สวัสดีค่ะชาวพันทิป
วันนี้จะมารีวิวการบริการของ เจ้าหน้าที่ VFS นะคะ ถ้าเป็นไปได้ อยากจะแนะนำเพื่อนๆที่ต้องการขอวีซ่าไปสวิสเซอร์แลนด์ ให้ยื่นตรงต่อสถานฑูตเลยดีกว่า
(ถ้ามีเวลามากพอ เพราะคิวมีน้อยมาก) ทำไมถึงแนะนำแบบนี้ จะเล่าให้ฟังค่ะ
เราได้จองคิวให้แม่วันที่ 1 เมษายน เป็นวีซ่าแบบเยี่ยมเยียน ยื่นขอไป 90 วัน มีจดหมายเชิญและคนประกัน (คือเราและพ่อของลูกชายเรา)
จากสวิสเซอร์แลนด์ ผ่านทาง VFS พอวันที่ 3เมษายน ได้รับจดหมาย แจ้งว่า วีซ่าถูกปฏิเสธ ข้อ 9 คือ "ท่านไม่สามารถแสดงให้เห็นได้ว่า
ท่านมีเจตนาเดินทางออกนอกกลุ่มประเทศเชงเกนก่อนที่วีซ่าจะหมดอายุ"
แต่สามารถยื่นอุทธรณ์ได้ ด้วยความไม่รู้ของแม่เลย ไม่ได้ถ่ายสำเนาเอกสารไว้เลยสักแผ่น ทางทนายที่สวิสก็ไม่สามารถจะยื่นเรื่องไปที่กรุงเบินร์ได้
เราเลยอีเมล์ไปถาม จนท ที่ VFS ว่าได้ถ่ายสำเนาไว้ไหม ก็ได้รับคำตอบว่าไม่ได้ถ่าย เลยโทรไปถามสถานฑูต แต่ไม่มีคนรับโทรศัพท์
เราก็อีเมล์กลับไปสอบถามทาง VFS อีกครั้งว่าสามารถจะยื่นขอใหม่เลยได้ไหม แล้วเพิ่มเอกสารอื่นๆที่จำเป็นเข้าไป ก็ได้รับคำตอบว่าได้ ยื่นขอใหม่ได้เลย ที่จริงแล้วอยากยื่นขอตรงกับทางสถานฑูต แต่เข้าไปดูคิวแล้วต้องตั้งคอยสองเดือน เลยต้องกลับมาจองคิวผ่านทาง VFS
เราได้จองคิวใหม่ เลือกวันที่ 7 พค เวลา 11.45 ได้จองแบบ premium lounge ค่าบริการ
2200 บาทและจ่ายค่าบริการด้วยบัตรวีซ่า (วันที่ 17 เมษา)
เพื่อแม่จะได้รับความสะดวกสบาย แต่เปล่าค่ะ ต้องนั่งคอยเกือบสองชั่วโมง แล้ว จนท ก็ดึงเอกสารที่ได้เตรียมไปออก บอกว่าไม่จำเป็นต้องใช้ เช่น โฉนดที่ดิน ใบซื้อขายที่ดิน (ที่ทำธุรกิจหอพัก) แม่ก็บอกว่า ต้องใส่เพราะรอบแรกขอไปแล้วไม่ผ่านเพราะไม่ได้มีเอกสารพวกนี้ เลยต้องเพิ่มเอกสาร จนท ก็ตอบว่า ไม่จำเป็นต้องใส่ ถ้าไม่ผ่านก็ให้มายื่นขอใหม่ จนแม่ต้องโทรทางไลน์มาหาเราแล้วให้คุย กับ จนท ผู้หญิงคนนั้น ไม่ทราบว่าชื่ออะไร แต่ในใบเสร็จ Cashier ชื่อว่า Suchada Lerkcharan ไม่รู้ว่าเป็นคนเดียวกันกับที่คุยหรือไม่
อันนี้เราสะเพร่าเองที่ไม่ได้ถามชื่อ จนท ก่อน เราก็แจ้ง จนท ไปว่า ทนายที่สวิสเป็นคนแนะนำให้เตรียมเอกสารแบบนั้น
