'Always trusted, Always ahead'
เป็นประโยคหนึ่งที่ติดอยู่บนคีย์การ์ด ถ้ามองผ่านๆ มันก็แค่สโลแกนของโรงแรม แต่ถ้ามองลึกๆลงไป ตั้งสมาธินิดนึง สังเกตไปรอบๆ โรงแรม Hotel Nikko Bangkok จะพบว่าประโยคนี้ไม่ได้ตั้งมาเล่นๆเพราะเค้าจริงจังกับการให้บริการจริงๆ
โรงแรม Hotel Nikko Bangkok เป็นโรงแรมสัญชาติญี่ปุ่น ตั้งอยู่ใกล้กับ BTS ทองหล่อ การเดินทางสะดวกมาก เพราะถ้าไปลึกกว่านี้อีกนิดนึง รับรองได้เลยว่า ใช้เวลาเดินทางทางด้วยรถบนต์จากปากซอยเข้าไปในซอยลึก จะนานกว่าขับรถจากดอนเมืองไปนวนครแน่ๆ ยิ่งตอนหัวค่ำไม่ต้องพูดถึง รถติดจนดูหนังจบไปครึ่งเรื่อง โรงแรมแห่งนี้ยึดมั่นคำพูดที่ว่า 'Japanese hospitality of Omotenashi' คำว่า Ometenashi แปลเป็นภาษาอังกฤษว่า Service from the heart หรือการบริการจากใจ มันสำคัญยังไง??
มองภาพรวมโรงแรม Hotel Nikko Bangkok ก็เป็นอีกโรงแรมที่มีมาตารฐาน facilities เหมือนกับโรงแรมชั้นนำทั่วไป เรื่องของความสะอาด ห้องพัก (ที่ค่อนข้างใหญ่นะ สำหรับกรุงเทพ) ห้องอาหาร ห้องจัดเลี้ยงและสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ แต่สิ่งที่ต่างออกไปคือการบริการที่ถอดแบบจากวัฒนธรรมญี่ปุ่นมาเป๊ะๆ ผสานกับความเป็นไทยที่แฝงอยู่ในรายละเอียดต่างๆของโรงแรม
ยกตัวอย่างที่เฟียสเห็นนะคือ ไม่ว่าคุณจะเดินอยู่ส่วนไหนของโรงแรม เมื่อเจอพนักงานเขาจะหยุดให้คุณไปก่อนและโค้งเบาเพื่อแสดงความเคารพ ที่ประทับใจสุดๆคือ ระหว่างจะขึ้นลิฟต์ เมื่อพนักงานส่งแขกขึ้นห้องพัก เขาจะคำนับหน้าลิฟต์ 'จะกว่าประตูลิฟต์ของแขกจะปิดสนิท' จึงเก็บคำนับ
เอาล่ะ โรงแรมนี้ไม่ได้มีดีแค่การบริการ ที่เหลือเขาก็จัดเต็มทั้งคุณภาพและการเอาใจใส่ในรายละเอียดเล็กๆน้อย ไปดูรีวิวกันดีกว่าว่าทำไม เฟียสถึงยกให้โรงแรมนี้เป็น 'ที่สุดของการบริการ' ตั้งแต่เคยไปพักโรงแรมมา
สำหรับใครที่ต้องการติดตามเฟียสเพิ่ม จะได้ไม่พลาดคอนเท้นที่เราสรรหามานำเสนอ สามารถติดตามได้ที่
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://www.facebook.com/Fiat.Fit.For.Pai/
บริเวณ Lobby จะยกโถงสูงถึง 9 เมตร ทำให้แม้ว่าล็อบบี้จะไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากมาย แต่การนยกเพดานสูง ทำให้ดูมีเนื้อที่กว้าง โปร่ง อีกทั้งการตกแต่งที่ดึงลายมาจากลายกนกของไทย แล้วปรับเปลี่ยนให้เข้ากับยุคสมัย เป็นอีกหนึ่งรายละเอียดที่โรงแรมใส่ใจมากๆ
