เรียนปรึกษาทุกท่านที่พอมีความรู้ความเข้าใจเรื่องการเปิดร้านหนังสือ ผู้มีประสบการณ์ด้านการทำร้าน หรือถ้าได้ความคิดเห็นของนักอ่านที่เป็นลูกค้าร้านหนังสือก็จักยินดีอย่างมากครับ
คำถาม: ผมอยากเปิดร้านหนังสือขนาดเล็กคู่กับร้านกาแฟดริปในพื้นที่บ้านเล็กๆที่ทำเป็นโฮมสเตย์
1. ขอความรู้เรื่องการสั่งหนังสือ แหล่งที่สั่งและเงื่อนไขการทั่ง เช่น เครดิต ส่วนลด การคืน เปลี่ยน การสั่งเล่มตัวอย่าง?
2. ขอไอเดียร้านขนาดเล็ก ว่าควรมีหนังสือขนาดไหน กี่ปก กี่เล่ม ผมมองว่าสัก 1000กว่าเล่มก็เต็มร้านแล้วครับ?
3. โมเดลการขาย นอกจากหน้าร้านแล้ว การขายออนไลน์ หรือทำรีวิวหนังสือ น่าสนใจมั้ยครับ?
4. สนพ.ไหนมีโมเดลวางขายแบบconsignment หรือทำdropship หนังสือมั่งมั้ยครับ?
5. ผมอยากขายหนังสือมือสองด้วย มีข้อดีข้อเสียอะไรบ้างมั้ยครับ?
สถานที่ : ในตัวเมืองน่าน
เหตุแห่งความคิดริเริ่มธุรกิจ:
(ใครว่างก็อ่านได้ครับ ไม่ว่างก็ผ่านเลยครับ ไม่ได้มีสาระอะไรมาก)
ผมเป็นบาริสต้าในร้านกาแฟเล็กๆของตัวเองอยู่ที่กทม. แถวเขตสะพานสูง เปิดมาได้ประมาณ 2ปี ชื่อร้าน The Lazy Max Cafe
เสิร์ฟกาแฟทั้ง espresso bar และ slow bar เน้นเป็นกาแฟดริป และมี cold brew เสิร์ฟบ้าง
เนื่องจากผมกับแฟน(ซึ่งแฟนเป็นคนน่าน) อยากจะกลับไปใช้ชีวิตจังหวัดน่าน เนื่องจากเรามองว่าเราทั้งสองคนไม่ได้ทำงานประจำ (เลิกทำงานประจำกันมานานแล้วครับ) จึงมีอิสระ ไม่ติดว่าต้องอยู่กทม. และไม่ได้ตั้งเป้าหมายการหารายได้ที่มากมาย เพราะตั้งแต่เลิกทำงานประจำเราเริ่มปรับตัวกับการอยู่บ้านดูแลร้านกิจการเล็กๆและไม่ค่อยมีรายจ่ายฟุ่มเฟือยใดๆ ประกอบกับอยู่กันสองคนเลยควบคุมรายจ่ายได้ดีพอสมควร
ในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา(พ.ศ.2561) ผมอยากลองแหย่ขาไปมีพันธะสัมพันธ์กับน่านให้มากขึ้น (นอกเหนือจากการมีเมียเป็นคนน่าน) เราเลยไปเช่าบ้านไม้หลังเล็กๆครึ่งปูนครึ่งไม้ ไว้ในตัวเมืองน่าน ไม่ไกลจากวัดภูมินทร์ฯ เพื่อจะปรับปรุงเป็นบ้านพักโฮมสเตย์ ซึ่งโดยฝากให้เพื่อนที่อยู่ที่น่านเป็นธุระดูแลให้เพราะเราทั้งคู่ยังอยู่กทม.