เผื่อในกรณีที่ไม่ผ่านอีก จะได้ใช้สำเนาเอกสารที่ยื่นแนบไปทุกแผ่น มายื่นอุทธรณ์ที่ SEM (สำนักเลขาธิการรัฐสำหรับการโยกย้ายถิ่นฐาน) ที่กรุงเบินร์
เพราะฉะนั้น
เอกสารทุกแผนที่ได้เตรียมไป ได้ผ่านการคิดอย่างถี่ถ้วนแล้วว่าจะมีผลต่อการพิจารณาขอวีซ่า
เราย้ำว่าต้องใส่ให้เราทุกแผ่นที่เราได้เตรียมไป จน จนท บอกว่า ค่ะๆจะใส่คืนให้ ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าเขาได้ใส่กลับลงไปหรือเปล่า
ซึ่งเอกสารเราเรียงลำดับและจัดเข้ากลุ่ม โดยใช้คลิปหนีบกระดาษ เช่น
ใบแนะนำตัวเองของแม่ (เป็นภาษาฝรั่งเศส) เพื่อที่แสดงเจตจำนงว่าจะออกจากกลุ่มประเทศในเขตเชงเกนก่อนวีซ่าหมด
ซึ่งในจดหมายได้ระบุว่า มีเอกสารแนบตาม คือ
1. ใบสัญญาซื้อขายที่ดิน 2.โฉนดที่ดิน 3. บัญชีรายรับ ที่ทำกิจการหอพัก 4.ทะเบียนสมรส 5. ใบรับรองการทำงานของพ่อ (ข้าราชการ)
6. บัญชีเงินเดือนของพ่อ 7. ทะเบียนบ้าน 8. รูปถ่ายบ้าน พอพัก และครอบครัว จำนวน 2 แผ่น ตามรูป
ทั้งหมดนี้คือเราได้ใช้คลิปหนีบไว้ด้วยกัน (ซึ่งทั้งหมดเป็นภาษาไทย และแม่ได้แจ้งให้ จนท แล้วว่าให้แปลเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายแผ่นละ 500 บาท)
ตอนแรกเราก็คิดว่าจะส่งเอกสารทั้งหมดให้แปลก่อนจะถึงวันนัดแล้วก็จ่ายเงินเลย เพราะกลัวว่าจะใช้เวลานานเพราะเอกสารที่แปลมีทั้งหมด 5 แผ่นด้วยกัน
แต่ได้รับอีเมล์ตอบกลับว่า ไม่รับแปล ให้แจ้ง จนท หน้างานเลย เราเลยบอกให้แม่ถ่ายสำเนาเอกสารทั้ง 5 แผ่นที่ต้องแปลแยกไปเลย
พอไปถึงจะได้ยื่นให้ จนท ทราบเลยว่า ชุดนี้ต้องแปล
พอ จนท เช็คเอกสารเสร็จแล้ว แม่ก็บอก จนท หญิงคนที่รับเรื่อง ว่า ช่วยถ่ายสำเนาเอกสารทุกแผ่นให้ได้ไหม เพราะเผื่อไม่ผ่านอีกจะได้ส่งสำเนากลับสวิส
จนท บอกแม่ว่าไม่มีบริการ ถ้าจะถ่ายสำเนาให้เดินไปถ่ายเอง แม่ก็แปลกใจ เพราะที่เราได้บอกเอาไว้คือ จ่ายเงินไว้หมดแล้ว ยกเว้นค่าธรรมเนียมขอวีซ่า 2200 บาท ค่าแปลเอกสาร แผ่นละ 500 บาทและค่าธรรมเนียมของ VFS
แล้วเราก็เลยได้คุยทางไลน์กับ จนท หญิงคนนั้นอีก ว่าที่จ่ายไป 2200 premium service นี่มีอะไรมาบริการบ้าง เพราะเห็นเขียนไว้ในเว็ปไซต์ว่ามีบริการถ่ายสำเนาเอกสารรวมในราคานี้ด้วย จนท ก็ตอบว่าไม่มีค่ะ มีแค่ถ่ายสำเนาของพาสปอต ถ่ายรูป ช่วยจัดเอกสาร (คือดึงเอาเอกสารที่เราเตรียมไปอย่างดีออก?)
