไป เหมือนแค่รู้ว่าการมีแฟน มันเป็นแบบนี้นี่เอง
แต่หลังจากนั้น มีพี่พี่คนนึงเข้ามาคุยกับเรา ในขณะที่แฟนที่เราคบอยู่เข้ามหาลัยแล้วไปอยู่ต่างจังหวัด เค้า ห้ามเราทำทุกอย่าง ทะเลาะกันครั้งนึงตัดสายปิดเครื่องไป 3 วัน พอได้คุยก็ทะเลาะอีก สุดท้ายเราก็ตัดสินใจเลิกเพราะเราไม่มีความสุขเลย มันก็ผ่านไปสำหรับการมีแฟนครั้งแรก
แต่จากนั้นอีกวันนึงต่อมา มีพี่อีกคนที่มาคุยกับเรา และเราก็คบกันเลยในวันนั้น พี่เขาเป็นคนจังหวัดเดียวกัน แต่โตกว่าเรามาก ตอนนั้นรู้สึกแค่ว่าต้องการใครสักคน เราอยู่ไม่ไหวถ้าจะไม่มีใครเลย เราจึงคบกับพี่คนนี้ แล้วหลังจากนั้น ชีวิตก็เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือเลย
เรามีงานทำ มีโอกาสดีๆ ได้รับโอกาสดีๆก็เพราะคบกับพี่คนนี้ เราเรียนจบแล้วก็ได้โอกาสฟลุ้คๆในการทำงานเก็บเงินเพราะแฟนคนนี้ จนประมาณ 1 ปีเราก็เค้าก็เริ่มมีคนอื่น เพราะหมดโอกาส หมดงาน หมดเงิน บวกกับเขาคงเบื่อด้วย เลยจะทิ้งเรา แต่เราก็ตามตื๊อ ยอมทุกอย่าง จะด่าจะว่าจะตบจะตีก็ยอม เพราะเรามาอยู่กรุงเทพได้เพราะเค้า คิดว่าถ้าขาดเค้าไปเราทำอะไรไม่ได้แน่ๆ จะใช้ชีวิตเองได้ยังไง ไม่มีอะไรติดตัวมาเลยสักอย่าง
สุดท้ายเราก็คบกันต่อ แฟนของเราเลิกกับคนนั้น แล้วไปต่อกับเรา จากนั้นเราจึงคบกันมาเรื่อยๆ พากันหาเงินจนมีบ้านมีรถ ( เงินผ่อน )
ผ่อนไปได้ 2 เดือนเริ่มมีปัญหา งานหทดเงินหมด เราเองเริ่มโตขึ้น เราเลยคิดว่าจะต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อความอยู่รอด
ตัดสินกลับไปขอยืมเงินอามาก้อนหนึ่งเพื่อลงทุนทำสินค้าออกมาขาย ทุกอย่างเราทำเองทั้งหมด เค้าก็ช่วยเราทำ จนวันนึงธุรกิจเราไปได้ดีมากๆ เราได้บ้านและรถพร้อมเงินสดมากมาย โดยหลังๆมาเราเริ่มจ้างคนมาช่วยเพราะทำกันเองไม่ไหว เราเป็นคนทำทุกอย่าง และไม่สนใจอะไรทั้งนั้น เอาแต่งานไว้ก่อน เพราะคิดว่ามันคือโอกาสที่เราควรรีบกอบโกยให้มากที่สุด ในขณะที่ช่วงหลังจากเรามีเงินมากพอแล้ว เริ่มสุขสบายแล้ว พี่เขาก็เริ่มหยุดทำงาน
เราไม่เคยคิดต้องการความช่วยเหลือจากใคร เพราะคิดว่าตัวเราทำได้ เราไหว แต่แฟนก็ใช้เงินร่วมกับเรามาตลอด เราคิดว่าเราคือครอบครัวเดียวกัน คิดว่าอย่างน้อยถ้าไม่มีเค้าคงไม่มีเราวันนี้ เราทำเองได้ เขาไม่ทำก็ได้