ตอนเช็คอิน เราก็ถือโอกาสสมัครบัตรสมาชิก One Harmony ซึ่งเป็นบัตรสมาชิกสำหรับในเครือโรงแรม Hotel Nikko ไม่ได้มีสิทธิประโยชน์แค่ลดค่าห้องนะ แต่พวกร้านอาหารของโรงแรมก็ลดเช่นกัน ไม่ต้องพักก็มาสมัครได้ค่ะ สามารถใช้เป็นส่วนดสำหรับบุฟเฟ่ต์ในโรงแรมได้เลย จะขอบอกว่า บุฟเฟ่ต์เด็ดมากกกก ต้องรอชม
เช็คอินเสร็จ เฟียสก็จะไปขึ้นลิฟต์ ที่เห็นผนังเป็นชั้นๆแบบนี้ เค้าไม่ได้ออกแบบเล่นๆนะจ๊ะ เพราะเขาบอกว่าได้แรงบันดาลใจมากจากโอริกามิหรือการพับกระดาษแบบญี่ปุ่นนั่นเอง
โถงลิฟต์สวยมากๆ จะบอกว่าเค้าแยกลิฟต์ชัดเจนค่ะ ลิฟต์ที่มาจากลานจอดรถจะสามารถขึ้นได้ถึงแค่ชั้น 6 ซึ่งเป็นที่ตั้งของร้านอาหาร The oasis ฉะนั้น ลิฟต์สำหรับแขกจะแยกไปอีกโซนนึง ซึ่งจะต้องใช้คีย์การ์ดขึ้นลงเท่านั้นและจะสามารถกดได้เฉพาะชั้นของตัวเอง
เราได้ห้องแบบ Premire plus เสียดายที่เฟียสเป็นคนถ่ายห้องนอนไม่สวยเอาซะเลย แต่ขอคอนเฟิมว่าห้องดี นอนสบาย ฟูกดูดวิญญาณมาก ห้องจะถุกแบ่งออกเป็นสี่ส่วนคือ ห้องน้ำ ห้องส้วม ห้องนอน และ ห้องแขวนเสื้อ เรามาเริ่มจากห้องน้ำกันก่อน
ห้องน้ำแบ่งออกเป็น โซนเปียกและแห้ง โซนแห้งจะมีอ่างล้างหน้า กระจกบานใหญ่มาก
ที่เลิฟมากคือ เค้ามีให้เลือกทั้งแบบฝักบัวและอ่างแยกออกจากกัน ฝักบัวมีทั้งแบบธรรมดาและ Rain Shower จริงๆเราชอบฝักบัวแบบนี้มากเพราะเวลาสระผมคือรวดเร็วทันใจ แต่หากต้องการใช้อ่างก้ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีฝักบัวเพราะในอ่างเอง ก็มีฝักบัวจิ๋วอยู่ติดกับอ่างอีกหนึ่งอัน โอ้โห นี่อาบน้ำพร้อมกันสามคนสบายๆเลยนะ
ที่เลิฟฟฟฟฟฟ มากคือ ผลิตภัณฑ์ในห้องน้ำทั้งหมดใช้ของ PANPURI ซึ่งทางโรงแรมร่วมกับแบรนด์ได้ปรุงกลิ่นพิเศษเฉพาะให้กับ Hotel Nikko Bangkok เท่านั้นซึ่งเป็นกลิ่น Lemonglass&Mandarin ซึ่งมันก็จะออกส้มๆเปรี้ยวๆหน่อยแบบสปาไทย ชอบมากกกกก คือเราเป็นแฟนแบรนด์นี้อยู่แล้ว ยิ่งทำให้รู้สึกว่ามาพักที่นี่คุ้มสุดเพราะจะเอากลับบ้านด้วย ฮ่าๆ
