#รีวิวการหางานในสิงคโปร์พร้อมเคล็ดลับแบบละเอียดยิบๆๆๆๆ
(หางานที่อื่นก็คิดว่าใช้ได้มั้งนะ อ่านเถอะ ตั้งใจเขียน)
โดย แอดมินเพจ Boring Singapore
https://www.facebook.com/BoringSG/ ผู้มีประสบการณ์การหางานมาอย่างโชกโชน
——————————
สวัสดีค่ะเพื่อนๆทุกคน ตั้งแต่เราย้ายมาทำงานที่สิงคโปร์เมื่อสามปีที่แล้วเนี่ย เราเปลี่ยนงานใหม่มาสองครั้งแล้วค่ะ ถามว่าจะเปลี่ยนอะไรกันบ่อยนักหนาเดี๋ยวประวัติการทำงานก็เสียหรอก อืม...ก็ไม่ได้อยากจะเปลี่ยนนะ แต่บริษัทที่เราเคยอยู่ทั้งสองบริษัทต่างย้ายฐานออกจากสิงคโปร์ไปทั้งสองบริษัทเลยอ่ะ ฮือออออออ แล้วชั้นเลือกอะไรได้มั้ยยยย
อ่านประสบการณ์การหางานใหม่ครั้งแรกของเราได้ที่นี่ค่ะ >>
https://ppantip.com/topic/37216586
แต่ชีวิตคนเราก็ต้องก้าวต่อไปค่ะ อย่ามัวแต่เสียเวลาโทษโชคชะตานั่งลำไยในความซวยของตัวเอง พอเรารู้ว่าบริษัทที่สองกำลังจะปิดตัวลง หลังจากมีการประกาศปุ๊บ เราเริ่มหางานใหม่ทันทีค่ะ (ใช้เวลาทำใจประมาณ 10 นาที)
บอกไว้ก่อนว่าจากคราวที่แล้วการหางานของเราใช้เวลาไม่นานมาก ตอนแรกคราวนี้คิดว่าสองสามเดือนก็คงหาได้แล้วมั้งงง เอาเข้าจริงปาเข้าไป 5 เดือนค่ะกว่าจะได้งานใหม่ กินแกรบไปนานหลายเดือน กินท้อไปแล้วหลายลูก สัมภาษณ์ไปเป็นสิบยี่สิบที่ ทั้งบริษัทเล็กระดับ start up จนถึง Big Four Tech Companies (เข้าสัมภาษณ์มาหมดแล้วทั้งสี่) บินเข้าบินออกสิงคโปร์เพื่อสัมภาษณ์งานหลายรอบ (เนื่องจากวีซ่าทำงานหมด) ... และจากประสบการณ์การหางานอันหนักหน่วงในช่วงเกือบครึ่งปีที่ผ่านมาเลยมีเรื่องมาสรุปให้เพื่อนๆที่คิดจะหางานในสิงคโปร์ (หรือที่อื่นๆก็น่าจะเอาไป apply ได้นะ) มาอ่านไว้เป็นแนวทางนะคะ
หมายเหตุ : นี่เป็นประสบการณ์ส่วนบุคคลของเราท่านั้นนะคะ บางทีอาจจะไม่ใช่แบบนี้นะ เอาเป็นแนวทางเฉยๆนะ อย่าเชื่อตาม 100%
——————————
1. ควรจะเริ่มยังไง
อันดับแรกที่ควรทำนะคะ คือการอัพเดท CV และ Linkedin profile ของเราค่ะ
จากประสบการณ์แล้วส่วนที่สำคัญที่สุดและควรเอาไว้อยู่บนสุดของ CV คือ Summary of qualification ซึ่งเป็นการสรุปประสบการณ์เด่นๆของเราประมาณ 3-5 ข้อ (ตรงนี้สำคัญมาก เวลาคนอ่านจะได้เจอเลยไม่ต้องไถๆไปถึงด้านล่างๆ) ซึ่งส่วนนี้เราแนะนำว่าเราควรจะต้องปรับเปลี่ยนแก้ไขให้ตรงกับตำแหน่งที่เราจะสมัคร เขียนยังไงก็ได้ให้มันเข้าเค้ากับ job description ของตำแหน่งงานที่เราจะสมัครให้มากที่สุดนะคะ
ถัดมาคือ Achievements เคยได้รางวัลอะไรมา ได้ทุนการศึกษาอะไร เอามาใส่ตรงนี้ให้หมด ตรงนี้อาจจะสำคัญน้อยกว่าอันแรก แต่ใส่ไว้เพื่อโชว์ความเจ๋งของเราให้เห็นง่ายๆไม่ต้องไปคลำหาจากประสบการณ์ด้านล่าง เราใส่ไปหลายอย่างเลยตรงนี้และมีหลายครั้งที่คนที่สัมภาษณ์เราเค้าก็ถามด้วย เพราะฉะนั้นเค้าอ่านกันค่ะตรงนี้
ส่วน Linkedin profile สมัยนี้ก็น่าจะมีกันหมดแล้วเนอะ ใครไม่มีรีบทำด่วนๆ Linkedin นี่แหละที่จะเป็นส่วนสำคัญในการสมัครงานของเรา ทั้ง active (เราใช้ในการหางานเอง) และ passive (มีคน search เจอเรา) ต้องเข้าใจกันก่อนนะคะว่า recruiter ทั้งหลายตอนนี้เค้าใช้ Linkedin ในการหา candidate กันหมดแล้ว ดังนั้นสิ่งที่เราจำเป็นที่จะต้องทำมีสองอย่างคือ 1. ทำยังไงให้ profile ของเราน่าสนใจ 2. ทำยังไงในคน search หาเราเจอ