เราขี้เกียจต่อความยาวสาวความยืด เลยถามว่าต้องให้แม่เดินไปถ่ายสำเนาที่ไหน
เค้าก็บอกว่า ในตึกเดียวกันแต่อีกที่นึง เราถามต่อแผ่นละ 5 บาทใช่ไหม เห็นแจ้งไว้ในเว็ป เค้าไม่แน่ใจได้ยินตะโกนถามใครก็ไม่รู้ว่า ข้างนอกแผ่นละ 25 ใช่ไหม มีคนตอบกลับว่า แผ่นละ 5 บาท ทีนี้แม่ก็ต้องเอาเอกสารทั้งหมดไปถ่ายสำเนาเอง ซึ่งแม่ก็ไม่รู้ว่าจะต้องเอาแผ่นไหน เพราะ จนท ได้ค้น รื้อ ดึงเอาเอกสารออก มั่วไปหมด แม่ก็อ่านภาษาอังกฤษไม่เป็น เลยเลือกๆเอามาถ่ายได้แค่ 6 แผ่น แม่บอกต้องรีบเพราะเค้าจะปิดแล้ว จนท หิวข้าวด้วย บ่ายโมงครึ่งแล้ว
ส่วนเอกสารที่ส่งจากสวิสคือ ใบเชิญ จดหมายเชิญ บัญชีธนาคารที่เราใช้ประกันแม่ พาสปอตของเราและลูกชาย
และรูปถ่ายตอนที่แม่มาเที่ยวที่สวิสอีก 4 แผ่น
(เคยขอมาแล้วหนึ่งครั้ง ได้ 90 วัน #เดี๋ยวตรงนี้จะขอไปอธิบายตรงหมายเหตุนะคะ#)
แล้วก็ยังมีเอกสารของพ่อของลูกชายเรา (ไม่ได้แต่งงาน) ที่ช่วยทำจดหมายเชิญ บัญชีธนาคาร ใบเงินเดือน และพาสปอต ทั้งหมดนี้คือเรา
เอาคลิปหนีบรวมกันไว้เป็นอีกชุดนึง จนท ก็ค้นกระจาย ไม่เรียงเหมือนที่เราทำไป แม่บอกว่า จนท ถามหา ใบอนุญาติ(เปอมิท) ของพ่อของลูกชายเรา ซึ่งมีพาสปอตแนบไปแล้ว ไม่ทราบว่าจะเอาเปอมิทไปทำอะไร ซึ่งเอกสารชุดนี้ เราเตรียมเหมือนกับครั้งแรกที่ขอ ซึ่งครั้งแรกก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับเอกสารชุดนี้ ไม่มี จนท คนใดที่ VFS ถามเอาอะไรเพิ่มเติม
พอถึงเวลาจ่ายเงิน เราไม่เข้าใจ ว่าเค้าคิดกันยังไง ซึ่งเราได้จ่ายค่าจองคิวแบบบริการพิเศษไปแล้ว จำนวนเงิน 2200 บาท
เมื่อวันที่ 17 เมษา แล้วแม่ก็ถาม จนท ว่า ค่าแปลเอกสารเท่าไหร่ จนท บอกว่า ไม่คิด แปลให้ฟรี มันมีด้วยเหรอ? ถ้าแปลให้ฟรีจริงก็ขอบพระคุณเป็นอย่างสูงค่ะ แต่ขนาดค่าถ่ายสำเนาเอกสารยังไล่ให้แม่ไปถ่ายสำเนาที่อื่นทั้งที่ระบุไว้ว่ารวมไปแล้วใน "บริการแบบพิเศษ"
ซึ่งในบิลเขียนว่า ค่าขอวีซ่าก็จำนวน 2200 ค่าบริการแบบพิเศษ 2200 ค่าบริการ
668 รวมเป็น 2868 แต่แม่บอกว่าจ่ายไปห้าพันกว่าบาทนะ แม่โทรมาบอกเราก็งง ยังคิดว่า อาจจะคิดผิดหรือเปล่า แล้วสักพัก จนท
ก็โทรกลับมาบอกว่า จะคืนเงินให้ 2200 บาท โดยจะโอนเข้า บัญชีของน้องชายเรา เราก็บอกว่าแน่ใจนะว่า จนท แปลเอกสารทั้ง 5 แผ่น