ระหว่างนั้นก็แอบจับได้ภายหลังมาตลอด ว่าเขาแอบคุยไปจีบคนนั้นคนนี้โดยที่เราไม่เคยรู้เลย สุดท้ายเราก็ยอมให้อภัยตลอดมา ไม่ว่าจะทำลายข้าวของ ปาโทรศัพท์ทิ้งเป็นว่าเล่น เอาเงินไปใช้เท่าไหร่ก็ได้ที่อยากใช้ เพราะถือสิทธิ์ว่าเรามีวันนี้ได้เพราะเค้า
เรารู้นิสัยดีว่าเค้าเป็นคนแบบนี้ เลยไม่ได้คิดอะไร แอบคุย เจ้าชู้ ตบตี ดีร้ายแค่ไหนเราไม่ว่า ขอแค่ไม่นอกใจไปมีอะไรกับใครก็พอ เพราะสำหรับเรามันคือเรื่องใหญ่มาก และเค้าคือคนแรกของเราด้วย
เรียกได้ว่าชีวิตช่วงหลังเราถือว่ามาใกลมากๆ เราได้ตอบแทนพ่อแม่ เลี้ยงดูท่านทุกอย่าง และเช่นกัน เราซื้อบ้านใหม่แม่ของเรา เค้าก็บอกว่าบ้านเค้าต้องได้ด้วย เราก็ซื้อให้
จากนั้นเราแต่งงานกัน โดยเค้าขอเราแต่งงาน แต่เค้าให้เราจ่ายทั้งหมด เพราะเงินทั้งหมดอยู่ที่เรา เค้าบอกว่าเราไม่ให้เค้าพกเงิน เงินมันเงินของเราทั้งคู่ ไม่ใช่เงินใครคนใดคนนึง ถ้าไม่มีเค้าก็ไม่มีเราวันนี้ อย่าลืม เราเข้าใจตรงนั้น แต่โอกาสมันมาตั้งแต่แค่ปีแรกๆที่คบกัน จากนั้นไม่ว่าเงินลงทุน การทำงาน หรืออะไรต่างๆที่ทำ เราเป็นคนคิด ริเริ่ม และลงมือทำ วางแผนเองทั้งหมด เค้าเพียงอยู่ข้างๆ ไม่ได้ทำอะไร แถมยังมีคนอื่นไปเรื่อยมาตลอดแม้กระทั่งหลังแต่งงานก็ยังมี
เราก็งง ว่าก็เราทำ เราขายของ เราทำมาหากินไม่ได้หลับได้นอนทุกวันอยู่คนเดียว แล้วทำไมต้องเอาเงินไว้ที่เค้า สุดท้ายเข้าปีที่ 4-5 เราซื้อรถซื้อบ้านให้เขา เรามีรถกันคนละคัน มีบ้านคนละหลังให้พ่อแม่ โดยใช้เงินเราทั้งหมด
การทำงานเรามีประสบการณ์มากขึ้น เราโตขึ้นมาก แต่เรื่องใช้ชีวิต การทันคนหรือการถูกหลอกเรายังคงไม่รู้เรื่องเหมือนเดิม ( นอกจากใช้เงินกระเป๋าเดียวกันแล้ว เขาจะต้องได้รับเงินเดือน 70,000 บาท ต่อเดือนอีกด้วย ) และคอยให้เงินช่วยเหลือครอบครัวเขา หรือแม้กระทั่งพ่อแม่พี่น้องลูกหลาน แต่เราไม่เคยคิดอะไร คิดว่าครอบครัวเดียวกัน ก็ต้องช่วยกันอยู่แล้ว ถ้าไม่ได้ดั่งใจก็จะตะโกนด่าเสียงดังโวยวายทำลายข้าวของตลอด
จนหลังๆมาคนรอบข้างเริ่มพูดเริ่มเตือนว่าอย่าปล่อยไว้แบบนี้ มันจะติดเป็นนิสัยและแย่ลงนะ เราก็ไม่แคร์เพราะคิดว่าเราเชื่อในสิ่งที่เค้าบอกจะถูกต้องที่สุด
จนมาถึงช่วงเข้า 6-7 ปีหลัง เรามารู้ความจริงอีกอย่างว่าที่เค้าเคยบอกเราว่าจะนอกใจยังไงก็ไม่เคยมีอะไีร ไม่เคยมีใคร มันไม่ใช่ความจริง เพราะเค้ามีตั้งแต่ช่วง 2 ปีแรกแล้ว และหลังจากนั้นก็ด้วย