การทำ Linkedin profile ของเราให้น่าสนใจนั้นขึ้นอยู่กับความ creative ส่วนตัวของทุกคนเลยค่ะว่าจะทำยังไง เราเคยเห็นคนที่เค้าแบบใส่ประสบการณ์แบบที่ว่าเคยทำงานพาร์ทไทม์เป็นครูสอนดำน้ำอะไรแบบนี้ก็ใส่มา ก็เออดูน่าสนใจนะ (ความเห็นส่วนตัว) สำหรับเรา เราเอารูปๆๆใส่เข้าไปค่ะ เพราะเราเชื่อว่าภาพจะสามารถดึงความสนใจมากกว่าตัวหนังสือ
ส่วนการทำยังไงให้คน search เจอเรานั้น อันนี้เป็นหลักการทำ SEO ค่ะ เราต้องเอา keyword ของตำแหน่งที่เราอยากได้เอามาสอดแทรกไว้ใน profile ของเรา ซึ่งส่วนที่สำคัญสุดๆคือ Headline ที่อยู่ใต้ภาพ profile ของเรา และส่วนของ Summary ค่ะ ซึ่งเราสามารถ review ว่า keyword ที่เราใส่เข้าไปเนี่ยตรงกับสิ่งที่เราหาอยู่หรือเปล่าจากตอนที่ Likedin ส่ง Weekly stat search มาให้เรา (เช็ค notfication ได้เลย) เลื่อนลงไปดูที่ Keywords your searchers used แล้วใช้ข้อมูลจากตรงนั้นมาปรับ profile ของเราค่ะ
——————————
2. หางานจากไหน
หลังจากที่เราเตรียม CV และ Linkedin profile เรียบร้อยแล้ว เราก็เริ่มหางานเลยค่ะ แต่ก่อนที่เราจำเริ่มนั้น เราอยากจะให้เพื่อนๆนั่งรำลึกก่อนว่าตำแหน่งที่เราอยากทำเนี่ยมันคือตำแหน่งอะไร และชื่อตำแหน่งเนี่ยมันสามารถเรียกได้กี่แบบ เช่น สมมติเราอยากหางาน sales เราก็ไม่ควร search แค่คำว่า sales อย่างเดียว เราก็ควรจำหาคำอื่นด้วย อาทิ business development, account manager, account partner อะไรประมาณนี้นะคะ ซึ่งการหางานเนี่ยเราควรทำทั้ง active และ passive อย่างที่เกริ่นไว้ในส่วนแรกแล้วนะ
Active: หลายๆคนอาจจะใช้หลายเว็บในการหางาน เราใช้ Linkedin เว็บเดียวเลยค่ะ (เพื่อนๆอยากใช้ jobsdb, monster, wantedly ฯลฯ ก็ใช้ได้นะ เราไปสมัครไว้หมดแหละ แต่จากประสบการณ์แล้ว Linkedin เวิร์คสุด) ถ้าจะใช้ Linkedin เป็นหลักเวลาที่เราเข้าไปในหัวข้อ Jobs แล้วเนี่ย มันจะให้เราเซ็ท notification ได้ เราก็เซ็ทไว้ให้มันส่งมาทุกวันเลยค่ะ แอดจะมีคีย์เวิร์ดที่เราตั้งไว้ประมาณ 4-5 คีย์เวิร์ด พอระบบส่งเมลมาเราก็เข้าไปเช็คทุกวันว่าตรงมั้ย ถ้าตรงก็สมัครไปโลด
นอกจากการ search ตำแหน่งงานแล้ว สิ่งที่เราต้อง search หาอีกอย่างคือหา recruiter ค่ะ แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าเราต้องหาคนจากบริษัทไหน มันจะรู้เองคร่าวๆนะ เพราะ recruitment agency ทั้งหลายเค้าก็จะโพสต์ตำแหน่งที่เค้าหาอยู่อยู่แล้ว พอเราเห็นว่ามันพอได้เราก็จดไว้เลยว่าบริษัทนี้ หรือ recruiter คนนี้เค้าหาคนที่มีคุณลักษณะคล้ายๆเราอยู่ ... ไหนๆเราก็ใช้ Linkedin อยู่แล้วเราก็แอดเค้าไปเลยค่ะ พอเค้ารับแอดแล้วเราก็คุยกับเค้าเลยว่าเราหางานอยู่ตำแหน่งที่ยูเปิดอยู่อ่ะตรงมั้ย ถ้าไม่ตรงยูมีตำแหน่งอื่นมั้ย ตอนเราหาเรามี recruiter ที่คุยอยู่บ่อยๆประมาณ 3-4 คนค่ะ แล้วให้พยายามทำตัว visible หน่อยเค้าจะได้นึกถึงเราเวลามีตำแหน่งอะไรที่พอจะตรง ห้ามอาย!