ผมนั่งรถทัวร์ขึ้นไปทำสัญญาเช่าบ้าน และดูบ้านหลังจริง(ตอนเห็นเพียงรูปภาพในเว็บและรูปที่ส่งมาให้ดูทางไลน์) ซึ่งเมื่อครั้งที่ได้เห็นบ้านจริง ยอมรับว่าอึ้งไปนิดๆ 5555 โทรมแท้
บ้านหลังนี้เป็นบ้านครึ่งล่างเป็นปูน ครึ่งบนเป็นไม้ โดยมีบันไดไม้มุ่งขึ้นชั้นสองอยู่ใต้ชายคาหน้าบ้าน เมื่อเดินขึ้นชั้นสองจะพบห้องนอนห้องแรก ซึ่งอยู่หน้าบ้าน และมีอีกหนึ่งห้องนอนอยู่ด้านใน ติดกับบริเวณห้องนั่งเล่น
เปิดประตูผลักออกไปเป็นห้องทานอาหารห้องน้ำ มีบันไดเดินลงชั้นล่าง และสุดด้านหลังทะลุออกไปเป็นระเบียงหลังบ้าน
ด้านล่างที่เป็นปูนมีห้องน้ำหนึ่งห้อง และแบ่งเป็นห้องนอนเล็กๆ จำนวน2ห้อง สำรวจจนทั่วแล้ว ก็แอบตะลึงไปสักนิด เพราะดูทรุดโทรม เลอะเทอะ มีตะปูตอกเกะกะเต็มฝาบ้านไปหมด สอบถามเจ้าของบ้านได้ความว่าบ้านหลังนี้เคยให้เด็กนักเรียนเช่า และพาเพื่อนมานอนค้างอ้างแรมสังสรรค์กันตลอด แถมตอกตะปูแขวนเสื้อผ้าและสิ่งของ จนบ้านทรุดโทรมลงในเวลาไม่นานซึ่งพอหมดสัญญาจึงตัดใจไม่ต่อสัญญา
บ้านหลังน้อยในชุมชนที่เป็นกลิ่นไอชาวบ้านเมืองน่านหลังนี้ลอยละลิ่วปลิวลมมาปะทะโสตชาวกทม.ได้อย่างไรไม่ทราบ รู้แต่ว่าผมยืนอยู่ที่นี่พร้อมสัญญาเช่ารายละเอียดครบพร้อมสำเนาที่ภรรยาตระเตรียมใส่ซองยัดใส่กระเป๋าก่อนส่งผมขึ้นรถทัวร์
บ้านอยู่ตรงหน้าพร้อมพี่ตู่เจ้าของบ้านที่น่ารักมีมิตรจิตมิตรใจเป็นอย่างดี
บ้านหลังนี้ไม่ใช่ปัญหาของผมเพราะถึงแม้จะโทรมเก่าขนาดไหน แต่โครงสร้างยังดีแข็งแรง และเมื่อผมเดินสำรวจในบ้านโดยลำพังก็ รู้สึกสบายใจ เป็นมิตร และสมองปลอดโปร่งมองเห็นขั้นตอนการจัดแจงmake overในหัวอย่างชัดเจน
ปัญหาอย่างเดียวคือความอ่อนแรงของชายวัย40 ที่ห่างหายการออกกำลังกายมาเป็นทศวรรษ จะจัดการให้บ้านนี้น่าอยู่ได้ทันปีใหม่มั้ย? มีเวลาไม่เกิน สองสัปดาห์
แต่นั่นมันปัญหาของผมนี่นา ผมต้องจัดการได้สิ
บ้านหลังนี้เหมือนชายชราหน้าตาใจดีที่มีรอยยิ้มประทับบนใบหน้าที่แห้งกร้านหยัดอยู่บนโลกมาจนไม่มีใครทำลายความจัดเจนในเนื้อแท้ เป็นมิตรภาพแรกพบหล่ะมั้ง
"ครบจ้าววว" พี่ตู่นับเงินทำสัญญาพร้อมจรดปากกาเซ็นต์ชื่อบนสัญญา
ผมแยกเอกสารให้เจ้าของบ้านเรียบร้อย พลางขอบคุณและขอกุญแจบ้านจากแก
"บ่ได้ใส่กุญแจ เปิดไปได้เลยเจ้า" โอเค ชุมชนแถวนั้นน่าจะปลอดภัยดี