แล้วใส่เข้าไปพร้อมกับเอกสารอื่นๆ น้องชายก็โทรกลับไปถาม จนท เพื่อความแน่ใจอีกที ซึ่งทางนั้นก็ยืนยันว่า แปลให้แล้ว ใส่ให้แล้ว
คำถามที่ยังไม่ได้รับคำตอบ คือ
1. จนท มีสิทธิ์อะไรที่มาคัดเอกสารที่เราได้เตรียมไปออก
บอกว่าไม่จำเป็น รู้ได้ยังไงว่าไม่จำเป็น ผู้ยื่นแต่ละคน เอกสารประกอบก็ต่างกัน
ถ้ามาคัดออก แล้ววีซ่าไม่ผ่าน จนท จะรับผิดชอบยังไงคะ
2. จนท ไม่มีความสามารถ ไม่มีความเป็นมืออาซีพ ทั้งๆที่เป็นงานที่ทำทุกวัน
ขนาดแพ็คเกจบริการต่างๆ มีแค่ไม่กี่อย่าง ยังไม่สามารถจดจำรายละเอียดได้ว่าต้องทำอะไรบ้าง
ต้องมีอะไรมาบริการบ้าง ถ้าด้อยความสามารถในการจดจำขนาดนั้น คำแนะนำคือ พิมพ์แพ็คเกจบริการของทาง VFS ที่มี ”ขาย” ให้ลูกค้า
แล้วแปะไว้ที่ผนังห้องทำงานค่ะ
3. แล้วเอกสารที่แม่ได้แจ้งไปว่าให้แปลเป็นภาษาอังกฤษทั้ง 5 แผ่น
นั้นได้แปลจริงหรือไม่ ฟรีจริงหรือเปล่า? เป็นไปได้ไหมที่ จนท รู้ว่า
แพ็คเกจที่เราเลือกนั้นมีบริการถ่ายสำเนาด้วย แต่ไม่ยอมถ่ายให้ เพราะเอกสารไม่ไ่ด้แปล?
เราส่งคอมเพลนเข้าบริษัทวันที่ 8 พค ยังไม่ได้รับการตอบกลับ เราส่งเข้าอีเมล์บริษัท VFS (ปรกติจะมี
จนท ตอบกลับรวดเร็วมากสำหรับคำถามอื่นๆ) ก็ไม่มีใครตอบกลับ ส่วนวีซ่าจะผ่านหรือไม่ ยังไม่ทราบคำตอบ
เพราะได้ยื่นขอไปวันอังคารที่ 7 พค เช็คสถานะทางเว็ปไซต์ของ VFS
แจ้งไว้ว่าได้ส่งเอกสารคืนมาทางไปรษณีย์ EMS วันศุกร์ที่ 10 พค คงต้องรอลุ้นวันจันทร์ ที่ 13 พค ค่ะ
ตอนนี้กำลังจะส่งเอกสารทั้งหมดที่เราได้เตรียมเอง เข้าไปที่สถานฑูตสวิส จะทำคอมเพลนเข้าไปที่สถานฑูตด้วย ซึ่งไม่รู้จะเป็นยังไง มีคำตอบไหม อันนี้ไม่ลองดูก็ไม่รู้
ปล. แม่เราเคยมาแล้วหนึ่งครั้ง โดยผู้เชิญคือ แม่สามีเก่าของเราเป็นชาวสวิส ได้ 90 วัน แต่มีเหตุที่ต้องให้อยู่ต่อเพราะเราไม่สามารถจะหาคนเลี้ยงลูกเราได้
เราลางานได้แค่ 4 เดือนก็ต้องกลับไปทำงาน เราให้ทนายยื่นขออนุญาตกับทางการสวิสที่เจนีวา โดยบอกเหตุผลไปว่า เพราะอะไรถึงต้องยื่นขอ ทำทุกอย่างถูกต้องตามดฏหมาย เราซื้อประกันให้แม่ที่สวิส (เดือนละหมื่นกว่าบาท ถูกที่สุดแล้วราคานี้) ไม่ได้แอบอยู่ ทนายก็ยื่นเรื่องไปแล้วก็รอคำตอบ จนทางการส่งจดหมายตอบมาว่า ไม่สามารถจะออกใบอนุญาตตามที่ขอได้ โดยแม่เราต้องกลับไทยแล้วไปยื่นเรื่องขอมาเที่ยวใหม่ แล้วทางสวิสก็ออกวีซ่าให้แม่จะได้ไม่มีปัญหาเวลาเดินทางออกจากสวิส