Passive: ในส่วนนี้จากที่เคยเขียนไว้ตอนที่แล้วเลยว่าให้เปิด Career interests ใน Linkedin เป็น On ไว้ เพื่อให้ recruiter รู้ว่าเรากำลัง actively looking อยู่นะจ๊ะ ทั้งนี้ทั้งนั้นนางก็เขียนเตือนไว้ว่าไม่การันตีนะว่าคนในบริษัทเราจะเห็นป่าวว่าเรากำลังมองหาอยู่ อันนี้ใครพร้อมจะเสี่ยงก็เปิดไปเถอะจ้ะ
**สำคัญ** สมัครตำแหน่งอะไรไว้ให้ record ไว้ใน excel ให้หมดทั้งชื่อตำแหน่งและลิงค์ที่มี job description เพราะเวลาเราสมัครไปเยอะๆแล้วจู่ๆมีคนติดต่อมาเนี่ยเราจะเริ่มงงละว่าเราสมัครไปด้วยเหรอ 555 หรือตำแหน่งนั้นมันทำอะไรนะ เวลามีคนติดต่อมาเราก็จะได้ดึงมาดูได้เลยว่ามันมีรายละเอียดยังไง ห้ามบอกเค้านะว่าจำไม่ได้ หรืองงๆก่งก๊งว่ามันทำอะไรนะ แบบนั้นไม่ผ่านตั้งแต่รอบ screening เลยจ้าาา
——————————
3. ทำยังไงให้ได้เรียกเข้าสัมภาษณ์งาน
ทุกคนต้องทำใจไว้นะคะ ถึงแม้เราจะหว่านใบสมัครไปเป็นร้อยเป็นพัน มันก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเรียกเราเข้าส้มภาษณ์ เพราะเราต้องเข้าใจนะว่า recruiter เนี่ยในแต่ละวันเค้าก็ได้รับใบสมัครเป็นร้อยเป็นพันเหมือนกัน ถ้าเราไม่ได้ stand out จริงๆมันก็ยากที่เค้าจะเห็นเรา คนที่เป็น career consultant ให้เราเค้าบอกว่าจากสถิติแล้วประมาณ 5% ของตำแหน่งงานที่เราสมัครไปโดยตรงถึงจะเรียกเราไปสัมภาษณ์ ซึ่งจากที่เรา record ไว้ มันก็ประมาณนั้นแหละ น้อยจริงๆ
เคล็ดลับ ... ถ้าตำแหน่งไหนที่ประกาศอยู่แล้วมันตรงกับเราแล้วเรามีเพื่อนทำงานอยู่ (เน็ทเวิร์คใครเน็ทเวิร์คมันนะจ๊ะ) บอกเพื่อนเลยค่ะ แล้วบอกให้เพื่อน refer เราไปให้ HR โดยตรง ตอนนี้หลายบริษัทเค้าก็มี referral program ถ้าเพื่อนเรา refer ให้เราแล้วเราได้งานแล้วผ่านโปรเพื่อนเราก็จะได้ตังค์ด้วยนะ ทั้งนี้ทั้งนั้นเอาเป็นเพื่อนที่เค้ารู้จักเราจริงๆนะ ไม่ใช่ว่าไปขอให้ใครก็ไม่รู้ไม่เคยคุยกัน ไม่สนิทกัน refer เข้าไป อันนี้มันจะทำให้เค้าลำบากใจ
อ่าว...แล้วถ้าเราสนใจตำแหน่งหนึ่งมากๆแล้วเราไม่มีเพื่อนทำไงอ่ะ เคล็ดลับอีกแล้ว เนื่องจากตอนนี้ recruiter แทบจะทุกคนอยู่ใน Likedin เราก็ search หา recruiter ของบริษัทนั้น ลองส่ง Linkedin message ไปถามเค้าดูว่าโพรไฟล์เราพอจะโอเคกับตำแหน่งนี้มั้ย แต่เราต้องยอมรับความจริงนะ ถ้ามันตรงเค้าก็อาจจะ process ต่อ ถ้าไม่ตรงก็คือไม่ตรงอย่าเซ้าซี้เค้ามากเดี๋ยวจะโดน blacklist ... อีกครั้ง ห้ามอาย!!!!
