บทความตามใจฉัน “Famicom Disk system” Part 1

บทความตามใจฉัน “Famicom Disk system” Part 1

สิ่งที่ Nintendo รู้และตระหนักมาตลอดในช่วงที่วางจำหน่ายเครื่องเกมของตนเอง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคของ NES และ SNES ก็คือ “ราคาตลับเกมคืออุปสรรคของธุรกิจ”

ในยุค NES ตลับเกม 1 ตลับนั้นมีราคาขายอยู่ที่ราว ๆ 1 ใน 3 หรือ 1 ใน 4 ของตัวเครื่องเกมเลยทีเดียว (ตัวเครื่อง NES

ขายอยู่ที่ราว ๆ 199 US) ยิ่งถ้าเป็นเกมมีความจุมากเท่าไหร่ราคาก็ยิ่งสูงเป็นเงาตามตัว

เช่นในยุค SNES ที่ Final Fantasy 6 ขายกันที่ราคาประมาณ 80 US หรือเกือบครึ่งของราคาเครื่อง SNES

เลยทีเดียว เรียกได้ว่าซื้อตลับเกม 2-3 เกมก็เกือบจะเท่ากับซื้อเครื่องใหม่ได้เครื่องนึงแล้ว สาเหตุมาจาก ROM Chip ที่ในสมัยนั้นราคายังแพงอยู่มาก

หมายเหตุ: ราคาตลับเกมอิงจากราคาขายใน USA


ดังนั้น หากสามารถเปลี่ยนสื่อเก็บข้อมูลมาเป็นชนิดที่ราคาถูกกว่าได้ละก็จะสามารถลดราคาของเกมลงมาได้

Nintendo ก็จะได้ฐานลูกค้าและบริษัทผู้พัฒนาเกมเพิ่มขึ้น

Nintendo เองก็จะขายเกมได้มากขึ้น ( Nintendo ได้ค่าผลิตตลับเกมหรือสื่อเก็บข้อมูลเพื่อบรรจุเกมด้วย) มีแต่ได้กับได้


และสื่อเก็บข้อมูลที่ Nintendo เลือกก็คือ Floppy Disk

เดือนกุมภาพันธ์ 1986 Nintendo ได้ออกวางจำหน่าย Family Computer Disk System เฉพาะในประเทศญี่ปุ่น

โดย Disk System นี้เป็น Add-on ของ Famicom เชื่อมต่อผ่านช่องเสียบตลับเกม

แนวคิดของ Disk system คือ ข้อมูลของเกมจะถูกเก็บไว้ใน Disk เมื่อจะเล่นเกมก็ใส่แผ่น Disk ให้เครื่องอ่านโหลดข้อมูลจาก Disk

ไปเก็บไว้ในหน่วยความจำของระบบ (มีขนาด 32KB) แล้วก็จะทำตัวเองเหมือนเป็นตลับเกมให้เครื่องอ่านข้อมูลเกมจากหน่วยความจำของระบบแทนตลับ


Disk ที่ใช้นั้นเป็นการนำ “Quick Disk” ที่พัฒนาโดยบริษัท Mitsumi

มาต่อยอดอีกทีโดยทาง Nintendo ตั้งชื่อเรียกว่า “Disk

Card” ตัวแผ่นมีขนาด 3 นิ้วซึ่งเล็กกว่า Floppy Disk ขนาด 3.5 นิ้วที่ถูกใช้งานกันอย่างแพร่หลาย

มีจุดเด่นที่หัวแผ่นนั้นถูกทำเป็นร่องรูปตัวอักษร Nintendo

ตัว Disk นั้นมีความจุรวมทั้งหมด 112 KB โดยแบ่งออกเป็นสองหน้า หน้าละ 56 KB ตรงจุดนี้จะไม่เหมือนกับที่เรา ๆ เคยใช้

Floppy Disk ขนาด 3.5 นิ้ว ที่เมื่อเสียบเข้าไปแล้วจะเข้าถึงข้อมูลได้ทั้งหมดในคราวเดียว

ในการเข้าถึงพื้นที่เก็บของมูลทั้งหมดของ Disk card ผู้ใช้ต้องสลับหน้าแผ่นด้วยตนเอง แต่จุดนี้ก็ทำให้ Disk Card นั้น

สามารถบรรจุเกมได้ถึงสองเกมในแผ่นเดียวกันได้ถ้าขนาดเกมไม่เกิน 56KB 


จุดเด่นของ Disk system คือสามารถทำลายข้อจำกัดเรื่องขนาดของตัวเกมได้โดยแลกกับความไม่สะดวกในการสลับแผ่น

เช่น บางเกมที่มีขนาดใหญ่จนต้องใช้พื้นที่ทั้งสองหน้าของ Disk นั้น ผู้เล่นอาจจะต้องสลับหน้าของ Disk

เมื่อเกมดำเนินไปจนถึงจุดหนึ่งหรือในบางกรณีที่เกมมีขนาดใหญ่มากจนต้องใช้ Disk ถึงสองแผ่นในการเล่น

ผู้เล่นนอกจากต้องสลับหน้าแผ่นแล้วยังต้องคอยสลับแผ่นอีกด้วย

จุดเด่นอีกอย่างหนึ่งของ Disk system คือวิธีการจำหน่ายเกม

โดยทาง Nintendo ได้สร้างตู้ขายเกมขึ้นมา โดยลักษณะจะคล้าย ๆ ตู้ขายตั๋วอัตโนมัติติดตั้งไว้ตามร้านขายเกมต่าง

ๆ เมื่อผู้เล่นต้องการจะซื้อเกมใหม่ก็เพียงเอา Disk เสียบเข้าไป, เลือกเกมและใส่เงิน เกมก็จะถูกบันทึกลงไปใน Disk  

ตู้นี้ทำให้ค่าใช้จ่ายในการซื้อเกมใหม่ลดลงไปได้อีกเพราะผู้เล่นสามารถนำแผ่น

Disk ที่มีอยู่มาบันทึกเกมใหม่ลงไปได้

แต่สิ่งที่สำคัญและดู WOW ในยุคนั้นก็คือเกมบน Disk system สามารถ Save

ได้ บอกลา Password ยาว ๆ ที่ต้องเสียเวลาจดและเวลาพิมพ์ใส่ได้เลย


ไอเดียทั้งหมดที่กล่าวมานั้นดูดี

Nintendo เองก็คาดหวังกับอนาคตการขายเกมแบบแผ่น Disk มาก

แต่ผลลัพธ์คือ Family Computer Disk System กลับเป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่ประสบความสำเร็จและสร้างกระทบให้แก่

Nintendo ในอนาคตอย่างอย่างคาดไม่ถึง


To be continue in Part 2

ปล.ตอนนี้ผมได้เปิด Facebook Page “บทความตามใจฉัน”

โดยบทความจะหลายหลากคละประเภทกันไปความตามความสนใจนั้นขณะนั้น

ถ้าสนใจก็กดติดตามได้ครับ

https://www.facebook.com/uptomejournal/

 
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่