ห้องส้วมแยกเป็นอีกห้องนึง ด้วยความที่ห้องส้วมแยกออกมาก็จะเล้กกว่าเพื่อหน่อย ใครที่เคยไปโรงแรมที่ญี่ปุ่น เค้าก็มักจะแยกห้องน้ำและห้องส่วมออกจากกัน ซึ่งส้วมนี้ก็เป็นแบบอัตโนมัติ สะดวกสบาย
หันขวาตอนเข้ามาก็จะเป็นห้องเก็บเสื้อผ้า คือเอาจริงๆขนาดเท่านั้นห้องน้ำที่บ้านเลย ห้องแต่งตัวจัดเตรียมให้ทั้งสลิปเปอร์ ชุดคลุมอาบน้ำ รวมถึงตู้นิรภัยก็มีมีไว้ให้บริการ
ในส่วนของห้องนอนก็จะมี Facility แบบโรงแรมชั้นนำทั่วไป วิวเป็นวิวของรถไฟฟ้าทองหล่อ ตอนเข้ามามี Fruitำ Welcome เป็นผลไม้สดแอปเปิ้ลแดงเขียวและส้มไว้บริการ ที่ประทับใจคือ Pillow Menu หรือ เมนูหมอน ที่จะอธิบายว่าหมอนแต่ละใบทำมากจากอะไร ใช้ทำอะไร เหมาะกับการใช้งานแบบไหน เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าลืมถ่ายรูปมา ฮืออออออ แต่เอาเป็นว่า ปลื้มค่ะ
ต่อไปเราจะลงไปทาน Afternoon tea ของโรงแรม ซึ่งบอกเลยว่า ดีม๊ากกกกก กอไก่ล้านตัว
บริเวณล็อบบี้ นอกจากจะเป็นที่ที่แขกจะมานั่งพักผ่อนแล้ว จะมีในส่วนของคาเฟ่ Curve 55 ซึ่งเป็นคาเฟ่หนึ่งเดียวของโรงแรม นอกจากขกที่มาพักแล้ว เท่าที่เฟียสสังเกตได้ตลอดการเข้าพักคือ บุคคลธรรมดา ก็เข้ามาใช้บริการเช่นกัน ตอนกลางวันจะเป็นกลุ่มแม่บ้านญี่ปุ่นมานั่งจิบชายามบ่าย สังสรรค์ ตอนเย็นถึงค่ำ ก็จะเป็นแขกที่มาพัก ลงมาพักผ่อน พูดคุยหรือแม้กระทั่งนั่งคุยงานก็มีให้เห็น ในตอนเช้า แขกบางท่านเลือกที่จะมานั่งจิบกาแฟ ที่นี่ กลายเป็น Mini community ของชาวญี่ปุ่น นอกจากนั้น พอเวลาเปลี่ยน community ก็เปลี่ยน ทำให้เห็นว่า cafe แห่งนี้เป็น 'Third place' ที่รวมเอากลุ่มคนต่างๆมาสังสรรค์กันตลอดเวลา
เมนู Afternoon tea ที่เราจะทานในวันนี้ มีธีมคือ Sping Season ตามฤดูซากุระของญี่ปุ่น ทุกอย่างจะมีความสีชมพู้ชมพู ขนมทุกอย่างที่ขายที่นี่ ทำจากเชฟของโรงแรมเองทั้งหมด สนนราคาอยู่ที่ 990 ++ สำหรับสองท่านซึ่งสามารถเติมชาได้สองรอบ
ระหว่างรอเซ็ตชามาก็เดินเล่น ดูเค้ก ดูขนมก่อน
หิวจัด เลยสั่งกาแฟแตงโมงกับเคอเร่ปัง หรือ ขนมปังไส้แกงกะหรี่มาลองทาน ปรากฎว่าอร่อยมากกกกกก กาแฟแตงโมงก็เข้ากันได้อย่างเหลือเชื่อ ใครมาที่นี่หรือบังเอิญผ่านมาแถวทองหล่อ แนะนำให้แวะมาจิบชา ทานกาแฟและเบเกอรี่ของ Curve 55 ดูนะคะ อร่อยจริงไม่หลอกดาว