——————————
4. เทคนิคในการเตรียมตัวสัมภาษณ์
เอาล่ะเมื่อมีคนเรียกเราส้มภาษณ์แล้วทำไงต่อ ... เตรียมตัวค่ะ ขอให้คิดไว้เลยว่าทุกครั้งที่มีคนเรียกเราสัมภาษณ์ทุกครั้งคือ “โอกาส” ถึงแม้บางทีมันอาจจะไม่ใช่ตำแหน่งที่เราชอบ 100% คำแนะนำของเราคือให้คุยไว้ก่อนค่ะ บางทีที่เราอ่านจากใน JD มันอาจจะไม่ใช่แต่พอเราได้คุยแล้วมันอาจจะใช่ก็ได้ ให้คิดว่าการเข้าสัมภาษณ์ทุกครั้งคือการฝึกตอบคำถามในสถานการณ์จริงของเราค่ะ เพราะเอาจริงๆคำถามในการสัมภาษณ์งานมันก็จะซ้ำๆแหละ เราสัมภาษณ์ไปเยอะมากๆ น่าจะเกิน 20 ที่ได้ สัมภาษณ์จนครั้งหลังๆนี่แทบไม่ต้องคิดคำตอบเลย คำตอบมันแทบจะออกมาจากก้านสมองเลยอ่ะ คล่องเว่อร์!
แล้วจะเตรียมตัวยังไงล่ะ อันนี้เราขอแนะนำให้ลองเก็งข้อสอบก่อนค่ะ ขั้นแรกให้เข้าไปอ่าน JD อีกทีว่าเค้าหาคนไปทำอะไร แล้วเรามีประสบการณ์ตรงกับที่เค้าหามั้ย ถ้าตรงไม่ครบไม่เป็นไร อันไหนที่เราไม่มีเราก็พยายามหาประสบการณ์คล้ายๆกันของเราเข้าไปโยง แต่ถ้ามันไม่ได้จริงๆก็ไม่ต้องฝืนนะก็บอกไปตามตรงว่าอันนี้ไม่มีแต่ก็เปิดโอกาสที่จะได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ ขั้นตอนต่อไปในการฝึกตอบคำถามคือให้เข้าไปดูที่เว็บหางานเว็บหนึ่งชื่อว่า Glassdoor.com ค่ะ ความพิเศษของเจ้าเว็บนี้คือมันจะมีส่วนที่มีคนรีวิวบริษัท และรีวิวการสัมภาษณ์ ซึ่งถ้าบริษัทใหญ่ๆมันก็จะมีคนไปรีวิวหมดแหละค่ะ ลองเข้าไปอ่านประสบการณ์คนอื่นว่าเค้าถามอะไรกันบ้าง ก็จดๆมาแล้วก็ลองซ้อมตอบที่บ้าน
สิ่งที่สำคัญมากๆอันดับต่อมาเรียกว่า Elevator pitch ค่ะ บริษัทส่วนใหญ่เค้าก็จะให้เราแนะนำตัวเองให้เค้าฟังก่อนเป็นอันดับแรก อันนี้เตรียมเลยว่าเราจะขายประสบการณ์ของเรายังไงให้เค้าซื้อและประทับใจ (ประสบการณ์ขอให้ตรงกับตำแหน่งงานด้วยนะไม่ใช่พูดไรก็ได้) ซึ่งอันนี้ซ้อมไปเลยจากบ้าน ซ้อมไปหลายๆครั้ง จับเวลาด้วยนะคะ เราว่าไม่ควรเกิน 2 นาทีน่าจะกำลังดี
สุดท้ายสิ่งที่ต้องเตรียมคือศึกษาเกี่ยวกับบริษัทไปก่อนค่ะ เข้าใจนะว่าบางทีเราก็หว่านใบสมัครไปก็ไม่รู้หรอกบริษัทที่เรียกเนี่ยเค้าทำธุรกิจอะไร แต่ถ้าเค้าเรียกแล้วจุดนั้นเราต้องรู้แล้วค่ะ สิ่งที่ควรเตรียมเลยคือเข้าไปอ่านว่าบริษัทเค้าทำอะไร ธุรกิจประเภทไหน สินค้าของเค้าคืออะไร คู่แข่งคือใคร ลอง search หาข่าวล่าสุดของบริษัทนั้นว่าล่าสุดเค้าทำอะไรมาบ้าง
เวลาสัมภาษณ์คนที่เตรียมตัวมามากกว่ายังไงก็มีโอกาสสร้างความประทับใจได้มากกว่านะคะ
——————————
(มีต่อที่คอมเมนต์จ้ะ)
เมื่อโดนบริษัทลอยแพ 2 รอบใน 3 ปี - รีวิวการหางานในสิงคโปร์พร้อมเคล็ดลับแบบละเอียดยิบๆๆๆๆ
(หางานที่อื่นก็คิดว่าใช้ได้มั้งนะ อ่านเถอะ ตั้งใจเขียน)
โดย แอดมินเพจ Boring Singapore https://www.facebook.com/BoringSG/ ผู้มีประสบการณ์การหางานมาอย่างโชกโชน
——————————
