สวัสดีค่ะ พบกับอีกแล้วหลังจากหายการเขียนกระทู้รีวิวที่เที่ยวในแบบฉบับของพาฝันคนดีคนเดิม
และที่เพิ่มเติมกับทริปกอดคอกันกลม ทดสอบกำลังขาพากันขึ้นภูกระดึง พี่พี่ไหวป่าววววว ที่ขึ้นว่าโหดใช่ได้
จะโหดจริงและสวยสมคำร่ำลือมั๊ย ต้องไปพิชิตด้วยตัวเราเอง
และเช่นเคยทริปนี้เรามีสมาชิกด้วยกัน 4 คน
โดยมีผู้นำทางเป็นพี่อาทผู้ที่ขึ้นชื่อว่าพิชิตภูกระดึงกว่า 4 ครั้งและครั้งนี้เป็นครั้งที่ 5
และสมาชิกอีกหนึ่งท่านคือ พี่ม่วยผู้ที่เคยพิชิตภูกระดึงมาแล้ว 1 ครั้ง
และครั้งนี้ก็โดยลูกอ้อนของพาฝันและลูกตาลให้มาร่วมทริปด้วยกัน
ความสนุกและความเหนื่อยกำลังจะเกิดขึ้นแล้ววววววว
ยอมรับโดยดีค่ะว่าตื่นเต้นมาก ที่จะท้าทายความสามารถตัวเองพิชิตภูกระดึงสักครั้ง
เพราะโดยส่วนตัวเป็นคนออกกำลังกายเป็นประจำ คิดว่าร่างกายเราน่าจะไหว
พวกเราสี่คนเริ่มต้น 9 โมงเช้าที่อุทยานแห่งชาติภูกระดึง
ทำเรื่องฝากกระเป๋าให้ลูกหาบโดยคิดค่าบริการกิโลกรัมละ 30 บาท
โดยมีคนเตือนมาว่า ฝากให้หมดอย่าเอาอะไรติดตัวขึ้นไปเลย (ทำไมคำเตือนชั่งน่ากลัวขนาดนั้น)
ไปค่ะ..........ลุย !
เราจะขึ้นไปถึงยอดภูกระดึงที่ต้องเดินเท้า(เท่านั้น)เป็นระยะทางกว่า 9 กิโลเมตร
คือขึ้นเขา 5 กิโลเมตรและทางราบอีกประมาณ 3-4 กิโลเมตร
และซำแรกที่เราต้องพิชิตคือ ซำแฮก ไม่ต้องอธิบายที่มาของชื่อกันเลย
ถ้าคุณมีโอกาสมีปีนภูกระดึง คุณจะแฮกจริงๆๆ
แต่ก็ยังไม่ท้อใจนะคะ กำลังขายังไหวแม้ว่าจะรู้สึกเหนื่อยนิดๆก็ตาม
พักจิบน้ำเบาๆและเติมปากให้แดงตามคอนเซ็ปต์ “ถ้าปากไม่แดงไม่มีแรงขึ้นภูกระดึง” ฮาาาา
หันไปมองพี่ๆลูกหาบแต่ละคน พ่อคุณเอ่ยแม่คุณเอ่ย
ทำไมแข็งแรงกันขนาดนี้ ทุกย่างก้าวของแต่ละคนชั่งหนักแน่นและมั่นคง
ต้องยอมรับในพลกำลังมหาศาลของแต่ละคนจริงๆ กิโลกรัมละ 30 บาทยังว่าถูกเกินไป
มีโอกาสได้คุยกับเจ้าหน้าที่อุทยานเลยถามว่า ทำไมถึงคิดอัตราค่าบริการลูกหาบแค่ 30บาทเอง
ในเมื่อแต่ละคนเหนื่อยมากและร่างกายที่ทรุดเลยจากการแบกหามของหนัก
ก็ได้คำตอบว่า ราคานี้เป็นราคาที่ชาวบ้านพอใจและไม่แพงมากไปสำหรับนักท่องเที่ยว
ถ้าขึ้นอัตราค่าบริการเพิ่มขึ้นก็เกรงว่าจะทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวลดลง ก็ถือว่าเป็นคำตอบที่เข้าใจได้ค่ะ
ระหว่างขึ้นภูจะมีร้านขายของกินและมีวิวให้พักถ่ายรูปชวนให้ลืมความเหนื่อยได้นิดหน่อย
(ที่กล่าวเช่นนั้นเพราะมันเหนื่อยจริงๆค่ะ)
ในที่สุดก็ถึงหลังแป โอ๊ยเกือบตาย พักเหนื่อยกันแปปเดี๋ยวเดินต่อไปจุดกางเต็นท์
ซึ่งมีระยะทางประมาณ 3-4 กิโลเมตร
โอ๊ย...ถึงแล้ววววววววว ในที่สุดก็ถึงที่ทำจุดกางเต็นท์ ใช้เวลาประมาณ 2.5 ชั่วโมง
สำหรับครั้งแรกถือว่าค่อนข้างพอใจและไม่คิดซ่อมค่ะ ฮา
เช่าเต้นท์และหาที่จับจองกันดีกว่า