ชามีให้เลือกสองแบบคือ แบบมีคาเฟอีนซึ่งเป็นชาซอง กับ Flower Tea เฟียสเลือกเป็น Flower Tea ชาเก๊กฮวยจักพรรดิ์และชาลิลลี่ จะบอกว่ามาสองคน ก็เลือกได้สองกาเลยนะจ๊ะ
ชาสีสวยและหอมมาก
สิ่งที่เรารอคอยยยยย เซ็ต Afternoon tea ดีงามมากกกกกกกกกก บางอย่างก็เป็นขนมแบบญี่ปุ่น (โมจิไหมนะ) มูสสตอเบอรี่อร่อยมากๆๆๆๆ มากอรอง สโคน
แฮมเบอร์เกอร์ เมล่อนห่อพาม่าแฮม ซูชิ เอาจริงๆ ทานหมดนี่คืออิ่มแล้วนะ ที่สำคัญคือเค้าคัดสรรค์ของดี อร่อยมากๆ
คือทานหมดนี่อิ่มไม่รู้ตัวเลย แต่ยังก่อนจ๊ะ การกินหฤหรรย์ของเราเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น พอเราจับชายามบ่าย นั่งเอ้อละเหอลอยชายกันถึงเย็นแล้ว มันก็ถึงเวลาของ อาหารเย็นแล้วจ๊ะพี่จ๋าาาา!
อาหารเย็นเราเลือกทาน Tempura Buffet จากร้านอาหารบริเวณชั้น G ของโรงแรมที่มีชื่อว่า Hishou ซึ่งจะมีทั้งแบบไลน์บุฟเฟ่ต์ เชฟทำให้และบาร์ สำหรับใครที่เลือกทานอาหารแบบเท็มปุระนั้น ทุกๆคำ เชฟจะเป็นผู้ทอดให้สดๆ สามารถสั่งได้ไม่อั้น รายการบุฟเฟ่ต์มีให้เลือกสองแบบคือ AYA Tempura (1,100 บาท) และ Hishou tempura (1,900 บาท) ทั้งสองแบบจะสามารถตักอาหารในไลน์บุฟเฟ่ต์ได้ด้วยเช่นกัน
บุฟเฟ่ต์เท็มปุระทั้งสองแบบจะถูกทำโดยเชฟของโรงแรม สดใหม่ทุกชิ้น โดยวัตถุดิบส่วนใหญ่ 'นำเข้าจากญี่ปุ่น' ทำให้มีราคาที่ค่อนข้างสูง แต่เชื่อไหม? ทานอันไหนก็อร่อยหมดเลย ที่ชอบมากคือ snow crab หรือ ปูหิมะ หวานมากกกกก
ร้านอาหารตกแต่งโดยใช้ไม้ไผ่ ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ญี่ปุ่นจริงๆ สำหรับคนที่มาทานบุฟเฟ่ต์เท็มปุระเป็นหมู่คณะเกิน 6 คนขึ้นไปก็จะมีห้องส่วนตัวไว้รับรองด้วย ที่สำคัญคือไม่มีค่าใช้จ่ายสำหรับห้องส่วนตัวนี้เมื่อมาทานจำนวนเกิน 6 คน
ไลน์บุฟเฟ่ต์ที่นี่ก็จะเป็นแบบทั่วไป สำหรับใครที่ต้องการแค่มาทานไลน์บุฟเฟ่ต์อย่างเดียวก็สามารถทานได้เหมือนกันค่ะ แต่เราว่าแบบเท็มปุระคุ้มกว่านะ เพิ่มอีกนิด ทั้งทานทั้งไลนบุฟเฟ่ต์และเท็มปุระสดๆ ทีเด็ดในไลน์นี้คือ โอเด้ง และ หอยหวาน คือดีมากกกกกกก อย่างที่บอกคือวัตถุดิบส่วนใหญ่ส่งตรงจากญี่ปุ่น ทำให้ได้ลิ้มรสวัตถุดิบจากต้นกำเนิด ดีต่อใจมาก
อ่านต่อได้ในคอมเม้นที่ 1 เลยนะจ๊ะ
[SR] รีวิวโรงแรม Hotel Nikko Bangkok จากญี่ปุ่นสู่ไทย การบริการจากใจไม่เคยเปลี่ยน