สวัสดีค่ะเพื่อนๆทุกคน ตั้งแต่เราย้ายมาทำงานที่สิงคโปร์เมื่อสามปีที่แล้วเนี่ย เราเปลี่ยนงานใหม่มาสองครั้งแล้วค่ะ ถามว่าจะเปลี่ยนอะไรกันบ่อยนักหนาเดี๋ยวประวัติการทำงานก็เสียหรอก อืม...ก็ไม่ได้อยากจะเปลี่ยนนะ แต่บริษัทที่เราเคยอยู่ทั้งสองบริษัทต่างย้ายฐานออกจากสิงคโปร์ไปทั้งสองบริษัทเลยอ่ะ ฮือออออออ แล้วชั้นเลือกอะไรได้มั้ยยยย
อ่านประสบการณ์การหางานใหม่ครั้งแรกของเราได้ที่นี่ค่ะ >> https://ppantip.com/topic/37216586
แต่ชีวิตคนเราก็ต้องก้าวต่อไปค่ะ อย่ามัวแต่เสียเวลาโทษโชคชะตานั่งลำไยในความซวยของตัวเอง พอเรารู้ว่าบริษัทที่สองกำลังจะปิดตัวลง หลังจากมีการประกาศปุ๊บ เราเริ่มหางานใหม่ทันทีค่ะ (ใช้เวลาทำใจประมาณ 10 นาที)
บอกไว้ก่อนว่าจากคราวที่แล้วการหางานของเราใช้เวลาไม่นานมาก ตอนแรกคราวนี้คิดว่าสองสามเดือนก็คงหาได้แล้วมั้งงง เอาเข้าจริงปาเข้าไป 5 เดือนค่ะกว่าจะได้งานใหม่ กินแกรบไปนานหลายเดือน กินท้อไปแล้วหลายลูก สัมภาษณ์ไปเป็นสิบยี่สิบที่ ทั้งบริษัทเล็กระดับ start up จนถึง Big Four Tech Companies (เข้าสัมภาษณ์มาหมดแล้วทั้งสี่) บินเข้าบินออกสิงคโปร์เพื่อสัมภาษณ์งานหลายรอบ (เนื่องจากวีซ่าทำงานหมด) ... และจากประสบการณ์การหางานอันหนักหน่วงในช่วงเกือบครึ่งปีที่ผ่านมาเลยมีเรื่องมาสรุปให้เพื่อนๆที่คิดจะหางานในสิงคโปร์ (หรือที่อื่นๆก็น่าจะเอาไป apply ได้นะ) มาอ่านไว้เป็นแนวทางนะคะ
หมายเหตุ : นี่เป็นประสบการณ์ส่วนบุคคลของเราท่านั้นนะคะ บางทีอาจจะไม่ใช่แบบนี้นะ เอาเป็นแนวทางเฉยๆนะ อย่าเชื่อตาม 100%
——————————
1. ควรจะเริ่มยังไง
อันดับแรกที่ควรทำนะคะ คือการอัพเดท CV และ Linkedin profile ของเราค่ะ
จากประสบการณ์แล้วส่วนที่สำคัญที่สุดและควรเอาไว้อยู่บนสุดของ CV คือ Summary of qualification ซึ่งเป็นการสรุปประสบการณ์เด่นๆของเราประมาณ 3-5 ข้อ (ตรงนี้สำคัญมาก เวลาคนอ่านจะได้เจอเลยไม่ต้องไถๆไปถึงด้านล่างๆ) ซึ่งส่วนนี้เราแนะนำว่าเราควรจะต้องปรับเปลี่ยนแก้ไขให้ตรงกับตำแหน่งที่เราจะสมัคร เขียนยังไงก็ได้ให้มันเข้าเค้ากับ job description ของตำแหน่งงานที่เราจะสมัครให้มากที่สุดนะคะ
ถัดมาคือ Achievements เคยได้รางวัลอะไรมา ได้ทุนการศึกษาอะไร เอามาใส่ตรงนี้ให้หมด ตรงนี้อาจจะสำคัญน้อยกว่าอันแรก แต่ใส่ไว้เพื่อโชว์ความเจ๋งของเราให้เห็นง่ายๆไม่ต้องไปคลำหาจากประสบการณ์ด้านล่าง เราใส่ไปหลายอย่างเลยตรงนี้และมีหลายครั้งที่คนที่สัมภาษณ์เราเค้าก็ถามด้วย เพราะฉะนั้นเค้าอ่านกันค่ะตรงนี้
ส่วน Linkedin profile สมัยนี้ก็น่าจะมีกันหมดแล้วเนอะ ใครไม่มีรีบทำด่วนๆ Linkedin นี่แหละที่จะเป็นส่วนสำคัญในการสมัครงานของเรา ทั้ง active (เราใช้ในการหางานเอง) และ passive (มีคน search เจอเรา) ต้องเข้าใจกันก่อนนะคะว่า recruiter ทั้งหลายตอนนี้เค้าใช้ Linkedin ในการหา candidate กันหมดแล้ว ดังนั้นสิ่งที่เราจำเป็นที่จะต้องทำมีสองอย่างคือ 1. ทำยังไงให้ profile ของเราน่าสนใจ 2. ทำยังไงในคน search หาเราเจอ