เราแทบล้มทั้งยืน เพราะรู้สึกเหมือนทุกอย่างมันพัง เราเหมือนเจ็บดีเลย์ เหมือนจริงๆแล้วเราไม่เคยรู้จักเค้าเลย เพิ่งมารู้ตัวตนที่แท้จริงก็วันนี้ เราเลยขอเลิก ทั้งๆที่คนรอบข้างคอยเตือนตลอดว่าเค้าไม่ได้ดีอย่างที่เราคิด
จนถึงตอนนี้ เรายังคบกันอยู่ แต่ ความรู้สึกเรามันพังไปหมดแล้ว มันเริ่มรู้สึกเอือมระอา เฉยชา เข้มแข็งขึ้นเพราะที่ผ่านมาเขาทำให้เราต้องเข้มแข็งด้วยตัวเอง ทิ้งเราไปกินเหล้าไปเที่ยว จากที่ทำอะไรไม่เป็น ก็ต้องทำเองทุกอย่าง รถมีแต่ไม่ขับให้ เราขับไม่เป็นก็นั่งแท็กซี่ไป จนกลายเป็นว่าตอนนี้เราอยู่คนเดียวได้แล้ว จนเคยบอกเลิกหลายครั้ง เขาก็ไม่ไป แล้วเราก็ยอมทุกครั้งเพราะรักเค้ามาก อยู่กันมานานเกินกว่าจะทำใจเลิกได้ ทั้งๆที่สมองและจิตใต้สำนึกมันเริ่มรู้แล้วว่าอะไรคืออะไร
ซึ่งภายหลังมานี้ เราโตขึ้น เข้มแข็งขึ้น แต่ธุรกิจเรา การเงินที่เคยใช้แบบสุขสบาย กลับเริ่มสะดุด ติดขัด ทำให้นิสัยที่เค้าเคยรุนแรงกับพนักงานในบริษัทของเรา จากที่เคยเหวี่ยงตลอดเวลา เค้ากลับปรับตัวให้ดีมากขึ้น สำนึกมากขึ้น เปลี่ยนเป็นคนน่ารัก ใจเย็น พยายามทำดีกับเรามากขึ้น รวมถึงกับคนรอบข้าง จนเราทิ้งเขาไม่ลง เพราะทุกครั้งที่บอกเลิก เราเองก็เสียใจมากเหมือนกัน แต่ก็ยังยอมจ่ายค่าใช้จ่ายทุกอย่างให้เหมือนเดิม ขอแค่ยอมเลิก และเค้าก็ยอมไปแต่โดยดี เพราะเราเด็ดขาดจริงๆ เค้ารู้สึกได้จริงๆว่าเราไม่เอาแล้ว เค้าไปทั้งน้ำตา
แต่พอเอาเข้าจริงๆ เรากลับอดเป็นห่วง สงสาร และอดห่วงไม่ได้ที่เค้าจะต้องไปลำบาก เพราะรู้ว่าเค้าทำอะไรไม่เป็นเลย และรู้สึกผิดที่ทำให้เค้าเสียใจ และเพราะช่วงหลังมาเราไม่ทะเลาะกันเลยเพราะเค้ารู้ว่าเรากำลังแย่ เลยไม่อยากสร้างปัญหา แต่สำหรับเรา เรากลับคิดว่ามันสายไปแล้ว แต่เพราะเค้าเป็นหนักมาก ร้องไห้ เสียใจ ซึมเศร้า และเราก็ยังห่วงเค้าอยู่ตลอด เลยกำลังสับสนในตัวเองมากๆ
หรือว่าเค้ารักเรามากจริงๆ? หรือว่าเราเองที่ผิด เราควรให้โอกาสเค้าบ้าง ควรพูดกันตรงๆ แล้วปรับกันอีกครั้ง แต่ทั้งๆที่รู้ว่ามันเป็นไปได้ยากมาก เพราะที่ผ่านมาเราพูดแล้ว คุยแล้ว สุดท้ายก็เหมือนเดิมมาตลอด
แต่ยิ่งนับวันที่เงินหมด เค้าก็ไม่ไปไหน ยังอยู่ข้างๆ ยังรัก ยังให้กำลังใจ ยังเราในสิ่งที่เราเป็นได้เสมอ เลยเลยรู้ว่าสรุปแล้ว เราควรจะตัดใจปล่อยเค้าไป เพื่ออาจมีชีวิตที่ดีกว่า เพราะอยู่กันต่อไป แต่มันก็มีแค่เราที่เหนื่อยอยู่ดี ความก้าวหน้าก็ไม่มี แต่พอเค้าจะไปก็กลับเสียใจเอง หรือจริงๆแล้ว..รักยังรักเราอยู่