เป็นประโยคหนึ่งที่ติดอยู่บนคีย์การ์ด ถ้ามองผ่านๆ มันก็แค่สโลแกนของโรงแรม แต่ถ้ามองลึกๆลงไป ตั้งสมาธินิดนึง สังเกตไปรอบๆ โรงแรม Hotel Nikko Bangkok จะพบว่าประโยคนี้ไม่ได้ตั้งมาเล่นๆเพราะเค้าจริงจังกับการให้บริการจริงๆ
โรงแรม Hotel Nikko Bangkok เป็นโรงแรมสัญชาติญี่ปุ่น ตั้งอยู่ใกล้กับ BTS ทองหล่อ การเดินทางสะดวกมาก เพราะถ้าไปลึกกว่านี้อีกนิดนึง รับรองได้เลยว่า ใช้เวลาเดินทางทางด้วยรถบนต์จากปากซอยเข้าไปในซอยลึก จะนานกว่าขับรถจากดอนเมืองไปนวนครแน่ๆ ยิ่งตอนหัวค่ำไม่ต้องพูดถึง รถติดจนดูหนังจบไปครึ่งเรื่อง โรงแรมแห่งนี้ยึดมั่นคำพูดที่ว่า 'Japanese hospitality of Omotenashi' คำว่า Ometenashi แปลเป็นภาษาอังกฤษว่า Service from the heart หรือการบริการจากใจ มันสำคัญยังไง??
มองภาพรวมโรงแรม Hotel Nikko Bangkok ก็เป็นอีกโรงแรมที่มีมาตารฐาน facilities เหมือนกับโรงแรมชั้นนำทั่วไป เรื่องของความสะอาด ห้องพัก (ที่ค่อนข้างใหญ่นะ สำหรับกรุงเทพ) ห้องอาหาร ห้องจัดเลี้ยงและสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ แต่สิ่งที่ต่างออกไปคือการบริการที่ถอดแบบจากวัฒนธรรมญี่ปุ่นมาเป๊ะๆ ผสานกับความเป็นไทยที่แฝงอยู่ในรายละเอียดต่างๆของโรงแรม
ยกตัวอย่างที่เฟียสเห็นนะคือ ไม่ว่าคุณจะเดินอยู่ส่วนไหนของโรงแรม เมื่อเจอพนักงานเขาจะหยุดให้คุณไปก่อนและโค้งเบาเพื่อแสดงความเคารพ ที่ประทับใจสุดๆคือ ระหว่างจะขึ้นลิฟต์ เมื่อพนักงานส่งแขกขึ้นห้องพัก เขาจะคำนับหน้าลิฟต์ 'จะกว่าประตูลิฟต์ของแขกจะปิดสนิท' จึงเก็บคำนับ
เอาล่ะ โรงแรมนี้ไม่ได้มีดีแค่การบริการ ที่เหลือเขาก็จัดเต็มทั้งคุณภาพและการเอาใจใส่ในรายละเอียดเล็กๆน้อย ไปดูรีวิวกันดีกว่าว่าทำไม เฟียสถึงยกให้โรงแรมนี้เป็น 'ที่สุดของการบริการ' ตั้งแต่เคยไปพักโรงแรมมา
สำหรับใครที่ต้องการติดตามเฟียสเพิ่ม จะได้ไม่พลาดคอนเท้นที่เราสรรหามานำเสนอ สามารถติดตามได้ที่
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
บริเวณ Lobby จะยกโถงสูงถึง 9 เมตร ทำให้แม้ว่าล็อบบี้จะไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากมาย แต่การนยกเพดานสูง ทำให้ดูมีเนื้อที่กว้าง โปร่ง อีกทั้งการตกแต่งที่ดึงลายมาจากลายกนกของไทย แล้วปรับเปลี่ยนให้เข้ากับยุคสมัย เป็นอีกหนึ่งรายละเอียดที่โรงแรมใส่ใจมากๆ
