เป็นประสบการณ์ปฏิบัติของเจ้าของกระทู้เอง
ค่อนข้างยาวครับ
ปัจจุบันเจ้าของกระทู้ยังมี ความโลภ โกรธ หลง และอื่นๆเหมือนปกติทั่วๆไป ใช้ชีวิตเหมือนคนปกติทั่วๆ ไปดูหนังฟังเพลงบ้าง ใช้ชีวิตเหมือนคนทั่วๆไป แต่มีอาการรู้ตัวเป็นช่วง เป็นระยะ ช้า เร็ว แตกต่างกันไปตามสิ่งแวดล้อม
ในเรื่องของสภาวะธรรมที่ปรากฎ เมื่อเห็น มีสติรู้อาการ ที่มันปรุงแต่ง มันก็จะดับไปดื้อๆด้วนๆ ถ้าจะเปรียบเหมือนกับดูภาพยนตร์แล้วภาพค้างดับไปตรงนั้น หรือบางครั้ง แค่จิตเคลื่อน ก็รู้ตัว แล้วแต่สิ่งแวดล้อมภายนอก เห็นเร็วเห็นช้า สลับกันไป แต่พอเห็นก็ดับทันที
และจะมีสติรู้บ่อยๆถี่ๆต่อเนื่อง ก็ช่วงเข้าคอร์สปฏิบัติ
และก่อนหน้าที่จะมาปฏิบัติตามแนวนี้ เคยทำสมาธิแบบสมถะกรรมฐาน ถึงขั้นตัวหายเหลือดวงจิตลอยๆเด่นดวงอยู่นิ่งๆ ไม่มีรูปร่างตัวตน และเคยมีอาการจิตดิ่ง(คำเรียกสมัยนั้น) คล้ายกับอาการตกจากที่สูง free fall วูบดิ่ง แล้วหลุดออกมา
ในช่วงการปฏิบัติธรรม
ระยะแรก
ขยับมือสร้างจังหวะ14 จังหวะ และเดินจงกรม ช่วงเริ่มต้นแรกๆ วางใจมีความรู้สึกตัวตามมือที่สร้างจังหวะ หรือตามฝ่าเท้าที่กระทบพื้นไปเรื่อยๆ เหมือนการวางสติรู้จดจ่อตามมือที่ขยับ หรือที่ฝ่าเท้าที่กระทบพื้นไปเรื่อยๆ เมื่อเกิดความฟุ้งซ่านหรืออะไรๆ เข้ามาก็ดึงกลับมาตามรู้ ตามมือที่เคลื่อนไหวสร้างจังหวะ หรือที่ฝ่าเท้ากระทบพื้นอีกครั้ง แบบนี้ไปเรื่อยๆไป
ระยะที่2
ตอนวางสติรู้ตัว ไม่ได้ไปจดจ่อตามมือที่สร้างจังหวะ หรือฝ่าเท้าอีกต่อไป แต่จะวางจิตที่มีสติรู้แบบโดยรวม มีสติรู้เด่นชัดทั่วกาย แบบรู้กายโดยรวม ที่กำลังเคลื่อนไหว ไม่ได้วางจิตหรือสติรู้เกาะไว้ที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย ทำให้เห็นร่างกายก็เคลื่อนไหวของมันไป และใจเป็นตัวดู หรือจิตที่มีสติเป็นตัวรู้กายที่เคลื่อนไหวโดยรวมแทน และมีสติรู้เด่นดวงลอยๆอยู่ แยกจากอาการเคลื่อนไหวของร่างกายชัดเจน และเมื่อมีความฟุ้งซ่านหรืออะไรๆเข้ามา ก็กลับมารู้ตัวทั่วกายเหมือนเดิม
ระยะที่3