ดังนั้น เราควรให้โอกาสอีกสักครั้ง หรือเดินหน้าต่อไปดี ควรหยุดแค่นี้ ไปหาใหม่เอาดาบหน้า แต่จริงๆแล้วชีวิตเราต้องการแค่ใครสักคนที่อยู่ข้างๆหรือเปล่า เพราะในวันที่มีเงิน เราอาจไม่มีความสุขเพราะเค้าก็ได้ แต่ถามว่าวันนี้มีความสุขมั้ยที่เค้ากลับมา เราก็เฉยๆ
มันสับสนไปหมด ว่าควรจะเอายังไงต่อไปกับชีวิตดี
คิดวกไปวนมา เดี๋ยวก็จะเลิอก เดี๋ยวก็จะดี เดี๋ยวก็เบื่อ สับสนจนจะเป็นบ้าไปแล้ว
วอนพี่อ้อยพี่ฉอดหรือใครก็ได้ช่วยมาตอบที เราโคตรคิดหนักเลย
จาก
ปรึกษาปัญหาความรัก ของคนมีคู่ที่กำลังถึงจุดอิ่มตัว
เราอยากปรึกษาสมาชิคทุกคนในนี้ หรือใครก็ได้ที่ไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่รู้จักเรา ช่วยให้คำแนะนำในฐานะ คนที่รับฟังเรื่องของคนๆนึงและแสดงความคิดเห็นตามที่สัมผัสและรู้สึกจริงๆ โดยไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรกับตัวเองเลย เพื่อแนะนำเราสำหรับความสับสนกับปัญหาครั้งนี้
ปัตจุบันเราเพิ่งอายุ 20 กลางๆ คือเรากับแฟนคบกันมาเกือบ 7 ปีแล้ว ส่วนแฟนนั้นห่างกับเรา 7 ปี หมายความว่าเราคบกันมาตั้งแต่สมัยมัธยมปลาย ซึ่งนั่นคือความรักครั้งแรกของเราเลยก็ว่าได้
เราเป็นคนต่างจัดหวัดที่โง่ๆซื่อๆ ไม่ทันคน ลำบากยากจนมาแต่เด็ก บ้านแตกพ่อแม่แยกทางกัน เอาง่ายๆคือเหมือนเด็กมีปัญหาคนนึง แต่เราก็ใช้ชีวิตของเรามาแบบเรื่อยๆ โดยที่มีอาคนนึงคอยดูแลแทนพ่อกับแม่
( พ่อกับแม่แยกทางกันตั้งแต่เรา ป.6 ไล่แม่ออกจากบ้านไป โดยปกติเราจะอยู่ที่บ้านกับแม่ตลอด และติดแม่มาก ซึ่งพ่อจะไปทำงานอีกจังหวัดนึง และกลับบ้านอาทิตย์ละ 2 วันคือวันเสาร์ค่ำๆ ถึงวันอาทิตย์ และจันท์-ศุกร์ เราอยู่กับแม่ แต่ตั้งแต่วันที่พ่อไล่แม่ออกจากบ้านวันนั้น แม่ก็ไม่กลับมาอีกเลย เราจึงจะเจอพ่อแค่วันเสาร์-อาทิตย์เท่านั้น นอกจากนั้นต้องใช้ชีวิตด้วยเองโดยที่แม่ไม่อยู่อีกแล้ว แต่เค้าก็แวะมาหาบ้างนานๆครั้ง )
ด้วยความที่พ่อแม่เรียนจบแค่ ป.4-6 ไม่มีความรู้มากมาย งานจึงลำบากมาก เงินไม่เยอะ แต่ถือเป็นโชคดีที่เรายังพอมีวาสนา ที่มีเพื่อนของพ่อข้างบ้าน เขาเป็นเกย์ และไม่มีลูก และสนิทกับครอบครัวพ่อแม่เรามาก เค้าจึงคอยให้เงิน และดูแลเรามาตลอด เราเรียกเขาว่าอา ( หน้าที่งานงานดี จบปริญญา มีงานและเงินเดือนที่มั่นคงในระดับนึง )
