(สุขภาพจิต) พันธนาการของสังคมที่ทำให้เราไม่สามารถมีความสุขได้ ทำยังไงดี?

สวัสดีครับ กระทู้นี้เป็นกระทู้บ่นเลยจริงๆ คือไม่ได้มีสาระอะไรแต่รู้สึกอัดอั้นไม่รู้จะไปพูดกับใคร
ผมอายุ 27 ปี เกิดในครอบครัวชนชั้นกลางเชื้อสายจีน จิตตกบ้างบางเวลา กินยาแก้ย้ำคิดย้ำทำ+กังวลเป็นประจำทุกวัน
คือหากมองจากมุมมองทั่วไป ผมจบการศึกษาป.ตรีในมหาลัยมีชื่อเสียง จบป.โทในต่างประเทศ (โดยทุนของประเทศนั้น) และตอนนี้มีงานที่มั่นคงทำ
แต่ผมกลับรู้สึกไม่ถูกเติมเต็มเลย
พอมาครุ่นคิดถึงสาเหตุ เลยเห็นจุดหนึ่งที่น่าจะเป็นปัญหา ชีวิตผมตั้งแต่เด็กถูก set เป้าหมายไว้ตลอด แม้ที่บ้านจะบอกเสมอว่า ไม่ต้องเรียนให้ได้ดี แค่ทำเต็มที่ก็พอ แต่ทุกครั้งที่การเรียนตก ผมมักถูกเปรียบเทียบกับผลการเรียนในเทอมก่อนๆ (ซึ่งผมคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติที่เด็กจะเรียนแย่ลงบ้างเมื่อเนื้อหายากขึ้น) เมื่อการเรียนแย่ จะถูกถามว่า ทำเต็มที่รึยัง การที่กลับบ้านมาไม่อ่านหนังสือ นี่คือการทำเต็มที่ของXหรือ? ผมได้เครื่องPlayStation 1 มาตอนป.3 ก่อนที่การเรียนผมจะตกลง จากนั้นก็ถูกจำกัดเวลาเล่นวันละ 1 ชั่วโมง ให้เลือกเอาว่าจะเล่นเกมหรือดูทีวี เมื่อครบ 1 ชั่วโมงตู้ทีวีจะถูกล็อค และผมต้องไปทำการบ้านหรืออ่านหนังสือเพิ่มเติม
แน่นอนว่าจนปัจจุบันพ่อแม่ของผมยังไม่เคยยอมรับว่าเลี้ยงลูกแบบเข้มงวด และพูดเสมอว่าเลี้ยงลูกแบบสบายๆ อยากทำอะไรก็ทำ อยากเรียนอะไรก็เรียน เวลามีคนมาชม เค้าก็บอกว่า ผมกับน้องชาย ทำด้วยตัวเอง ชอบเอง ไม่เคยมีใครบังคับ
ผมเติบโตด้วยไลฟ์สไตล์ที่อยู่กึ่งกลางระหว่างยุค 70 กับยุค 90 อีกนัยหนึ่งคือพ่อของผมพยายามจะเลี้ยงลูกให้ได้ลิ้มรสความลำบากของชีวิตวัยเด็กเขาบ้าง วัยเด็กเขาต้องทำงานเพื่อช่วยครอบครัว แล้วพูดเสมอว่า ชีวิตผมสบายมากแล้วถ้าเทียบกับเขา ลำบากให้ได้เสี้ยวหนึ่งของเขาก็พอแล้ว และมองว่าผมเป็นเด็กที่ชีวิตสบายมากๆ (สปอยล์) แล้ว ในช่วงม.ต้น ผมไม่ได้มีงานอดิเรกแบบเด็กทั่วไป ไม่ได้ซื้อการ์ดเกมมาเล่นกับเพื่อน ไม่ได้เล่น ragnarok ทำให้ในช่วงนั้น ผมเหมือนจะหลุดวงโคจรเพื่อนๆออกไป กลายเป็นเด็กที่ไม่มีเพื่อนเพราะคุยกับเขาไม่รู้เรื่อง มีแค่งานอดิเรกคือวาดการ์ตูน และ อ่านโดเรมอน ซึ่งมันไม่สมวัยกับเด็กม.ต้นในตอนนั้น