ส่วนเราและลูกชายเป็นพลเมืองสวิสแล้ว ครั้งนี้เราเป็นผู้ประกันให้แม่เอง
[CR] ขอวีซ่าไปสวิสเซอร์แลนด์ผ่าน VFS
วันนี้จะมารีวิวการบริการของ เจ้าหน้าที่ VFS นะคะ ถ้าเป็นไปได้ อยากจะแนะนำเพื่อนๆที่ต้องการขอวีซ่าไปสวิสเซอร์แลนด์ ให้ยื่นตรงต่อสถานฑูตเลยดีกว่า
(ถ้ามีเวลามากพอ เพราะคิวมีน้อยมาก) ทำไมถึงแนะนำแบบนี้ จะเล่าให้ฟังค่ะ
เราได้จองคิวให้แม่วันที่ 1 เมษายน เป็นวีซ่าแบบเยี่ยมเยียน ยื่นขอไป 90 วัน มีจดหมายเชิญและคนประกัน (คือเราและพ่อของลูกชายเรา)
จากสวิสเซอร์แลนด์ ผ่านทาง VFS พอวันที่ 3เมษายน ได้รับจดหมาย แจ้งว่า วีซ่าถูกปฏิเสธ ข้อ 9 คือ "ท่านไม่สามารถแสดงให้เห็นได้ว่า
ท่านมีเจตนาเดินทางออกนอกกลุ่มประเทศเชงเกนก่อนที่วีซ่าจะหมดอายุ"
แต่สามารถยื่นอุทธรณ์ได้ ด้วยความไม่รู้ของแม่เลย ไม่ได้ถ่ายสำเนาเอกสารไว้เลยสักแผ่น ทางทนายที่สวิสก็ไม่สามารถจะยื่นเรื่องไปที่กรุงเบินร์ได้
เราเลยอีเมล์ไปถาม จนท ที่ VFS ว่าได้ถ่ายสำเนาไว้ไหม ก็ได้รับคำตอบว่าไม่ได้ถ่าย เลยโทรไปถามสถานฑูต แต่ไม่มีคนรับโทรศัพท์
เราก็อีเมล์กลับไปสอบถามทาง VFS อีกครั้งว่าสามารถจะยื่นขอใหม่เลยได้ไหม แล้วเพิ่มเอกสารอื่นๆที่จำเป็นเข้าไป ก็ได้รับคำตอบว่าได้ ยื่นขอใหม่ได้เลย ที่จริงแล้วอยากยื่นขอตรงกับทางสถานฑูต แต่เข้าไปดูคิวแล้วต้องตั้งคอยสองเดือน เลยต้องกลับมาจองคิวผ่านทาง VFS
เราได้จองคิวใหม่ เลือกวันที่ 7 พค เวลา 11.45 ได้จองแบบ premium lounge ค่าบริการ
2200 บาทและจ่ายค่าบริการด้วยบัตรวีซ่า (วันที่ 17 เมษา)
เพื่อแม่จะได้รับความสะดวกสบาย แต่เปล่าค่ะ ต้องนั่งคอยเกือบสองชั่วโมง แล้ว จนท ก็ดึงเอกสารที่ได้เตรียมไปออก บอกว่าไม่จำเป็นต้องใช้ เช่น โฉนดที่ดิน ใบซื้อขายที่ดิน (ที่ทำธุรกิจหอพัก) แม่ก็บอกว่า ต้องใส่เพราะรอบแรกขอไปแล้วไม่ผ่านเพราะไม่ได้มีเอกสารพวกนี้ เลยต้องเพิ่มเอกสาร จนท ก็ตอบว่า ไม่จำเป็นต้องใส่ ถ้าไม่ผ่านก็ให้มายื่นขอใหม่ จนแม่ต้องโทรทางไลน์มาหาเราแล้วให้คุย กับ จนท ผู้หญิงคนนั้น ไม่ทราบว่าชื่ออะไร แต่ในใบเสร็จ Cashier ชื่อว่า Suchada Lerkcharan ไม่รู้ว่าเป็นคนเดียวกันกับที่คุยหรือไม่
อันนี้เราสะเพร่าเองที่ไม่ได้ถามชื่อ จนท ก่อน เราก็แจ้ง จนท ไปว่า ทนายที่สวิสเป็นคนแนะนำให้เตรียมเอกสารแบบนั้น