อาอยู่ข้างบ้านเรา คอยดูแลเราช่วยเหลือครอบครัวเรา ส่งเสียเราเรียนตั้งแต่เด็ก จนถึงม.ปลาย อาก็ย้ายบ้าน เพราะมีแฟนเข้ามา และแฟนอาก็ไม่ชอบเรา เพราะคิดว่าเราคือตัวผลาญเงินอา ไม่มีความจำเป็นต้องส่งเสีย ( มันควเป็นแบบนั้นจริงๆ ) แต่เรามีน้องชายคนนึง อาดูแลทั้งเราและน้องมาตลอด เราก็อยู่กับน้องสองคน
สุดท้ายพอถึงวันที่จะย้ายบ้าน อาเอาน้องเราไปด้วย เพราะแฟนอารู้สึกเอ็นดูน้องของเรา แต่ไม่ชอบเรา เพราะเราชอบขอเงินอา ( เราเป็นเด็กอ้วน หิวเก่ง เลยขอตังค์บ่อยๆ ) อาเลี้ยงเรามาตั้งแต่เกิดจนมารู้ทีหลังว่าจริงๆแล้วเขาไม่ใช่อาแท้ๆ เป็นแค่คนข้างบ้านเท่านั้น แรกๆก็อึ้ง แต่มันรู้สึกเหมือนเป็นคนในครอบครัวไปแล้ว
อาและแฟนตัดสินใจย้ายบ้านไปบ้านใหม่และเอาน้องไปอยู่ด้วย แต่ไม่ให้เราไป เค้าให้เหตุผลว่าให้เราเฝ้าต้องบ้านที่นี่ เพราะต้องดูแลตัวเองและบ้านที่นี่ เราก็เลยต้องอยู่อย่างนั้นมาตลอด ชีวิตเลยไม่ค่อยได้โฟกัสกับความรักเลย หรือแทบไม่เคยรู้จักความรักเลยด้วยซ้ำ อยู่แบบไม่ได้มีใครสั่งสอน คิดเองใช้ชีวิตเอาเอง เลยไม่ค่อยทันคนอื่นเขา
อยู่มาวันนึง เราเข้าเรียนจนจะจบมัธยมปลายแล้ว เริ่มดูแลตัวเอง ลดความอ้วน ทำตัวเองให้ดูดีมากขึ้น ก็เริ่มมีคนมาคุยด้วย มาจีบเรา ซึ่งเราก็ไม่เคยมีแฟน เลยไม่รู้เลยว่าต้องทำตัวยังไงก็ตัดสินใจคบไปเพราะเค้าบอกว่าขอเป็นแฟน เราก็ตอบตกลงแบบงงๆ
แต่ตอนนั้นเราเด็กมาก ไม่ได้เลือกเลยด้วยซ้ำ ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย แค่มีคนมาคุย เราก็รู้สึกดีใจมากแล้ว เพราะเคยเห็นในละคร ก็รู้สึกว่าอยากมีความรักแบบนี้บ้าง เราก็รู้สึกดีตามประสาเด็กๆ
ซึ่งพอเราเริ่มคบกับแฟนคนนี้ เราก็เริ่มงี่เง่า เค้าเองก็ใจร้อน ต่างคนต่างไม่ยอม ทะเลาะกันเรื่องไร้สาระ จนมันเหมือนเป็นแค่คำว่าแฟน ที่แค่รู้ว่ามีแฟน ฟิกซ์ไปหมดว่าต้องทำแบบนั้นแบบนี้ จนสุดท้าย พอพี่เขาเรียนจบม.6 เราก็แยกย้ายกันไป สุดท้ายมันเป็นเหมือนแค่ประสบการณ์นึงในวัยมัธยมที่ผ่านมาและผ่านไป เหมือนแค่รู้ว่าการมีแฟน มันเป็นแบบนี้นี่เอง
แต่หลังจากนั้น มีพี่พี่คนนึงเข้ามาคุยกับเรา ในขณะที่แฟนที่เราคบอยู่เข้ามหาลัยแล้วไปอยู่ต่างจังหวัด เค้า ห้ามเราทำทุกอย่าง ทะเลาะกันครั้งนึงตัดสายปิดเครื่องไป 3 วัน พอได้คุยก็ทะเลาะอีก สุดท้ายเราก็ตัดสินใจเลิกเพราะเราไม่มีความสุขเลย มันก็ผ่านไปสำหรับการมีแฟนครั้งแรก