การทำ Linkedin profile ของเราให้น่าสนใจนั้นขึ้นอยู่กับความ creative ส่วนตัวของทุกคนเลยค่ะว่าจะทำยังไง เราเคยเห็นคนที่เค้าแบบใส่ประสบการณ์แบบที่ว่าเคยทำงานพาร์ทไทม์เป็นครูสอนดำน้ำอะไรแบบนี้ก็ใส่มา ก็เออดูน่าสนใจนะ (ความเห็นส่วนตัว) สำหรับเรา เราเอารูปๆๆใส่เข้าไปค่ะ เพราะเราเชื่อว่าภาพจะสามารถดึงความสนใจมากกว่าตัวหนังสือ
ส่วนการทำยังไงให้คน search เจอเรานั้น อันนี้เป็นหลักการทำ SEO ค่ะ เราต้องเอา keyword ของตำแหน่งที่เราอยากได้เอามาสอดแทรกไว้ใน profile ของเรา ซึ่งส่วนที่สำคัญสุดๆคือ Headline ที่อยู่ใต้ภาพ profile ของเรา และส่วนของ Summary ค่ะ ซึ่งเราสามารถ review ว่า keyword ที่เราใส่เข้าไปเนี่ยตรงกับสิ่งที่เราหาอยู่หรือเปล่าจากตอนที่ Likedin ส่ง Weekly stat search มาให้เรา (เช็ค notfication ได้เลย) เลื่อนลงไปดูที่ Keywords your searchers used แล้วใช้ข้อมูลจากตรงนั้นมาปรับ profile ของเราค่ะ
——————————
2. หางานจากไหน
หลังจากที่เราเตรียม CV และ Linkedin profile เรียบร้อยแล้ว เราก็เริ่มหางานเลยค่ะ แต่ก่อนที่เราจำเริ่มนั้น เราอยากจะให้เพื่อนๆนั่งรำลึกก่อนว่าตำแหน่งที่เราอยากทำเนี่ยมันคือตำแหน่งอะไร และชื่อตำแหน่งเนี่ยมันสามารถเรียกได้กี่แบบ เช่น สมมติเราอยากหางาน sales เราก็ไม่ควร search แค่คำว่า sales อย่างเดียว เราก็ควรจำหาคำอื่นด้วย อาทิ business development, account manager, account partner อะไรประมาณนี้นะคะ ซึ่งการหางานเนี่ยเราควรทำทั้ง active และ passive อย่างที่เกริ่นไว้ในส่วนแรกแล้วนะ
Active: หลายๆคนอาจจะใช้หลายเว็บในการหางาน เราใช้ Linkedin เว็บเดียวเลยค่ะ (เพื่อนๆอยากใช้ jobsdb, monster, wantedly ฯลฯ ก็ใช้ได้นะ เราไปสมัครไว้หมดแหละ แต่จากประสบการณ์แล้ว Linkedin เวิร์คสุด) ถ้าจะใช้ Linkedin เป็นหลักเวลาที่เราเข้าไปในหัวข้อ Jobs แล้วเนี่ย มันจะให้เราเซ็ท notification ได้ เราก็เซ็ทไว้ให้มันส่งมาทุกวันเลยค่ะ แอดจะมีคีย์เวิร์ดที่เราตั้งไว้ประมาณ 4-5 คีย์เวิร์ด พอระบบส่งเมลมาเราก็เข้าไปเช็คทุกวันว่าตรงมั้ย ถ้าตรงก็สมัครไปโลด
นอกจากการ search ตำแหน่งงานแล้ว สิ่งที่เราต้อง search หาอีกอย่างคือหา recruiter ค่ะ แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าเราต้องหาคนจากบริษัทไหน มันจะรู้เองคร่าวๆนะ เพราะ recruitment agency ทั้งหลายเค้าก็จะโพสต์ตำแหน่งที่เค้าหาอยู่อยู่แล้ว พอเราเห็นว่ามันพอได้เราก็จดไว้เลยว่าบริษัทนี้ หรือ recruiter คนนี้เค้าหาคนที่มีคุณลักษณะคล้ายๆเราอยู่ ... ไหนๆเราก็ใช้ Linkedin อยู่แล้วเราก็แอดเค้าไปเลยค่ะ พอเค้ารับแอดแล้วเราก็คุยกับเค้าเลยว่าเราหางานอยู่ตำแหน่งที่ยูเปิดอยู่อ่ะตรงมั้ย ถ้าไม่ตรงยูมีตำแหน่งอื่นมั้ย ตอนเราหาเรามี recruiter ที่คุยอยู่บ่อยๆประมาณ 3-4 คนค่ะ แล้วให้พยายามทำตัว visible หน่อยเค้าจะได้นึกถึงเราเวลามีตำแหน่งอะไรที่พอจะตรง ห้ามอาย!