เผื่อในกรณีที่ไม่ผ่านอีก จะได้ใช้สำเนาเอกสารที่ยื่นแนบไปทุกแผ่น มายื่นอุทธรณ์ที่ SEM (สำนักเลขาธิการรัฐสำหรับการโยกย้ายถิ่นฐาน) ที่กรุงเบินร์
เพราะฉะนั้น เอกสารทุกแผนที่ได้เตรียมไป ได้ผ่านการคิดอย่างถี่ถ้วนแล้วว่าจะมีผลต่อการพิจารณาขอวีซ่า
เราย้ำว่าต้องใส่ให้เราทุกแผ่นที่เราได้เตรียมไป จน จนท บอกว่า ค่ะๆจะใส่คืนให้ ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าเขาได้ใส่กลับลงไปหรือเปล่า
ซึ่งเอกสารเราเรียงลำดับและจัดเข้ากลุ่ม โดยใช้คลิปหนีบกระดาษ เช่น
ใบแนะนำตัวเองของแม่ (เป็นภาษาฝรั่งเศส) เพื่อที่แสดงเจตจำนงว่าจะออกจากกลุ่มประเทศในเขตเชงเกนก่อนวีซ่าหมด
ซึ่งในจดหมายได้ระบุว่า มีเอกสารแนบตาม คือ
1. ใบสัญญาซื้อขายที่ดิน 2.โฉนดที่ดิน 3. บัญชีรายรับ ที่ทำกิจการหอพัก 4.ทะเบียนสมรส 5. ใบรับรองการทำงานของพ่อ (ข้าราชการ)
6. บัญชีเงินเดือนของพ่อ 7. ทะเบียนบ้าน 8. รูปถ่ายบ้าน พอพัก และครอบครัว จำนวน 2 แผ่น ตามรูป
ทั้งหมดนี้คือเราได้ใช้คลิปหนีบไว้ด้วยกัน (ซึ่งทั้งหมดเป็นภาษาไทย และแม่ได้แจ้งให้ จนท แล้วว่าให้แปลเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายแผ่นละ 500 บาท)
ตอนแรกเราก็คิดว่าจะส่งเอกสารทั้งหมดให้แปลก่อนจะถึงวันนัดแล้วก็จ่ายเงินเลย เพราะกลัวว่าจะใช้เวลานานเพราะเอกสารที่แปลมีทั้งหมด 5 แผ่นด้วยกัน
แต่ได้รับอีเมล์ตอบกลับว่า ไม่รับแปล ให้แจ้ง จนท หน้างานเลย เราเลยบอกให้แม่ถ่ายสำเนาเอกสารทั้ง 5 แผ่นที่ต้องแปลแยกไปเลย
พอไปถึงจะได้ยื่นให้ จนท ทราบเลยว่า ชุดนี้ต้องแปล
พอ จนท เช็คเอกสารเสร็จแล้ว แม่ก็บอก จนท หญิงคนที่รับเรื่อง ว่า ช่วยถ่ายสำเนาเอกสารทุกแผ่นให้ได้ไหม เพราะเผื่อไม่ผ่านอีกจะได้ส่งสำเนากลับสวิส
จนท บอกแม่ว่าไม่มีบริการ ถ้าจะถ่ายสำเนาให้เดินไปถ่ายเอง แม่ก็แปลกใจ เพราะที่เราได้บอกเอาไว้คือ จ่ายเงินไว้หมดแล้ว ยกเว้นค่าธรรมเนียมขอวีซ่า 2200 บาท ค่าแปลเอกสาร แผ่นละ 500 บาทและค่าธรรมเนียมของ VFS
แล้วเราก็เลยได้คุยทางไลน์กับ จนท หญิงคนนั้นอีก ว่าที่จ่ายไป 2200 premium service นี่มีอะไรมาบริการบ้าง เพราะเห็นเขียนไว้ในเว็ปไซต์ว่ามีบริการถ่ายสำเนาเอกสารรวมในราคานี้ด้วย จนท ก็ตอบว่าไม่มีค่ะ มีแค่ถ่ายสำเนาของพาสปอต ถ่ายรูป ช่วยจัดเอกสาร (คือดึงเอาเอกสารที่เราเตรียมไปอย่างดีออก?)