แต่จากนั้นอีกวันนึงต่อมา มีพี่อีกคนที่มาคุยกับเรา และเราก็คบกันเลยในวันนั้น พี่เขาเป็นคนจังหวัดเดียวกัน แต่โตกว่าเรามาก ตอนนั้นรู้สึกแค่ว่าต้องการใครสักคน เราอยู่ไม่ไหวถ้าจะไม่มีใครเลย เราจึงคบกับพี่คนนี้ แล้วหลังจากนั้น ชีวิตก็เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือเลย
เรามีงานทำ มีโอกาสดีๆ ได้รับโอกาสดีๆก็เพราะคบกับพี่คนนี้ เราเรียนจบแล้วก็ได้โอกาสฟลุ้คๆในการทำงานเก็บเงินเพราะแฟนคนนี้ จนประมาณ 1 ปีเราก็เค้าก็เริ่มมีคนอื่น เพราะหมดโอกาส หมดงาน หมดเงิน บวกกับเขาคงเบื่อด้วย เลยจะทิ้งเรา แต่เราก็ตามตื๊อ ยอมทุกอย่าง จะด่าจะว่าจะตบจะตีก็ยอม เพราะเรามาอยู่กรุงเทพได้เพราะเค้า คิดว่าถ้าขาดเค้าไปเราทำอะไรไม่ได้แน่ๆ จะใช้ชีวิตเองได้ยังไง ไม่มีอะไรติดตัวมาเลยสักอย่าง
สุดท้ายเราก็คบกันต่อ แฟนของเราเลิกกับคนนั้น แล้วไปต่อกับเรา จากนั้นเราจึงคบกันมาเรื่อยๆ พากันหาเงินจนมีบ้านมีรถ ( เงินผ่อน )
ผ่อนไปได้ 2 เดือนเริ่มมีปัญหา งานหทดเงินหมด เราเองเริ่มโตขึ้น เราเลยคิดว่าจะต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อความอยู่รอด
ตัดสินกลับไปขอยืมเงินอามาก้อนหนึ่งเพื่อลงทุนทำสินค้าออกมาขาย ทุกอย่างเราทำเองทั้งหมด เค้าก็ช่วยเราทำ จนวันนึงธุรกิจเราไปได้ดีมากๆ เราได้บ้านและรถพร้อมเงินสดมากมาย โดยหลังๆมาเราเริ่มจ้างคนมาช่วยเพราะทำกันเองไม่ไหว เราเป็นคนทำทุกอย่าง และไม่สนใจอะไรทั้งนั้น เอาแต่งานไว้ก่อน เพราะคิดว่ามันคือโอกาสที่เราควรรีบกอบโกยให้มากที่สุด ในขณะที่ช่วงหลังจากเรามีเงินมากพอแล้ว เริ่มสุขสบายแล้ว พี่เขาก็เริ่มหยุดทำงาน
เราไม่เคยคิดต้องการความช่วยเหลือจากใคร เพราะคิดว่าตัวเราทำได้ เราไหว แต่แฟนก็ใช้เงินร่วมกับเรามาตลอด เราคิดว่าเราคือครอบครัวเดียวกัน คิดว่าอย่างน้อยถ้าไม่มีเค้าคงไม่มีเราวันนี้ เราทำเองได้ เขาไม่ทำก็ได้
ระหว่างนั้นก็แอบจับได้ภายหลังมาตลอด ว่าเขาแอบคุยไปจีบคนนั้นคนนี้โดยที่เราไม่เคยรู้เลย สุดท้ายเราก็ยอมให้อภัยตลอดมา ไม่ว่าจะทำลายข้าวของ ปาโทรศัพท์ทิ้งเป็นว่าเล่น เอาเงินไปใช้เท่าไหร่ก็ได้ที่อยากใช้ เพราะถือสิทธิ์ว่าเรามีวันนี้ได้เพราะเค้า
เรารู้นิสัยดีว่าเค้าเป็นคนแบบนี้ เลยไม่ได้คิดอะไร แอบคุย เจ้าชู้ ตบตี ดีร้ายแค่ไหนเราไม่ว่า ขอแค่ไม่นอกใจไปมีอะไรกับใครก็พอ เพราะสำหรับเรามันคือเรื่องใหญ่มาก และเค้าคือคนแรกของเราด้วย
เรียกได้ว่าชีวิตช่วงหลังเราถือว่ามาใกลมากๆ เราได้ตอบแทนพ่อแม่ เลี้ยงดูท่านทุกอย่าง และเช่นกัน เราซื้อบ้านใหม่แม่ของเรา เค้าก็บอกว่าบ้านเค้าต้องได้ด้วย เราก็ซื้อให้