อีกสัปดาห์ ผมขับรถกระบะที่ท้ายแน่นไปด้วยอุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือต่างๆที่พอจะขนมาได้ ค้อน สว่าน เลื่อยมือ เลื่อยตัดองศา เราท์เตอร์ ปั๊มลม ตู้เชื่อม สุดจะบรรยาย
ผมน่าจะเล่ายาวไปละ
1 สัปดาห์ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ผมพักบ้านเพื่อนและเข้าไปปรับปรุงบ้านทุกเช้า มีพ่อผมและพ่อตาเป็นทีมงาน ช่วยกันไปในทุกๆงานที่เราได้ออกแบบและซ่อมแซมของเดิมให้คงอยู่มากสุด
สุดท้ายบ้านหลังนี้ถูกเพิ่มแอร์เข้าในส่วนห้องนอนทั้งสอง ส่วนอื่นถูกจัดแจงให้พักได้อย่างสะดวกสะอาด พร้อมอุปกรณ์อำนวยความสะดวก วิทยุ ตู้เย็น ไมโครเวฟ เครื่องทำน้ำอุ่น ผมตัดสินใจไม่ใส่ทีวีเข้าไปในโฮมสเตย์แห่งนี้ เพราะเราชอบบ้านนี้เวลาที่เงียบเปิดเพียงเพลงเบาๆจากทรานซิสเตอร์เครื่องเล็ก เหมาะแก่การอ่านหนังสือหรือนั่งคิดนั่งคุยกันอย่างยิ่ง
เล่ามายืดยาวถึงตรงนี้ เพื่อที่จะมาสรุปที่ว่าชั้นล่างของบ้านหลังนี้ ยังไม่ได้ปรับปรุงเพื่อทำอะไร เป็นเพียงที่จอดจักรยานญี่ปุ่นสองคันให้ผู้เข้าพักปั่นชมเมืองน่าน
หลังจากผมกลับมากรุงเทพตั้งแต่หลังปีใหม่ เรายังไม่มีโอกาสกลับไปน่านอีก แต่ใจมันก็รู้สึกโหยหาอยากไปอยู่ให้ได้ จนวันนึงผมก็รู้สึกว่าเราอยากเปิดร้านหนังสือไอ้ตรงห้องด้านล่างที่ว่างอยู่นั่นหล่ะ
มันคงจะทำให้เราไปอยู่ตรงนั้น ตรงเมืองที่เราอยากไปอยู่จริงๆ ไปอยู่มันตอนนี้เลย ดีกว่าไปอยู่ในอีก5ปี หรืออีกสิบปี
ผมเริ่มจัดแจงให้ร้านที่กรุงเทพเดินไปได้ด้วยตัวเค้าเอง และตอนนี้เป็นเวลาที่ผมเริ่มคิดจริงจังกับการเปิดร้านคาเฟ่ slow bar + book shop ไซส์ Nano ก็มาถึง
ขอบคุณที่อ่านและขอบคุณสำหรับคำตอบครับ
สอบถามผู้รู้เรื่องการเปิดร้านหนังสืออิสระ
คำถาม: ผมอยากเปิดร้านหนังสือขนาดเล็กคู่กับร้านกาแฟดริปในพื้นที่บ้านเล็กๆที่ทำเป็นโฮมสเตย์
1. ขอความรู้เรื่องการสั่งหนังสือ แหล่งที่สั่งและเงื่อนไขการทั่ง เช่น เครดิต ส่วนลด การคืน เปลี่ยน การสั่งเล่มตัวอย่าง?
2. ขอไอเดียร้านขนาดเล็ก ว่าควรมีหนังสือขนาดไหน กี่ปก กี่เล่ม ผมมองว่าสัก 1000กว่าเล่มก็เต็มร้านแล้วครับ?
3. โมเดลการขาย นอกจากหน้าร้านแล้ว การขายออนไลน์ หรือทำรีวิวหนังสือ น่าสนใจมั้ยครับ?
4. สนพ.ไหนมีโมเดลวางขายแบบconsignment หรือทำdropship หนังสือมั่งมั้ยครับ?
5. ผมอยากขายหนังสือมือสองด้วย มีข้อดีข้อเสียอะไรบ้างมั้ยครับ?