ตอนเช็คอิน เราก็ถือโอกาสสมัครบัตรสมาชิก One Harmony ซึ่งเป็นบัตรสมาชิกสำหรับในเครือโรงแรม Hotel Nikko ไม่ได้มีสิทธิประโยชน์แค่ลดค่าห้องนะ แต่พวกร้านอาหารของโรงแรมก็ลดเช่นกัน ไม่ต้องพักก็มาสมัครได้ค่ะ สามารถใช้เป็นส่วนดสำหรับบุฟเฟ่ต์ในโรงแรมได้เลย จะขอบอกว่า บุฟเฟ่ต์เด็ดมากกกก ต้องรอชม
เช็คอินเสร็จ เฟียสก็จะไปขึ้นลิฟต์ ที่เห็นผนังเป็นชั้นๆแบบนี้ เค้าไม่ได้ออกแบบเล่นๆนะจ๊ะ เพราะเขาบอกว่าได้แรงบันดาลใจมากจากโอริกามิหรือการพับกระดาษแบบญี่ปุ่นนั่นเอง
โถงลิฟต์สวยมากๆ จะบอกว่าเค้าแยกลิฟต์ชัดเจนค่ะ ลิฟต์ที่มาจากลานจอดรถจะสามารถขึ้นได้ถึงแค่ชั้น 6 ซึ่งเป็นที่ตั้งของร้านอาหาร The oasis ฉะนั้น ลิฟต์สำหรับแขกจะแยกไปอีกโซนนึง ซึ่งจะต้องใช้คีย์การ์ดขึ้นลงเท่านั้นและจะสามารถกดได้เฉพาะชั้นของตัวเอง
เราได้ห้องแบบ Premire plus เสียดายที่เฟียสเป็นคนถ่ายห้องนอนไม่สวยเอาซะเลย แต่ขอคอนเฟิมว่าห้องดี นอนสบาย ฟูกดูดวิญญาณมาก ห้องจะถุกแบ่งออกเป็นสี่ส่วนคือ ห้องน้ำ ห้องส้วม ห้องนอน และ ห้องแขวนเสื้อ เรามาเริ่มจากห้องน้ำกันก่อน
ห้องน้ำแบ่งออกเป็น โซนเปียกและแห้ง โซนแห้งจะมีอ่างล้างหน้า กระจกบานใหญ่มาก
ที่เลิฟมากคือ เค้ามีให้เลือกทั้งแบบฝักบัวและอ่างแยกออกจากกัน ฝักบัวมีทั้งแบบธรรมดาและ Rain Shower จริงๆเราชอบฝักบัวแบบนี้มากเพราะเวลาสระผมคือรวดเร็วทันใจ แต่หากต้องการใช้อ่างก้ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีฝักบัวเพราะในอ่างเอง ก็มีฝักบัวจิ๋วอยู่ติดกับอ่างอีกหนึ่งอัน โอ้โห นี่อาบน้ำพร้อมกันสามคนสบายๆเลยนะ
ที่เลิฟฟฟฟฟฟ มากคือ ผลิตภัณฑ์ในห้องน้ำทั้งหมดใช้ของ PANPURI ซึ่งทางโรงแรมร่วมกับแบรนด์ได้ปรุงกลิ่นพิเศษเฉพาะให้กับ Hotel Nikko Bangkok เท่านั้นซึ่งเป็นกลิ่น Lemonglass&Mandarin ซึ่งมันก็จะออกส้มๆเปรี้ยวๆหน่อยแบบสปาไทย ชอบมากกกกก คือเราเป็นแฟนแบรนด์นี้อยู่แล้ว ยิ่งทำให้รู้สึกว่ามาพักที่นี่คุ้มสุดเพราะจะเอากลับบ้านด้วย ฮ่าๆ
ห้องส้วมแยกเป็นอีกห้องนึง ด้วยความที่ห้องส้วมแยกออกมาก็จะเล้กกว่าเพื่อหน่อย ใครที่เคยไปโรงแรมที่ญี่ปุ่น เค้าก็มักจะแยกห้องน้ำและห้องส่วมออกจากกัน ซึ่งส้วมนี้ก็เป็นแบบอัตโนมัติ สะดวกสบาย