จากนั้นเราแต่งงานกัน โดยเค้าขอเราแต่งงาน แต่เค้าให้เราจ่ายทั้งหมด เพราะเงินทั้งหมดอยู่ที่เรา เค้าบอกว่าเราไม่ให้เค้าพกเงิน เงินมันเงินของเราทั้งคู่ ไม่ใช่เงินใครคนใดคนนึง ถ้าไม่มีเค้าก็ไม่มีเราวันนี้ อย่าลืม เราเข้าใจตรงนั้น แต่โอกาสมันมาตั้งแต่แค่ปีแรกๆที่คบกัน จากนั้นไม่ว่าเงินลงทุน การทำงาน หรืออะไรต่างๆที่ทำ เราเป็นคนคิด ริเริ่ม และลงมือทำ วางแผนเองทั้งหมด เค้าเพียงอยู่ข้างๆ ไม่ได้ทำอะไร แถมยังมีคนอื่นไปเรื่อยมาตลอดแม้กระทั่งหลังแต่งงานก็ยังมี
เราก็งง ว่าก็เราทำ เราขายของ เราทำมาหากินไม่ได้หลับได้นอนทุกวันอยู่คนเดียว แล้วทำไมต้องเอาเงินไว้ที่เค้า สุดท้ายเข้าปีที่ 4-5 เราซื้อรถซื้อบ้านให้เขา เรามีรถกันคนละคัน มีบ้านคนละหลังให้พ่อแม่ โดยใช้เงินเราทั้งหมด
การทำงานเรามีประสบการณ์มากขึ้น เราโตขึ้นมาก แต่เรื่องใช้ชีวิต การทันคนหรือการถูกหลอกเรายังคงไม่รู้เรื่องเหมือนเดิม ( นอกจากใช้เงินกระเป๋าเดียวกันแล้ว เขาจะต้องได้รับเงินเดือน 70,000 บาท ต่อเดือนอีกด้วย ) และคอยให้เงินช่วยเหลือครอบครัวเขา หรือแม้กระทั่งพ่อแม่พี่น้องลูกหลาน แต่เราไม่เคยคิดอะไร คิดว่าครอบครัวเดียวกัน ก็ต้องช่วยกันอยู่แล้ว ถ้าไม่ได้ดั่งใจก็จะตะโกนด่าเสียงดังโวยวายทำลายข้าวของตลอด
จนหลังๆมาคนรอบข้างเริ่มพูดเริ่มเตือนว่าอย่าปล่อยไว้แบบนี้ มันจะติดเป็นนิสัยและแย่ลงนะ เราก็ไม่แคร์เพราะคิดว่าเราเชื่อในสิ่งที่เค้าบอกจะถูกต้องที่สุด
จนมาถึงช่วงเข้า 6-7 ปีหลัง เรามารู้ความจริงอีกอย่างว่าที่เค้าเคยบอกเราว่าจะนอกใจยังไงก็ไม่เคยมีอะไีร ไม่เคยมีใคร มันไม่ใช่ความจริง เพราะเค้ามีตั้งแต่ช่วง 2 ปีแรกแล้ว และหลังจากนั้นก็ด้วย
เราแทบล้มทั้งยืน เพราะรู้สึกเหมือนทุกอย่างมันพัง เราเหมือนเจ็บดีเลย์ เหมือนจริงๆแล้วเราไม่เคยรู้จักเค้าเลย เพิ่งมารู้ตัวตนที่แท้จริงก็วันนี้ เราเลยขอเลิก ทั้งๆที่คนรอบข้างคอยเตือนตลอดว่าเค้าไม่ได้ดีอย่างที่เราคิด
จนถึงตอนนี้ เรายังคบกันอยู่ แต่ ความรู้สึกเรามันพังไปหมดแล้ว มันเริ่มรู้สึกเอือมระอา เฉยชา เข้มแข็งขึ้นเพราะที่ผ่านมาเขาทำให้เราต้องเข้มแข็งด้วยตัวเอง ทิ้งเราไปกินเหล้าไปเที่ยว จากที่ทำอะไรไม่เป็น ก็ต้องทำเองทุกอย่าง รถมีแต่ไม่ขับให้ เราขับไม่เป็นก็นั่งแท็กซี่ไป จนกลายเป็นว่าตอนนี้เราอยู่คนเดียวได้แล้ว จนเคยบอกเลิกหลายครั้ง เขาก็ไม่ไป แล้วเราก็ยอมทุกครั้งเพราะรักเค้ามาก อยู่กันมานานเกินกว่าจะทำใจเลิกได้ ทั้งๆที่สมองและจิตใต้สำนึกมันเริ่มรู้แล้วว่าอะไรคืออะไร