Passive: ในส่วนนี้จากที่เคยเขียนไว้ตอนที่แล้วเลยว่าให้เปิด Career interests ใน Linkedin เป็น On ไว้ เพื่อให้ recruiter รู้ว่าเรากำลัง actively looking อยู่นะจ๊ะ ทั้งนี้ทั้งนั้นนางก็เขียนเตือนไว้ว่าไม่การันตีนะว่าคนในบริษัทเราจะเห็นป่าวว่าเรากำลังมองหาอยู่ อันนี้ใครพร้อมจะเสี่ยงก็เปิดไปเถอะจ้ะ
**สำคัญ** สมัครตำแหน่งอะไรไว้ให้ record ไว้ใน excel ให้หมดทั้งชื่อตำแหน่งและลิงค์ที่มี job description เพราะเวลาเราสมัครไปเยอะๆแล้วจู่ๆมีคนติดต่อมาเนี่ยเราจะเริ่มงงละว่าเราสมัครไปด้วยเหรอ 555 หรือตำแหน่งนั้นมันทำอะไรนะ เวลามีคนติดต่อมาเราก็จะได้ดึงมาดูได้เลยว่ามันมีรายละเอียดยังไง ห้ามบอกเค้านะว่าจำไม่ได้ หรืองงๆก่งก๊งว่ามันทำอะไรนะ แบบนั้นไม่ผ่านตั้งแต่รอบ screening เลยจ้าาา
——————————
3. ทำยังไงให้ได้เรียกเข้าสัมภาษณ์งาน
ทุกคนต้องทำใจไว้นะคะ ถึงแม้เราจะหว่านใบสมัครไปเป็นร้อยเป็นพัน มันก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเรียกเราเข้าส้มภาษณ์ เพราะเราต้องเข้าใจนะว่า recruiter เนี่ยในแต่ละวันเค้าก็ได้รับใบสมัครเป็นร้อยเป็นพันเหมือนกัน ถ้าเราไม่ได้ stand out จริงๆมันก็ยากที่เค้าจะเห็นเรา คนที่เป็น career consultant ให้เราเค้าบอกว่าจากสถิติแล้วประมาณ 5% ของตำแหน่งงานที่เราสมัครไปโดยตรงถึงจะเรียกเราไปสัมภาษณ์ ซึ่งจากที่เรา record ไว้ มันก็ประมาณนั้นแหละ น้อยจริงๆ
เคล็ดลับ ... ถ้าตำแหน่งไหนที่ประกาศอยู่แล้วมันตรงกับเราแล้วเรามีเพื่อนทำงานอยู่ (เน็ทเวิร์คใครเน็ทเวิร์คมันนะจ๊ะ) บอกเพื่อนเลยค่ะ แล้วบอกให้เพื่อน refer เราไปให้ HR โดยตรง ตอนนี้หลายบริษัทเค้าก็มี referral program ถ้าเพื่อนเรา refer ให้เราแล้วเราได้งานแล้วผ่านโปรเพื่อนเราก็จะได้ตังค์ด้วยนะ ทั้งนี้ทั้งนั้นเอาเป็นเพื่อนที่เค้ารู้จักเราจริงๆนะ ไม่ใช่ว่าไปขอให้ใครก็ไม่รู้ไม่เคยคุยกัน ไม่สนิทกัน refer เข้าไป อันนี้มันจะทำให้เค้าลำบากใจ
อ่าว...แล้วถ้าเราสนใจตำแหน่งหนึ่งมากๆแล้วเราไม่มีเพื่อนทำไงอ่ะ เคล็ดลับอีกแล้ว เนื่องจากตอนนี้ recruiter แทบจะทุกคนอยู่ใน Likedin เราก็ search หา recruiter ของบริษัทนั้น ลองส่ง Linkedin message ไปถามเค้าดูว่าโพรไฟล์เราพอจะโอเคกับตำแหน่งนี้มั้ย แต่เราต้องยอมรับความจริงนะ ถ้ามันตรงเค้าก็อาจจะ process ต่อ ถ้าไม่ตรงก็คือไม่ตรงอย่าเซ้าซี้เค้ามากเดี๋ยวจะโดน blacklist ... อีกครั้ง ห้ามอาย!!!!