สถานที่ : ในตัวเมืองน่าน
เหตุแห่งความคิดริเริ่มธุรกิจ:
(ใครว่างก็อ่านได้ครับ ไม่ว่างก็ผ่านเลยครับ ไม่ได้มีสาระอะไรมาก)
ผมเป็นบาริสต้าในร้านกาแฟเล็กๆของตัวเองอยู่ที่กทม. แถวเขตสะพานสูง เปิดมาได้ประมาณ 2ปี ชื่อร้าน The Lazy Max Cafe
เสิร์ฟกาแฟทั้ง espresso bar และ slow bar เน้นเป็นกาแฟดริป และมี cold brew เสิร์ฟบ้าง
เนื่องจากผมกับแฟน(ซึ่งแฟนเป็นคนน่าน) อยากจะกลับไปใช้ชีวิตจังหวัดน่าน เนื่องจากเรามองว่าเราทั้งสองคนไม่ได้ทำงานประจำ (เลิกทำงานประจำกันมานานแล้วครับ) จึงมีอิสระ ไม่ติดว่าต้องอยู่กทม. และไม่ได้ตั้งเป้าหมายการหารายได้ที่มากมาย เพราะตั้งแต่เลิกทำงานประจำเราเริ่มปรับตัวกับการอยู่บ้านดูแลร้านกิจการเล็กๆและไม่ค่อยมีรายจ่ายฟุ่มเฟือยใดๆ ประกอบกับอยู่กันสองคนเลยควบคุมรายจ่ายได้ดีพอสมควร
ในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา(พ.ศ.2561) ผมอยากลองแหย่ขาไปมีพันธะสัมพันธ์กับน่านให้มากขึ้น (นอกเหนือจากการมีเมียเป็นคนน่าน) เราเลยไปเช่าบ้านไม้หลังเล็กๆครึ่งปูนครึ่งไม้ ไว้ในตัวเมืองน่าน ไม่ไกลจากวัดภูมินทร์ฯ เพื่อจะปรับปรุงเป็นบ้านพักโฮมสเตย์ ซึ่งโดยฝากให้เพื่อนที่อยู่ที่น่านเป็นธุระดูแลให้เพราะเราทั้งคู่ยังอยู่กทม.
ผมนั่งรถทัวร์ขึ้นไปทำสัญญาเช่าบ้าน และดูบ้านหลังจริง(ตอนเห็นเพียงรูปภาพในเว็บและรูปที่ส่งมาให้ดูทางไลน์) ซึ่งเมื่อครั้งที่ได้เห็นบ้านจริง ยอมรับว่าอึ้งไปนิดๆ 5555 โทรมแท้
บ้านหลังนี้เป็นบ้านครึ่งล่างเป็นปูน ครึ่งบนเป็นไม้ โดยมีบันไดไม้มุ่งขึ้นชั้นสองอยู่ใต้ชายคาหน้าบ้าน เมื่อเดินขึ้นชั้นสองจะพบห้องนอนห้องแรก ซึ่งอยู่หน้าบ้าน และมีอีกหนึ่งห้องนอนอยู่ด้านใน ติดกับบริเวณห้องนั่งเล่น
เปิดประตูผลักออกไปเป็นห้องทานอาหารห้องน้ำ มีบันไดเดินลงชั้นล่าง และสุดด้านหลังทะลุออกไปเป็นระเบียงหลังบ้าน
ด้านล่างที่เป็นปูนมีห้องน้ำหนึ่งห้อง และแบ่งเป็นห้องนอนเล็กๆ จำนวน2ห้อง สำรวจจนทั่วแล้ว ก็แอบตะลึงไปสักนิด เพราะดูทรุดโทรม เลอะเทอะ มีตะปูตอกเกะกะเต็มฝาบ้านไปหมด สอบถามเจ้าของบ้านได้ความว่าบ้านหลังนี้เคยให้เด็กนักเรียนเช่า และพาเพื่อนมานอนค้างอ้างแรมสังสรรค์กันตลอด แถมตอกตะปูแขวนเสื้อผ้าและสิ่งของ จนบ้านทรุดโทรมลงในเวลาไม่นานซึ่งพอหมดสัญญาจึงตัดใจไม่ต่อสัญญา
บ้านหลังน้อยในชุมชนที่เป็นกลิ่นไอชาวบ้านเมืองน่านหลังนี้ลอยละลิ่วปลิวลมมาปะทะโสตชาวกทม.ได้อย่างไรไม่ทราบ รู้แต่ว่าผมยืนอยู่ที่นี่พร้อมสัญญาเช่ารายละเอียดครบพร้อมสำเนาที่ภรรยาตระเตรียมใส่ซองยัดใส่กระเป๋าก่อนส่งผมขึ้นรถทัวร์
บ้านอยู่ตรงหน้าพร้อมพี่ตู่เจ้าของบ้านที่น่ารักมีมิตรจิตมิตรใจเป็นอย่างดี