เราขี้เกียจต่อความยาวสาวความยืด เลยถามว่าต้องให้แม่เดินไปถ่ายสำเนาที่ไหน
เค้าก็บอกว่า ในตึกเดียวกันแต่อีกที่นึง เราถามต่อแผ่นละ 5 บาทใช่ไหม เห็นแจ้งไว้ในเว็ป เค้าไม่แน่ใจได้ยินตะโกนถามใครก็ไม่รู้ว่า ข้างนอกแผ่นละ 25 ใช่ไหม มีคนตอบกลับว่า แผ่นละ 5 บาท ทีนี้แม่ก็ต้องเอาเอกสารทั้งหมดไปถ่ายสำเนาเอง ซึ่งแม่ก็ไม่รู้ว่าจะต้องเอาแผ่นไหน เพราะ จนท ได้ค้น รื้อ ดึงเอาเอกสารออก มั่วไปหมด แม่ก็อ่านภาษาอังกฤษไม่เป็น เลยเลือกๆเอามาถ่ายได้แค่ 6 แผ่น แม่บอกต้องรีบเพราะเค้าจะปิดแล้ว จนท หิวข้าวด้วย บ่ายโมงครึ่งแล้ว
ส่วนเอกสารที่ส่งจากสวิสคือ ใบเชิญ จดหมายเชิญ บัญชีธนาคารที่เราใช้ประกันแม่ พาสปอตของเราและลูกชาย
และรูปถ่ายตอนที่แม่มาเที่ยวที่สวิสอีก 4 แผ่น (เคยขอมาแล้วหนึ่งครั้ง ได้ 90 วัน #เดี๋ยวตรงนี้จะขอไปอธิบายตรงหมายเหตุนะคะ#)
แล้วก็ยังมีเอกสารของพ่อของลูกชายเรา (ไม่ได้แต่งงาน) ที่ช่วยทำจดหมายเชิญ บัญชีธนาคาร ใบเงินเดือน และพาสปอต ทั้งหมดนี้คือเรา
เอาคลิปหนีบรวมกันไว้เป็นอีกชุดนึง จนท ก็ค้นกระจาย ไม่เรียงเหมือนที่เราทำไป แม่บอกว่า จนท ถามหา ใบอนุญาติ(เปอมิท) ของพ่อของลูกชายเรา ซึ่งมีพาสปอตแนบไปแล้ว ไม่ทราบว่าจะเอาเปอมิทไปทำอะไร ซึ่งเอกสารชุดนี้ เราเตรียมเหมือนกับครั้งแรกที่ขอ ซึ่งครั้งแรกก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับเอกสารชุดนี้ ไม่มี จนท คนใดที่ VFS ถามเอาอะไรเพิ่มเติม
พอถึงเวลาจ่ายเงิน เราไม่เข้าใจ ว่าเค้าคิดกันยังไง ซึ่งเราได้จ่ายค่าจองคิวแบบบริการพิเศษไปแล้ว จำนวนเงิน 2200 บาท
เมื่อวันที่ 17 เมษา แล้วแม่ก็ถาม จนท ว่า ค่าแปลเอกสารเท่าไหร่ จนท บอกว่า ไม่คิด แปลให้ฟรี มันมีด้วยเหรอ? ถ้าแปลให้ฟรีจริงก็ขอบพระคุณเป็นอย่างสูงค่ะ แต่ขนาดค่าถ่ายสำเนาเอกสารยังไล่ให้แม่ไปถ่ายสำเนาที่อื่นทั้งที่ระบุไว้ว่ารวมไปแล้วใน "บริการแบบพิเศษ"
ซึ่งในบิลเขียนว่า ค่าขอวีซ่าก็จำนวน 2200 ค่าบริการแบบพิเศษ 2200 ค่าบริการ
668 รวมเป็น 2868 แต่แม่บอกว่าจ่ายไปห้าพันกว่าบาทนะ แม่โทรมาบอกเราก็งง ยังคิดว่า อาจจะคิดผิดหรือเปล่า แล้วสักพัก จนท
ก็โทรกลับมาบอกว่า จะคืนเงินให้ 2200 บาท โดยจะโอนเข้า บัญชีของน้องชายเรา เราก็บอกว่าแน่ใจนะว่า จนท แปลเอกสารทั้ง 5 แผ่น
แล้วใส่เข้าไปพร้อมกับเอกสารอื่นๆ น้องชายก็โทรกลับไปถาม จนท เพื่อความแน่ใจอีกที ซึ่งทางนั้นก็ยืนยันว่า แปลให้แล้ว ใส่ให้แล้ว