——————————
4. เทคนิคในการเตรียมตัวสัมภาษณ์
เอาล่ะเมื่อมีคนเรียกเราส้มภาษณ์แล้วทำไงต่อ ... เตรียมตัวค่ะ ขอให้คิดไว้เลยว่าทุกครั้งที่มีคนเรียกเราสัมภาษณ์ทุกครั้งคือ “โอกาส” ถึงแม้บางทีมันอาจจะไม่ใช่ตำแหน่งที่เราชอบ 100% คำแนะนำของเราคือให้คุยไว้ก่อนค่ะ บางทีที่เราอ่านจากใน JD มันอาจจะไม่ใช่แต่พอเราได้คุยแล้วมันอาจจะใช่ก็ได้ ให้คิดว่าการเข้าสัมภาษณ์ทุกครั้งคือการฝึกตอบคำถามในสถานการณ์จริงของเราค่ะ เพราะเอาจริงๆคำถามในการสัมภาษณ์งานมันก็จะซ้ำๆแหละ เราสัมภาษณ์ไปเยอะมากๆ น่าจะเกิน 20 ที่ได้ สัมภาษณ์จนครั้งหลังๆนี่แทบไม่ต้องคิดคำตอบเลย คำตอบมันแทบจะออกมาจากก้านสมองเลยอ่ะ คล่องเว่อร์!
แล้วจะเตรียมตัวยังไงล่ะ อันนี้เราขอแนะนำให้ลองเก็งข้อสอบก่อนค่ะ ขั้นแรกให้เข้าไปอ่าน JD อีกทีว่าเค้าหาคนไปทำอะไร แล้วเรามีประสบการณ์ตรงกับที่เค้าหามั้ย ถ้าตรงไม่ครบไม่เป็นไร อันไหนที่เราไม่มีเราก็พยายามหาประสบการณ์คล้ายๆกันของเราเข้าไปโยง แต่ถ้ามันไม่ได้จริงๆก็ไม่ต้องฝืนนะก็บอกไปตามตรงว่าอันนี้ไม่มีแต่ก็เปิดโอกาสที่จะได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ ขั้นตอนต่อไปในการฝึกตอบคำถามคือให้เข้าไปดูที่เว็บหางานเว็บหนึ่งชื่อว่า Glassdoor.com ค่ะ ความพิเศษของเจ้าเว็บนี้คือมันจะมีส่วนที่มีคนรีวิวบริษัท และรีวิวการสัมภาษณ์ ซึ่งถ้าบริษัทใหญ่ๆมันก็จะมีคนไปรีวิวหมดแหละค่ะ ลองเข้าไปอ่านประสบการณ์คนอื่นว่าเค้าถามอะไรกันบ้าง ก็จดๆมาแล้วก็ลองซ้อมตอบที่บ้าน
สิ่งที่สำคัญมากๆอันดับต่อมาเรียกว่า Elevator pitch ค่ะ บริษัทส่วนใหญ่เค้าก็จะให้เราแนะนำตัวเองให้เค้าฟังก่อนเป็นอันดับแรก อันนี้เตรียมเลยว่าเราจะขายประสบการณ์ของเรายังไงให้เค้าซื้อและประทับใจ (ประสบการณ์ขอให้ตรงกับตำแหน่งงานด้วยนะไม่ใช่พูดไรก็ได้) ซึ่งอันนี้ซ้อมไปเลยจากบ้าน ซ้อมไปหลายๆครั้ง จับเวลาด้วยนะคะ เราว่าไม่ควรเกิน 2 นาทีน่าจะกำลังดี
สุดท้ายสิ่งที่ต้องเตรียมคือศึกษาเกี่ยวกับบริษัทไปก่อนค่ะ เข้าใจนะว่าบางทีเราก็หว่านใบสมัครไปก็ไม่รู้หรอกบริษัทที่เรียกเนี่ยเค้าทำธุรกิจอะไร แต่ถ้าเค้าเรียกแล้วจุดนั้นเราต้องรู้แล้วค่ะ สิ่งที่ควรเตรียมเลยคือเข้าไปอ่านว่าบริษัทเค้าทำอะไร ธุรกิจประเภทไหน สินค้าของเค้าคืออะไร คู่แข่งคือใคร ลอง search หาข่าวล่าสุดของบริษัทนั้นว่าล่าสุดเค้าทำอะไรมาบ้าง
เวลาสัมภาษณ์คนที่เตรียมตัวมามากกว่ายังไงก็มีโอกาสสร้างความประทับใจได้มากกว่านะคะ
——————————
(มีต่อที่คอมเมนต์จ้ะ)