การวางจิตหรืออาการรู้สึกตัว จะเหมือนกับระยะที่ 2 คือรู้กายรู้ตัวทั่วแบบรวมๆ ไม่ไปจดจ่อที่ใดที่หนึ่งเหมือนเดิม และเมื่อมีความฟุ้งซ่านหรืออะไรๆเข้ามา คราวนี้ก็มีสติรู้สึกตัวว่า มีความฟุ้งซ่าน หรือสภาวะธรรมอย่างอื่นเข้ามา ทำแค่รู้อาการหรือสภาวะนั้นที่เข้ามาโดยตรง โดยไม่ได้พยายามดึงกลับไปรู้กายโดยรวมอีก ในชั่วขณะนั้นสภาวะหรืออาการที่ไปรู้เข้ามันก็ดับหายไปทันทีดื้อๆด้วนๆ ไม่ว่าสภาวะนั้นจะเป็นอะไร โลภ โกรธ หลง ทั้งดีทั้งไม่ดี ทั้งกุศล อกุศล และอาการหลงเฉยๆ ใจลอยๆ ก็ดับ และกลับมามีสติรู้ตัว และเกิดเป็นการรู้ตัวโดยรวมอีกครั้งเป็นอัตโนมัติทันที
ระยะที่4
พอเริ่มชิน ก็มีความคุ้นเคย และรู้ความแตกต่างของอาการรู้ตัวโดยรวมทั่วพร้อม และอาการของสภาวะธรรมอื่นที่แปลกปลอมเข้ามา อย่างชัดเจน ตอนนี้การเคลื่อนไหวมือสร้างจังหวะ14 ขั้น หรือ การเดินจงกรม ก็ไม่ได้จำเป็นอีก สามารถรู้ตัวรู้กายทั่วพร้อมได้ในทุกๆ การกระทำ ทั้งยืน เดิน นั่ง นอน ทำธุระส่วนตัว หรือการใช้ชีวิตประจำวันทั่วๆไป และพอสภาวะธรรมอย่างอื่นเข้ามา ก็จะรู้ทัน แล้วก็เห็นมันดับทันที การเห็นในที่นี้ไม่ใช่ด้วยตา แต่เห็นด้วยสภาวะที่มันดับหายจากจิตใจ และมันก็เปลี่ยน ผลัดกันเกิด ผลัดกันดับ ระหว่างจิตที่หลง ที่หลุด กับจิตที่รู้ สลับกันไปอย่างนี้
ระยะที่5
ตอนนี้ในช่วงปฏิบัติธรรม จะเห็นแม้แต่อาการเคลื่อนของจิต คืออาการที่จิตกำลังจะเปลี่ยนจากจิตที่ประกอบด้วยสติรู้ หรือหลุดออกจากตัวรู้ เมื่อจิตเริ่มเคลื่อนหลุดออกจากจิตสติตัวรู้ ก็จะเกิดการรู้ทันที และกลับมาที่สติอีกครั้งทันที ยังไม่ถึงขั้นที่จิตปรุงแต่งความหมายอาการใดๆ แต่ก็ไม่ได้เพ่ง บังคับประครองสติในขณะที่สติรู้ตัวเกิดขึ้น สมองจะรู้สึกคลายๆ โล่งๆ สดชื่นๆ เหมือนกับว่าขบวนการทำงานของสมองหยุดไป ในจังหวะนั้น เป็นเพียงแค่รู้
ส่วนเวลาทำงานหรือทำธุระก็ปล่อยใจ ให้ทำงานตามเรื่องราวความหมายในสิ่งที่เราจะทำ อาการช่วงนี้รู้เลยว่าหลงไปกับเรื่องราวของงาน ธุระนั้นๆ เพราะขณะที่ทำงานทำธุระนั้นๆ ก็จะมีสติรู้ตัวบ้างเป็นครั้งเป็นคราว และเห็นความแตกต่างของอาการ ทำให้รู้ได้ทันทีว่าหลงอยู่
ในช่วงการปฏิบัติต่อเนื่อง มีอยู่ครั้งหนึ่งตอนที่มีอาการรู้ตัว บ่อยๆ ถี่ๆ ต่อเนื่องนานๆ(อาการที่ไม่หลงนานๆหรือหลงปุ๊ปรู้ปั๊ปในทันที) ได้เจออาการทางกายภาพภายในหัวและร่างกาย คือสมองคลาย แบบฉับพลัน คล้ายๆกับหัวสมองที่ตึงๆหนักๆ อยู่ๆมันก็คลายแบบฉับพลัน น้ำหนักในหัวหายไปเปรียบเหมือนในหัวมีน้ำหนัก5 กิโลกรัม กลายเป็น0 กิโลกรัม ทันทีแบบนั้น เบาหัวแบบฉับพลัน พร้อมกับอาการ เดินเหมือนแบบ ลอยๆ เบาๆ หวิวๆ ไม่มีอาการเหนื่อยล้า ทั้งที่เดินอยู่เป็น2-3 ชั่วโมง