ผมเริ่มมีอาการเครียดในช่วงม.ต้นนี่แหละ
เพราะการเรียนก็ตก ผมเป็นคนไม่เก่งด้านวิทย์-คณิต แบบที่เรียกว่าแย่มาก แม้ว่าเราจะพยายามอ่านหนังสือขนาดไหน คะแนนก็ออกมาเท่ากับพวกคนที่ไม่ตั้งใจเรียน พวกโดดเรียน แล้วโดนจัดให้อยู่กลุ่มเดียวกัน ไปสอบซ่อมกับพวกนี้ ซึ่งมันลดทอนคุณค่าของผมมาก เพราะผมจริงจังกับการเรียนมาโดยตลอด
ช่วงม.2ก็เป็นครั้งแรกที่ต้องกินยา ผมจำไม่ได้ว่าชื่อยาอะไร แต่มันเกิดจากที่ครูวิทยาศาสตร์ของผมบอกว่า โลกจะแตกแล้ว อีกไม่กี่ปี พวกเธอจะตายกันหมด
ผมกลับไปบอกแม่ว่า ดีใจที่โลกจะแตก และจะได้ตายกันหมด จะได้จบๆไปซักที จนแม่ต้องพาไปหาหมอจิตแพทย์ข้างรร.เซนต์คาเบรียล
ผมอาการดีขึ้นช่วงม.3 เพราะตอนนั้นมีแฟน ซึ่งเรียกได้ว่าตอนนั้นก็สไตล์งี่เง่ากันทั้งคู่ แต่มันก็ดีกับผมในแง่ที่ว่ามีคนเห็นคุณค่าของเรา เรามีตัวตน เรามาโรงเรียนแล้วมีคนรอเรา จากเดิมที่มาโรงเรียนแล้วเพื่อนบางคนก็จำไม่ได้ว่าผมเรียนห้องเดียวกัน ลืมชื่อ ไม่รู้จักผม
ชีวิตก็ดีขึ้นในช่วงที่ผมเรียนสายศิลป์ฝรั่งเศส เพราะผมเป็นคนมีพรสวรรค์ด้านภาษามาก เลยเป็นที่รักของอาจารย์
ผมอยากไปแลกเปลี่ยนที่อเมริกา ซึ่งผมคิดว่ามันเป็นสิ่งที่จำเป็นในการถีบตัวเองขึ้นมา ก็เป็นโชคดีของผมที่พ่อแม่ส่งให้ 
ผมคิดว่าผมไปอยู่ที่อเมริกาคงจะเหงาและลำบาก และร้องไห้หลายครั้งด้วยความเหงาและโดดเดี่ยว เพราะไม่รู้จักใครเลย แต่ผมคิดว่า ถือซะว่าเราติดคุก แต่เราต้องกอบโกยภาษาให้ได้ ในตอนนั้นผมภาษาดีจริง แต่การพูดยังไม่ดี เพราะเรียนในโรงเรียนรัฐบาลมาตลอด การไปอเมริกาก็เป็นเหมือนการก้าวกระโดดครั้งใหญ่ของผม
ด้วยชีวิตที่มีการ set เป้าหมายไว้ตลอด เมื่อเป้าหมายการไปอเมริกาเป็นจริงแล้ว ผมก็ทะเยอทะยานในการเข้ามหาลัยต่อ
ที่บ้านต่อต้านการเรียนอักษรเพราะบอกว่าถ้าผู้ชายเรียนจะเหมือนตุ๊ด ผมเลยเลือกในสาขาที่พ่อแม่ต้องการ พ่อแม่ผมไม่ได้บังคับ แต่โน้มน้าวด้วยคำหวานว่า ถ้าผมเรียนคณะนี้ อนาคตผมจะไกล จะรวย และเป็นที่ยอมรับในสังคมมากกว่าการเรียนอักษร 
ตอนนั้นยังมีคำพูดที่ว่า ถ้าXสอบไม่ได้ แม่ไม่มีเงินส่งเรียนม.เอกชนนะ ถ้าเอ็นท์ไม่ติดก็ต้องไปเรียนมหาลัยเปิดเลยนะ
ซึ่งแม้มันจะเป็นการส่งเสริมให้ผมตั้งใจมากขึ้น แต่มันเน้นย้ำว่า เป้าหมายของผมจำเป็นต้องสำเร็จ และถ้าไม่สำเร็จคือผมล้มเหลว