หันขวาตอนเข้ามาก็จะเป็นห้องเก็บเสื้อผ้า คือเอาจริงๆขนาดเท่านั้นห้องน้ำที่บ้านเลย ห้องแต่งตัวจัดเตรียมให้ทั้งสลิปเปอร์ ชุดคลุมอาบน้ำ รวมถึงตู้นิรภัยก็มีมีไว้ให้บริการ
ในส่วนของห้องนอนก็จะมี Facility แบบโรงแรมชั้นนำทั่วไป วิวเป็นวิวของรถไฟฟ้าทองหล่อ ตอนเข้ามามี Fruitำ Welcome เป็นผลไม้สดแอปเปิ้ลแดงเขียวและส้มไว้บริการ ที่ประทับใจคือ Pillow Menu หรือ เมนูหมอน ที่จะอธิบายว่าหมอนแต่ละใบทำมากจากอะไร ใช้ทำอะไร เหมาะกับการใช้งานแบบไหน เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าลืมถ่ายรูปมา ฮืออออออ แต่เอาเป็นว่า ปลื้มค่ะ
ต่อไปเราจะลงไปทาน Afternoon tea ของโรงแรม ซึ่งบอกเลยว่า ดีม๊ากกกกก กอไก่ล้านตัว
บริเวณล็อบบี้ นอกจากจะเป็นที่ที่แขกจะมานั่งพักผ่อนแล้ว จะมีในส่วนของคาเฟ่ Curve 55 ซึ่งเป็นคาเฟ่หนึ่งเดียวของโรงแรม นอกจากขกที่มาพักแล้ว เท่าที่เฟียสสังเกตได้ตลอดการเข้าพักคือ บุคคลธรรมดา ก็เข้ามาใช้บริการเช่นกัน ตอนกลางวันจะเป็นกลุ่มแม่บ้านญี่ปุ่นมานั่งจิบชายามบ่าย สังสรรค์ ตอนเย็นถึงค่ำ ก็จะเป็นแขกที่มาพัก ลงมาพักผ่อน พูดคุยหรือแม้กระทั่งนั่งคุยงานก็มีให้เห็น ในตอนเช้า แขกบางท่านเลือกที่จะมานั่งจิบกาแฟ ที่นี่ กลายเป็น Mini community ของชาวญี่ปุ่น นอกจากนั้น พอเวลาเปลี่ยน community ก็เปลี่ยน ทำให้เห็นว่า cafe แห่งนี้เป็น 'Third place' ที่รวมเอากลุ่มคนต่างๆมาสังสรรค์กันตลอดเวลา
เมนู Afternoon tea ที่เราจะทานในวันนี้ มีธีมคือ Sping Season ตามฤดูซากุระของญี่ปุ่น ทุกอย่างจะมีความสีชมพู้ชมพู ขนมทุกอย่างที่ขายที่นี่ ทำจากเชฟของโรงแรมเองทั้งหมด สนนราคาอยู่ที่ 990 ++ สำหรับสองท่านซึ่งสามารถเติมชาได้สองรอบ
ระหว่างรอเซ็ตชามาก็เดินเล่น ดูเค้ก ดูขนมก่อน
หิวจัด เลยสั่งกาแฟแตงโมงกับเคอเร่ปัง หรือ ขนมปังไส้แกงกะหรี่มาลองทาน ปรากฎว่าอร่อยมากกกกกก กาแฟแตงโมงก็เข้ากันได้อย่างเหลือเชื่อ ใครมาที่นี่หรือบังเอิญผ่านมาแถวทองหล่อ แนะนำให้แวะมาจิบชา ทานกาแฟและเบเกอรี่ของ Curve 55 ดูนะคะ อร่อยจริงไม่หลอกดาว
ชามีให้เลือกสองแบบคือ แบบมีคาเฟอีนซึ่งเป็นชาซอง กับ Flower Tea เฟียสเลือกเป็น Flower Tea ชาเก๊กฮวยจักพรรดิ์และชาลิลลี่ จะบอกว่ามาสองคน ก็เลือกได้สองกาเลยนะจ๊ะ