ยิ่งไปกว่านั้น เกิดสติที่รู้ไวกว่าปกติหลายๆเท่า เห็นสภาวะผุดขึ้นมา รู้ทันทีปุ๊ปปั๊ป เห็นสภาวะผุดแล้วสติรู้ทันสภาวะ และก็ดับไป เป็น4-5 รอบใน1 วินาที และอาการที่เกิดขึ้นดำเนินอยู่เป็น10 นาที แล้วก็กลับมาเป็นปกติเหมือนเดิม ซึ่งเป็นอาการที่พบครั้งแรกในชีวิต และรู้สึกโปร่งโล่งแบบ extreme ก็ว่าได้
ในช่วงขณะที่จิตมีสติรู้เกิดขึ้น สังเกตเห็นว่า ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีความหมายอะไรเลย เหมือนสิ่งที่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น หรือความคิดนึก ไม่ได้ถูกประมวลผลจากสมองให้เป็นความหมายเลย มีแต่อาการสมองคลายโล่งๆเบาๆอยู่อย่างนั้น
ไม่เคยเจอ ผี เทวดา สวรรค์ นรก เจอแต่ความกลัวความมืด และกลัว ป่าช้า เชิงตะกอน ตอนไปสำรวจ แต่พอมีสติรู้ก็ดับทันที ตอนช่วงไปกางเต๊นท์หลังเดียว หลังลานหินโค้งปฏิบัติธรรมในช่วงที่ไม่มีคอร์สปฏิบัติอยู่17 คืน
ผิดถูกประการใดฝากผู้รู้ช่วยชี้ทางเพิ่มเติมเพื่อความเข้าใจและความเจริญในธรรมต่อไป
ขออนุญาต แชร์ประสบการณ์ปฏิบัติ ในสายหลวงพ่อเทียน ที่วัดป่า สุคะโต
ค่อนข้างยาวครับ
ปัจจุบันเจ้าของกระทู้ยังมี ความโลภ โกรธ หลง และอื่นๆเหมือนปกติทั่วๆไป ใช้ชีวิตเหมือนคนปกติทั่วๆ ไปดูหนังฟังเพลงบ้าง ใช้ชีวิตเหมือนคนทั่วๆไป แต่มีอาการรู้ตัวเป็นช่วง เป็นระยะ ช้า เร็ว แตกต่างกันไปตามสิ่งแวดล้อม
ในเรื่องของสภาวะธรรมที่ปรากฎ เมื่อเห็น มีสติรู้อาการ ที่มันปรุงแต่ง มันก็จะดับไปดื้อๆด้วนๆ ถ้าจะเปรียบเหมือนกับดูภาพยนตร์แล้วภาพค้างดับไปตรงนั้น หรือบางครั้ง แค่จิตเคลื่อน ก็รู้ตัว แล้วแต่สิ่งแวดล้อมภายนอก เห็นเร็วเห็นช้า สลับกันไป แต่พอเห็นก็ดับทันที
และจะมีสติรู้บ่อยๆถี่ๆต่อเนื่อง ก็ช่วงเข้าคอร์สปฏิบัติ
และก่อนหน้าที่จะมาปฏิบัติตามแนวนี้ เคยทำสมาธิแบบสมถะกรรมฐาน ถึงขั้นตัวหายเหลือดวงจิตลอยๆเด่นดวงอยู่นิ่งๆ ไม่มีรูปร่างตัวตน และเคยมีอาการจิตดิ่ง(คำเรียกสมัยนั้น) คล้ายกับอาการตกจากที่สูง free fall วูบดิ่ง แล้วหลุดออกมา
ในช่วงการปฏิบัติธรรม