ผมเข้ามาเรียนคณะนี้โดยที่ไม่มีความสุขเท่าไร ช่วงปี1 ผมเครียดกับการเรียนจนอ้วก พอปี2ก็บอกกับตัวเองว่า เราต้องเรียนอย่างมีความสุข จากนั้น ผมก็F เรียงตัว ทำให้ผมจำเป็นต้องกลับมาอยู่ในสภาวะอ่านหนังสือจนอ้วกอีกครั้ง จนจบมาได้
และก็เป็นอีกครั้งที่เมื่อเป้าหมายสำเร็จแล้ว ผมจะ set เป้าหมายต่อไปทันที
เป้าหมายของผมคือการเรียนต่อโทในต่างประเทศ แต่ผมรู้ว่าคราวนี้พ่อแม่ไม่มีเงินส่งเพราะค่าเล่าเรียนแพงกว่าการส่งไปแลกเปลี่ยนถึง 4 เท่า
ผมทำงานที่ไม่ได้ชอบจนได้เงินมาก้อนนึง และยื่นขอทุนไปเรียนต่างประเทศ
พ่อแม่ดีใจมาก และบอกว่า การได้ทุนมันน่าภูมิใจกว่าการออกเงินไปเรียนเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมฟังแล้วหงุดหงิด มันฟังดูเหมือน loser มาก เพราะต่อให้ออกเงินเองเราก็ไม่มีปัญญาอยู่ดี
ผมไปเรียนต่างประเทศ2ปี จนได้ภาษาที่3กลับมาระหว่างการเรียน 2 ปีนั้น 
และเพิ่งได้งานจากบริษัทต่างชาติบริษัทนึง ซึ่งให้ผลตอบแทนโอเคมากๆ

และนี่ก็มาถึงจุดที่ผมถึงทางตัน
ผมไม่มีเป้าหมายให้ set ต่อ
ผมไม่ต้องการเรียนป.เอกเพราะรู้ว่ารับสภาพความเครียดไม่ไหว
ทำให้ตอนนี้เกิดคำถามมากมายว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมา เรากำลังไล่ตามอะไร เพื่ออะไร และเรามีความสุขไหม
ผมอยากสอบเป็นข้าราชการกระทรวงหนึ่ง ซึ่งให้ผลตอบแทนน้อยกว่าเอกชน (แน่นอน) ผมไม่รู้ว่าชอบตัวงานรึเปล่า
แต่ผมโหยหาการเป็นที่ยอมรับ อยากให้พ่อแม่ภูมิใจ แม้ว่าถ้าสอบได้แล้วเงินเดือนจะน้อยกว่าทำเอกชน
อยากให้คนมองผมว่าผมเป็นคนเก่ง มีตัวตน มียศ มีตำแหน่ง
ทำให้ผมมองเห็นตัวเองว่า นี่ผมก็เหมือนหนูถีบจักรที่วิ่งไปข้างหน้าเรื่อยๆ แต่ก็ไม่ได้มีความสุขมากขึ้น
ความสวยงามภายนอก เช่น วุฒิการศึกษา การทำงาน ของผมมันดูมั่นคง และโอเค
แต่สำหรับจิตใจภายใน ผมสอบตก

ผมยังคงเป็นคนที่ไม่สามารถตัดสินใจอะไรได้แบบเด็กๆ ยังโดนออกคำสั่งที่บ้าน สั่งห้ามกินโน่น กินนี่ สั่งให้ทำตาม
พอเราไม่ทำ แล้วหงุดหงิด ต่อต้าน มันก็เป็นผลเสียต่อสุขภาพจิตผมเอง
ผมตั้งมาตรฐานแฟนเอาไว้สูง จนหาไม่ได้ ผู้หญิงที่ผมโอเคเค้า เค้าก็ไม่โอเคผม ทำให้ถูกปฏิเสธมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ส่วนนี้มันตอกย้ำมาตลอดว่า ที่ผมพยายามสร้างตัวเองมาตลอดมันไม่ได้มีความหมาย ไม่เห็นจะมีใครเห็นคุณค่าเลย