ชาสีสวยและหอมมาก
สิ่งที่เรารอคอยยยยย เซ็ต Afternoon tea ดีงามมากกกกกกกกกก บางอย่างก็เป็นขนมแบบญี่ปุ่น (โมจิไหมนะ) มูสสตอเบอรี่อร่อยมากๆๆๆๆ มากอรอง สโคน
แฮมเบอร์เกอร์ เมล่อนห่อพาม่าแฮม ซูชิ เอาจริงๆ ทานหมดนี่คืออิ่มแล้วนะ ที่สำคัญคือเค้าคัดสรรค์ของดี อร่อยมากๆ
คือทานหมดนี่อิ่มไม่รู้ตัวเลย แต่ยังก่อนจ๊ะ การกินหฤหรรย์ของเราเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น พอเราจับชายามบ่าย นั่งเอ้อละเหอลอยชายกันถึงเย็นแล้ว มันก็ถึงเวลาของ อาหารเย็นแล้วจ๊ะพี่จ๋าาาา!
อาหารเย็นเราเลือกทาน Tempura Buffet จากร้านอาหารบริเวณชั้น G ของโรงแรมที่มีชื่อว่า Hishou ซึ่งจะมีทั้งแบบไลน์บุฟเฟ่ต์ เชฟทำให้และบาร์ สำหรับใครที่เลือกทานอาหารแบบเท็มปุระนั้น ทุกๆคำ เชฟจะเป็นผู้ทอดให้สดๆ สามารถสั่งได้ไม่อั้น รายการบุฟเฟ่ต์มีให้เลือกสองแบบคือ AYA Tempura (1,100 บาท) และ Hishou tempura (1,900 บาท) ทั้งสองแบบจะสามารถตักอาหารในไลน์บุฟเฟ่ต์ได้ด้วยเช่นกัน
บุฟเฟ่ต์เท็มปุระทั้งสองแบบจะถูกทำโดยเชฟของโรงแรม สดใหม่ทุกชิ้น โดยวัตถุดิบส่วนใหญ่ 'นำเข้าจากญี่ปุ่น' ทำให้มีราคาที่ค่อนข้างสูง แต่เชื่อไหม? ทานอันไหนก็อร่อยหมดเลย ที่ชอบมากคือ snow crab หรือ ปูหิมะ หวานมากกกกก
ร้านอาหารตกแต่งโดยใช้ไม้ไผ่ ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ญี่ปุ่นจริงๆ สำหรับคนที่มาทานบุฟเฟ่ต์เท็มปุระเป็นหมู่คณะเกิน 6 คนขึ้นไปก็จะมีห้องส่วนตัวไว้รับรองด้วย ที่สำคัญคือไม่มีค่าใช้จ่ายสำหรับห้องส่วนตัวนี้เมื่อมาทานจำนวนเกิน 6 คน
ไลน์บุฟเฟ่ต์ที่นี่ก็จะเป็นแบบทั่วไป สำหรับใครที่ต้องการแค่มาทานไลน์บุฟเฟ่ต์อย่างเดียวก็สามารถทานได้เหมือนกันค่ะ แต่เราว่าแบบเท็มปุระคุ้มกว่านะ เพิ่มอีกนิด ทั้งทานทั้งไลนบุฟเฟ่ต์และเท็มปุระสดๆ ทีเด็ดในไลน์นี้คือ โอเด้ง และ หอยหวาน คือดีมากกกกกกก อย่างที่บอกคือวัตถุดิบส่วนใหญ่ส่งตรงจากญี่ปุ่น ทำให้ได้ลิ้มรสวัตถุดิบจากต้นกำเนิด ดีต่อใจมาก
อ่านต่อได้ในคอมเม้นที่ 1 เลยนะจ๊ะ
SR - Sponsored Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ SR โดยที่เจ้าของกระทู้
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น