คำถามที่ยังไม่ได้รับคำตอบ คือ
1. จนท มีสิทธิ์อะไรที่มาคัดเอกสารที่เราได้เตรียมไปออก
บอกว่าไม่จำเป็น รู้ได้ยังไงว่าไม่จำเป็น ผู้ยื่นแต่ละคน เอกสารประกอบก็ต่างกัน
ถ้ามาคัดออก แล้ววีซ่าไม่ผ่าน จนท จะรับผิดชอบยังไงคะ
2. จนท ไม่มีความสามารถ ไม่มีความเป็นมืออาซีพ ทั้งๆที่เป็นงานที่ทำทุกวัน
ขนาดแพ็คเกจบริการต่างๆ มีแค่ไม่กี่อย่าง ยังไม่สามารถจดจำรายละเอียดได้ว่าต้องทำอะไรบ้าง
ต้องมีอะไรมาบริการบ้าง ถ้าด้อยความสามารถในการจดจำขนาดนั้น คำแนะนำคือ พิมพ์แพ็คเกจบริการของทาง VFS ที่มี ”ขาย” ให้ลูกค้า
แล้วแปะไว้ที่ผนังห้องทำงานค่ะ
3. แล้วเอกสารที่แม่ได้แจ้งไปว่าให้แปลเป็นภาษาอังกฤษทั้ง 5 แผ่น
นั้นได้แปลจริงหรือไม่ ฟรีจริงหรือเปล่า? เป็นไปได้ไหมที่ จนท รู้ว่า
แพ็คเกจที่เราเลือกนั้นมีบริการถ่ายสำเนาด้วย แต่ไม่ยอมถ่ายให้ เพราะเอกสารไม่ไ่ด้แปล?
เราส่งคอมเพลนเข้าบริษัทวันที่ 8 พค ยังไม่ได้รับการตอบกลับ เราส่งเข้าอีเมล์บริษัท VFS (ปรกติจะมี
จนท ตอบกลับรวดเร็วมากสำหรับคำถามอื่นๆ) ก็ไม่มีใครตอบกลับ ส่วนวีซ่าจะผ่านหรือไม่ ยังไม่ทราบคำตอบ
เพราะได้ยื่นขอไปวันอังคารที่ 7 พค เช็คสถานะทางเว็ปไซต์ของ VFS
แจ้งไว้ว่าได้ส่งเอกสารคืนมาทางไปรษณีย์ EMS วันศุกร์ที่ 10 พค คงต้องรอลุ้นวันจันทร์ ที่ 13 พค ค่ะ
ตอนนี้กำลังจะส่งเอกสารทั้งหมดที่เราได้เตรียมเอง เข้าไปที่สถานฑูตสวิส จะทำคอมเพลนเข้าไปที่สถานฑูตด้วย ซึ่งไม่รู้จะเป็นยังไง มีคำตอบไหม อันนี้ไม่ลองดูก็ไม่รู้
ปล. แม่เราเคยมาแล้วหนึ่งครั้ง โดยผู้เชิญคือ แม่สามีเก่าของเราเป็นชาวสวิส ได้ 90 วัน แต่มีเหตุที่ต้องให้อยู่ต่อเพราะเราไม่สามารถจะหาคนเลี้ยงลูกเราได้
เราลางานได้แค่ 4 เดือนก็ต้องกลับไปทำงาน เราให้ทนายยื่นขออนุญาตกับทางการสวิสที่เจนีวา โดยบอกเหตุผลไปว่า เพราะอะไรถึงต้องยื่นขอ ทำทุกอย่างถูกต้องตามดฏหมาย เราซื้อประกันให้แม่ที่สวิส (เดือนละหมื่นกว่าบาท ถูกที่สุดแล้วราคานี้) ไม่ได้แอบอยู่ ทนายก็ยื่นเรื่องไปแล้วก็รอคำตอบ จนทางการส่งจดหมายตอบมาว่า ไม่สามารถจะออกใบอนุญาตตามที่ขอได้ โดยแม่เราต้องกลับไทยแล้วไปยื่นเรื่องขอมาเที่ยวใหม่ แล้วทางสวิสก็ออกวีซ่าให้แม่จะได้ไม่มีปัญหาเวลาเดินทางออกจากสวิส
ส่วนเราและลูกชายเป็นพลเมืองสวิสแล้ว ครั้งนี้เราเป็นผู้ประกันให้แม่เอง
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น