ขยับมือสร้างจังหวะ14 จังหวะ และเดินจงกรม ช่วงเริ่มต้นแรกๆ วางใจมีความรู้สึกตัวตามมือที่สร้างจังหวะ หรือตามฝ่าเท้าที่กระทบพื้นไปเรื่อยๆ เหมือนการวางสติรู้จดจ่อตามมือที่ขยับ หรือที่ฝ่าเท้าที่กระทบพื้นไปเรื่อยๆ เมื่อเกิดความฟุ้งซ่านหรืออะไรๆ เข้ามาก็ดึงกลับมาตามรู้ ตามมือที่เคลื่อนไหวสร้างจังหวะ หรือที่ฝ่าเท้ากระทบพื้นอีกครั้ง แบบนี้ไปเรื่อยๆไป
ระยะที่2
ตอนวางสติรู้ตัว ไม่ได้ไปจดจ่อตามมือที่สร้างจังหวะ หรือฝ่าเท้าอีกต่อไป แต่จะวางจิตที่มีสติรู้แบบโดยรวม มีสติรู้เด่นชัดทั่วกาย แบบรู้กายโดยรวม ที่กำลังเคลื่อนไหว ไม่ได้วางจิตหรือสติรู้เกาะไว้ที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย ทำให้เห็นร่างกายก็เคลื่อนไหวของมันไป และใจเป็นตัวดู หรือจิตที่มีสติเป็นตัวรู้กายที่เคลื่อนไหวโดยรวมแทน และมีสติรู้เด่นดวงลอยๆอยู่ แยกจากอาการเคลื่อนไหวของร่างกายชัดเจน และเมื่อมีความฟุ้งซ่านหรืออะไรๆเข้ามา ก็กลับมารู้ตัวทั่วกายเหมือนเดิม
ระยะที่3
การวางจิตหรืออาการรู้สึกตัว จะเหมือนกับระยะที่ 2 คือรู้กายรู้ตัวทั่วแบบรวมๆ ไม่ไปจดจ่อที่ใดที่หนึ่งเหมือนเดิม และเมื่อมีความฟุ้งซ่านหรืออะไรๆเข้ามา คราวนี้ก็มีสติรู้สึกตัวว่า มีความฟุ้งซ่าน หรือสภาวะธรรมอย่างอื่นเข้ามา ทำแค่รู้อาการหรือสภาวะนั้นที่เข้ามาโดยตรง โดยไม่ได้พยายามดึงกลับไปรู้กายโดยรวมอีก ในชั่วขณะนั้นสภาวะหรืออาการที่ไปรู้เข้ามันก็ดับหายไปทันทีดื้อๆด้วนๆ ไม่ว่าสภาวะนั้นจะเป็นอะไร โลภ โกรธ หลง ทั้งดีทั้งไม่ดี ทั้งกุศล อกุศล และอาการหลงเฉยๆ ใจลอยๆ ก็ดับ และกลับมามีสติรู้ตัว และเกิดเป็นการรู้ตัวโดยรวมอีกครั้งเป็นอัตโนมัติทันที
ระยะที่4
พอเริ่มชิน ก็มีความคุ้นเคย และรู้ความแตกต่างของอาการรู้ตัวโดยรวมทั่วพร้อม และอาการของสภาวะธรรมอื่นที่แปลกปลอมเข้ามา อย่างชัดเจน ตอนนี้การเคลื่อนไหวมือสร้างจังหวะ14 ขั้น หรือ การเดินจงกรม ก็ไม่ได้จำเป็นอีก สามารถรู้ตัวรู้กายทั่วพร้อมได้ในทุกๆ การกระทำ ทั้งยืน เดิน นั่ง นอน ทำธุระส่วนตัว หรือการใช้ชีวิตประจำวันทั่วๆไป และพอสภาวะธรรมอย่างอื่นเข้ามา ก็จะรู้ทัน แล้วก็เห็นมันดับทันที การเห็นในที่นี้ไม่ใช่ด้วยตา แต่เห็นด้วยสภาวะที่มันดับหายจากจิตใจ และมันก็เปลี่ยน ผลัดกันเกิด ผลัดกันดับ ระหว่างจิตที่หลง ที่หลุด กับจิตที่รู้ สลับกันไปอย่างนี้
ระยะที่5