ซึ่งภายหลังมานี้ เราโตขึ้น เข้มแข็งขึ้น แต่ธุรกิจเรา การเงินที่เคยใช้แบบสุขสบาย กลับเริ่มสะดุด ติดขัด ทำให้นิสัยที่เค้าเคยรุนแรงกับพนักงานในบริษัทของเรา จากที่เคยเหวี่ยงตลอดเวลา เค้ากลับปรับตัวให้ดีมากขึ้น สำนึกมากขึ้น เปลี่ยนเป็นคนน่ารัก ใจเย็น พยายามทำดีกับเรามากขึ้น รวมถึงกับคนรอบข้าง จนเราทิ้งเขาไม่ลง เพราะทุกครั้งที่บอกเลิก เราเองก็เสียใจมากเหมือนกัน แต่ก็ยังยอมจ่ายค่าใช้จ่ายทุกอย่างให้เหมือนเดิม ขอแค่ยอมเลิก และเค้าก็ยอมไปแต่โดยดี เพราะเราเด็ดขาดจริงๆ เค้ารู้สึกได้จริงๆว่าเราไม่เอาแล้ว เค้าไปทั้งน้ำตา
แต่พอเอาเข้าจริงๆ เรากลับอดเป็นห่วง สงสาร และอดห่วงไม่ได้ที่เค้าจะต้องไปลำบาก เพราะรู้ว่าเค้าทำอะไรไม่เป็นเลย และรู้สึกผิดที่ทำให้เค้าเสียใจ และเพราะช่วงหลังมาเราไม่ทะเลาะกันเลยเพราะเค้ารู้ว่าเรากำลังแย่ เลยไม่อยากสร้างปัญหา แต่สำหรับเรา เรากลับคิดว่ามันสายไปแล้ว แต่เพราะเค้าเป็นหนักมาก ร้องไห้ เสียใจ ซึมเศร้า และเราก็ยังห่วงเค้าอยู่ตลอด เลยกำลังสับสนในตัวเองมากๆ
หรือว่าเค้ารักเรามากจริงๆ? หรือว่าเราเองที่ผิด เราควรให้โอกาสเค้าบ้าง ควรพูดกันตรงๆ แล้วปรับกันอีกครั้ง แต่ทั้งๆที่รู้ว่ามันเป็นไปได้ยากมาก เพราะที่ผ่านมาเราพูดแล้ว คุยแล้ว สุดท้ายก็เหมือนเดิมมาตลอด
แต่ยิ่งนับวันที่เงินหมด เค้าก็ไม่ไปไหน ยังอยู่ข้างๆ ยังรัก ยังให้กำลังใจ ยังเราในสิ่งที่เราเป็นได้เสมอ เลยเลยรู้ว่าสรุปแล้ว เราควรจะตัดใจปล่อยเค้าไป เพื่ออาจมีชีวิตที่ดีกว่า เพราะอยู่กันต่อไป แต่มันก็มีแค่เราที่เหนื่อยอยู่ดี ความก้าวหน้าก็ไม่มี แต่พอเค้าจะไปก็กลับเสียใจเอง หรือจริงๆแล้ว..รักยังรักเราอยู่
ดังนั้น เราควรให้โอกาสอีกสักครั้ง หรือเดินหน้าต่อไปดี ควรหยุดแค่นี้ ไปหาใหม่เอาดาบหน้า แต่จริงๆแล้วชีวิตเราต้องการแค่ใครสักคนที่อยู่ข้างๆหรือเปล่า เพราะในวันที่มีเงิน เราอาจไม่มีความสุขเพราะเค้าก็ได้ แต่ถามว่าวันนี้มีความสุขมั้ยที่เค้ากลับมา เราก็เฉยๆ
มันสับสนไปหมด ว่าควรจะเอายังไงต่อไปกับชีวิตดี
คิดวกไปวนมา เดี๋ยวก็จะเลิอก เดี๋ยวก็จะดี เดี๋ยวก็เบื่อ สับสนจนจะเป็นบ้าไปแล้ว
วอนพี่อ้อยพี่ฉอดหรือใครก็ได้ช่วยมาตอบที เราโคตรคิดหนักเลย
จาก