บ้านหลังนี้ไม่ใช่ปัญหาของผมเพราะถึงแม้จะโทรมเก่าขนาดไหน แต่โครงสร้างยังดีแข็งแรง และเมื่อผมเดินสำรวจในบ้านโดยลำพังก็ รู้สึกสบายใจ เป็นมิตร และสมองปลอดโปร่งมองเห็นขั้นตอนการจัดแจงmake overในหัวอย่างชัดเจน
ปัญหาอย่างเดียวคือความอ่อนแรงของชายวัย40 ที่ห่างหายการออกกำลังกายมาเป็นทศวรรษ จะจัดการให้บ้านนี้น่าอยู่ได้ทันปีใหม่มั้ย? มีเวลาไม่เกิน สองสัปดาห์
แต่นั่นมันปัญหาของผมนี่นา ผมต้องจัดการได้สิ
บ้านหลังนี้เหมือนชายชราหน้าตาใจดีที่มีรอยยิ้มประทับบนใบหน้าที่แห้งกร้านหยัดอยู่บนโลกมาจนไม่มีใครทำลายความจัดเจนในเนื้อแท้ เป็นมิตรภาพแรกพบหล่ะมั้ง
"ครบจ้าววว" พี่ตู่นับเงินทำสัญญาพร้อมจรดปากกาเซ็นต์ชื่อบนสัญญา
ผมแยกเอกสารให้เจ้าของบ้านเรียบร้อย พลางขอบคุณและขอกุญแจบ้านจากแก
"บ่ได้ใส่กุญแจ เปิดไปได้เลยเจ้า" โอเค ชุมชนแถวนั้นน่าจะปลอดภัยดี
อีกสัปดาห์ ผมขับรถกระบะที่ท้ายแน่นไปด้วยอุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือต่างๆที่พอจะขนมาได้ ค้อน สว่าน เลื่อยมือ เลื่อยตัดองศา เราท์เตอร์ ปั๊มลม ตู้เชื่อม สุดจะบรรยาย
ผมน่าจะเล่ายาวไปละ
1 สัปดาห์ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ผมพักบ้านเพื่อนและเข้าไปปรับปรุงบ้านทุกเช้า มีพ่อผมและพ่อตาเป็นทีมงาน ช่วยกันไปในทุกๆงานที่เราได้ออกแบบและซ่อมแซมของเดิมให้คงอยู่มากสุด
สุดท้ายบ้านหลังนี้ถูกเพิ่มแอร์เข้าในส่วนห้องนอนทั้งสอง ส่วนอื่นถูกจัดแจงให้พักได้อย่างสะดวกสะอาด พร้อมอุปกรณ์อำนวยความสะดวก วิทยุ ตู้เย็น ไมโครเวฟ เครื่องทำน้ำอุ่น ผมตัดสินใจไม่ใส่ทีวีเข้าไปในโฮมสเตย์แห่งนี้ เพราะเราชอบบ้านนี้เวลาที่เงียบเปิดเพียงเพลงเบาๆจากทรานซิสเตอร์เครื่องเล็ก เหมาะแก่การอ่านหนังสือหรือนั่งคิดนั่งคุยกันอย่างยิ่ง
เล่ามายืดยาวถึงตรงนี้ เพื่อที่จะมาสรุปที่ว่าชั้นล่างของบ้านหลังนี้ ยังไม่ได้ปรับปรุงเพื่อทำอะไร เป็นเพียงที่จอดจักรยานญี่ปุ่นสองคันให้ผู้เข้าพักปั่นชมเมืองน่าน
หลังจากผมกลับมากรุงเทพตั้งแต่หลังปีใหม่ เรายังไม่มีโอกาสกลับไปน่านอีก แต่ใจมันก็รู้สึกโหยหาอยากไปอยู่ให้ได้ จนวันนึงผมก็รู้สึกว่าเราอยากเปิดร้านหนังสือไอ้ตรงห้องด้านล่างที่ว่างอยู่นั่นหล่ะ
มันคงจะทำให้เราไปอยู่ตรงนั้น ตรงเมืองที่เราอยากไปอยู่จริงๆ ไปอยู่มันตอนนี้เลย ดีกว่าไปอยู่ในอีก5ปี หรืออีกสิบปี
ผมเริ่มจัดแจงให้ร้านที่กรุงเทพเดินไปได้ด้วยตัวเค้าเอง และตอนนี้เป็นเวลาที่ผมเริ่มคิดจริงจังกับการเปิดร้านคาเฟ่ slow bar + book shop ไซส์ Nano ก็มาถึง
ขอบคุณที่อ่านและขอบคุณสำหรับคำตอบครับ