ตอนนี้ในช่วงปฏิบัติธรรม จะเห็นแม้แต่อาการเคลื่อนของจิต คืออาการที่จิตกำลังจะเปลี่ยนจากจิตที่ประกอบด้วยสติรู้ หรือหลุดออกจากตัวรู้ เมื่อจิตเริ่มเคลื่อนหลุดออกจากจิตสติตัวรู้ ก็จะเกิดการรู้ทันที และกลับมาที่สติอีกครั้งทันที ยังไม่ถึงขั้นที่จิตปรุงแต่งความหมายอาการใดๆ แต่ก็ไม่ได้เพ่ง บังคับประครองสติในขณะที่สติรู้ตัวเกิดขึ้น สมองจะรู้สึกคลายๆ โล่งๆ สดชื่นๆ เหมือนกับว่าขบวนการทำงานของสมองหยุดไป ในจังหวะนั้น เป็นเพียงแค่รู้
ส่วนเวลาทำงานหรือทำธุระก็ปล่อยใจ ให้ทำงานตามเรื่องราวความหมายในสิ่งที่เราจะทำ อาการช่วงนี้รู้เลยว่าหลงไปกับเรื่องราวของงาน ธุระนั้นๆ เพราะขณะที่ทำงานทำธุระนั้นๆ ก็จะมีสติรู้ตัวบ้างเป็นครั้งเป็นคราว และเห็นความแตกต่างของอาการ ทำให้รู้ได้ทันทีว่าหลงอยู่
ในช่วงการปฏิบัติต่อเนื่อง มีอยู่ครั้งหนึ่งตอนที่มีอาการรู้ตัว บ่อยๆ ถี่ๆ ต่อเนื่องนานๆ(อาการที่ไม่หลงนานๆหรือหลงปุ๊ปรู้ปั๊ปในทันที) ได้เจออาการทางกายภาพภายในหัวและร่างกาย คือสมองคลาย แบบฉับพลัน คล้ายๆกับหัวสมองที่ตึงๆหนักๆ อยู่ๆมันก็คลายแบบฉับพลัน น้ำหนักในหัวหายไปเปรียบเหมือนในหัวมีน้ำหนัก5 กิโลกรัม กลายเป็น0 กิโลกรัม ทันทีแบบนั้น เบาหัวแบบฉับพลัน พร้อมกับอาการ เดินเหมือนแบบ ลอยๆ เบาๆ หวิวๆ ไม่มีอาการเหนื่อยล้า ทั้งที่เดินอยู่เป็น2-3 ชั่วโมง
ยิ่งไปกว่านั้น เกิดสติที่รู้ไวกว่าปกติหลายๆเท่า เห็นสภาวะผุดขึ้นมา รู้ทันทีปุ๊ปปั๊ป เห็นสภาวะผุดแล้วสติรู้ทันสภาวะ และก็ดับไป เป็น4-5 รอบใน1 วินาที และอาการที่เกิดขึ้นดำเนินอยู่เป็น10 นาที แล้วก็กลับมาเป็นปกติเหมือนเดิม ซึ่งเป็นอาการที่พบครั้งแรกในชีวิต และรู้สึกโปร่งโล่งแบบ extreme ก็ว่าได้
ในช่วงขณะที่จิตมีสติรู้เกิดขึ้น สังเกตเห็นว่า ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีความหมายอะไรเลย เหมือนสิ่งที่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น หรือความคิดนึก ไม่ได้ถูกประมวลผลจากสมองให้เป็นความหมายเลย มีแต่อาการสมองคลายโล่งๆเบาๆอยู่อย่างนั้น
ไม่เคยเจอ ผี เทวดา สวรรค์ นรก เจอแต่ความกลัวความมืด และกลัว ป่าช้า เชิงตะกอน ตอนไปสำรวจ แต่พอมีสติรู้ก็ดับทันที ตอนช่วงไปกางเต๊นท์หลังเดียว หลังลานหินโค้งปฏิบัติธรรมในช่วงที่ไม่มีคอร์สปฏิบัติอยู่17 คืน
ผิดถูกประการใดฝากผู้รู้ช่วยชี้ทางเพิ่มเติมเพื่อความเข้าใจและความเจริญในธรรมต่อไป