แต่จะให้ผมลดมาตรฐาน ผมก็ทำไม่ได้อีก เพราะชีวิตตลอดมาคือการ set เป้าหมาย และทำให้ได้ มาตลอด
ทำให้ชีวิตตอนนี้ผมเหมือนจะดูดีแต่มันถึงทางตันในด้านจิตใจ
ผมไม่อยากให้รู้สึกว่าผมโหยหาการมีแฟนนะ
ผมไม่ได้โหยหา sex หรือ อยากมีแฟนไปอวดใคร
แค่อยากมีคนที่เราสามารถแชร์ความรู้สึกได้ เพราะโลกปัจจุบันมันโดดเดี่ยว
ซึ่งด้วยมาตรฐานของตัวผมเองที่ตั้งไว้สูงเกินตัว มันทำให้ผมไม่สามารถทำให้ความปรารถนานี้เป็นจริงได้
และก็ไม่มีใครสามารถช่วยผมได้ด้วย นอกจากตัวผมเอง 
ทุกวันนี้ก็ยังโดนผู้หญิงเมินอยู่ตลอด คือก็ทนได้ แต่บางครั้ง มันก็รู้สึกไร้ค่า จนต้องมาตั้งกระทู้

เหมือนชีวิตที่เราพยายามสร้างตัวเองให้ดูดีมาโดยตลอด มันกลับมาทำร้ายตัวเอง
ผมตั้งมาตรฐานและเป้าหมายของตัวเองไว้สูงเสมอ คือมันก็มีข้อดีในการทำให้ผมถีบตัวเอง แต่พอทำไม่ได้มันก็จะเป็นดาบที่กลับมาแทงตัวเอง ให้จมอยู่ในความล้มเหลวและไร้ค่านี้แหละ

มองย้อนกลับไป ผมอยากเปลี่ยนให้ตัวเองมีสุขภาพจิตที่ดีมากกว่านี้ อยากใช้เวลาไปกับการเล่น การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อน เพราะการเรียนมันไม่ใช่ทุกอย่าง ถ้าการเรียนดีเป็นคำตอบ วันนี้ผมจะรู้สึกว่างเปล่าแบบนี้หรอ บางทีก็อิจฉาเด็กแว้นเหมือนกัน ที่มีลูก3-4คนทั้งที่ยังอยู่ห้องเช่า คิดอะไรแบบชั้นเดียว ไม่มีการวางแผนอะไรเลย ซึ่งเค้าก็มีความสุขของเค้ากับการทำงาน กินเหล้า สูบบุหรี่สักตัว แล้วก็วนเวียนชีวิตไปแบบนั้น เป็นชีวิตที่เรียบง่าย ไม่ต้องคิดหลายตลบ
ขณะที่เรา เรียนมาก มาตรฐานก็สูง หาแฟนยังไม่ได้เลย หาได้ก็ไม่อยากมีลูก เพราะต้องวางแผนครอบครัวให้ดี ให้ลูกโตมามีสังคมที่ดีก่อน 
ผมอิจฉาเพื่อนหลายๆคนนะ ถึงแม้เค้าจะไม่ใช่คนที่เรียนดี แต่ก็มีงาน มีครอบครัว อยู่แบบกลางๆไม่หวือหวา แต่มีความสุขกับการได้กินหมูกระทะ
ซึ่งมาดูที่ผม คำนิยามความสุข มันตอบได้ยากมาก ว่า อะไรคือความสุขของผม คงใช้เวลาคิดนาน ถ้าเป็นคนระดับใช้แรงงาน เค้าคงบอกว่า ได้กินเหล้ากับเพื่อน กลับบ้านช่วงสงกรานต์ แต่สำหรับผมมันยากมาก
ถ้าให้ตอบตอนนี้ คงจะเป็น "การเป็นที่ยอมรับในสังคมและจากคนที่เราอยากให้เขายอมรับเรา"
ซึ่งมันเป็นโจทย์ที่ใหญ่มาก และอาจไม่มีทางเป็นไปได้เลยก็ได้

ขอบคุณครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่