คืนแรกพวกเราขอจัดหมูกระทะเลยจ้า โดยมีร้านบริการเยอะมาก
หมูกระทะชุดละ 500 บาท (ทุกร้าน)
ฟินไปอีก อร่อยมาก
สวัสดีเช้าวันใหม่ด้วยการตื่นแต่เช้าไปดูพระอาทิตย์ ขึ้นที่ผานกแอ่น
ไม่บรรยายมากให้ดูภาพประกอบดีกว่า ภาพน่าจะบรรยายความสวยและบรรยากาศ ณ.โมเมนต์นั้นได้ดีที่สุด
กลับมาที่เต็นท์อาบน้ำเปลี่ยนชุดหาข้าวเช้าทาน
และพวกเรายังเลือกฝากร้านเดิมคือร้านนัดพบ (เจ้แปลง) ด้วยรสชาติอาหารที่อร่อย บริการเป็นกันเอง
แถมให้ยืมไฟฉายอีก โอ๊ยดีไปหมดเลยค่ะ
สำหรับใครที่กังวลเรื่องแบตโทรศัพท์ แบตกล้อง ที่ร้านค้าจะมีบริการรับชาตแบต
ถ้าเป็นลูกค้าประจำอย่างพวกเราก็จะได้โปรโมชั่นชาตแบตฟรีค่ะ
อิ่มแล้ว มีแรงแล้ว ออกเดินทางกันเลย
และสถานที่พวกเราจะไป น้ำตกธารสวรรค์ น้ำตกเพ็ญพบใหม่ สระอโนดาต ผาเหยียบเมฆ
และไฮไลท์ของภูกระดึงคือผาหล่มสัก
ความงดงามของธรรมชาติทำให้พวกเราลืมความเหนื่อยไปเลยค่ะ
และอีกหนึ่งภารกิจของทริปภูกระดึงคือ ตามล่าใบเมเปิ้ลสีแดง
ช่วงที่เรามาคือช่วงเดือนตุลาคม เป็นช่วงเปิดอุทยานใหม่ดังนั้นใบเมเปิ้ลจะยังไม่เปลี่ยนสี
แต่ถ้าเดินทางไปท่องเที่ยวช่วงธันวาคมก็จะพบความสวยงามของภูกระดึงที่เต็มไปด้วยใบเมเปิ้ลสีแดงราวกลับบินไปเที่ยวญี่ปุ่นเลยค่ะ
การเดินทางยังคงดำเนินต่อไป พวกเราเลือกซื้อข้าวจี่กับหมูปิ้งไว้กินระหว่างทาง
และแวะกินแตงโมที่ผาเหยียบเมฆ หวาน เย็น ชื่นใจ
สถานีต่อไปหล่มสักค่ะ เดินต่อซิคะ รออะไร
จากผาเหยียบเมฆห่างจากผาหล่มสัก 4 กม.
แต่เป็น 4 กม. ที่แสนไกล คนละอารมณ์กับวิ่งมินิมาราธอนนะคะ
อารมณ์คือเดินเท่าไรก็ไม่ถึงสักที
ในที่สุดก็ถึงผาหล่มสัก เล่นเอาหมดแรงไปเลยค่ะ
ถามว่าสวยมั๊ย????
สวยค่ะ และเหนื่อยมาก
ฮา ฮา ฮา
พวกเราใช้เวลาอยู่บริเวณผาหล่มสักประมาณ 1 ชั่วโมงก่อนเดินทางกลับ
ไม่ทันรอดูพระอาทิตย์ตกดินดีเท่าไร เนื่องจากระยะทางกลับจุดกางเต้นท์ 9 กม.
ประกอบกับกำลังขาที่อ่อนแอเหลือเกิน (วิถีป้าและลุง)
กลับมาถึงเต้นท์ก็แยกย้ายกันไปอาบน้ำล้างตัว
ตกเย็นอากาศก็เย็นลง
ที่บริเวณร้านค้าจะมีร้านขายของฝาก และที่ classic อีกหนึ่งอย่างคือการส่ง postcard ไปให้คนที่คุณคิดถึงและส่งให้ตัวเอง
เราส่งให้พ่อแม่ และเพื่อนสนิทที่ไม่ได้มาด้วยกัน
Good moment
ดีดกีตาร์ ส่ง postcard เสร็จก็ไปหาอะไรกินดีกว่า เหมือนท้องจะเริ่มร้องแล้ว
และคืนสุดท้ายที่ภูกระดึง พวกเราเลือกที่จะกินชาบูราคา 500 บาทที่ร้านเดิมเพิ่มเติมคือโปรโมชั่นพิเศษชาตแบตมือถือฟรีค่ะ
หลายคนอาจจะมองว่าทำไมอาหารบนภูกระดึงแพงจัง
เอาจริงๆนะคะ ไม่แพงเลย เมื่อเทียบกับการหาบของขึ้นมาขาย
บางร้านมีลูกจ้างหาบเอง บางร้านต้องจ้างลูกหาบ
อย่างน้ำแข็งตอนอยู่ข้างล่าง 10 กก. ขึ้นมาถึงภูกระดึงเหลือ 5 กก.
ดังนั้นสินค้าจึงมีราคาสูงกว่าข้างล่าง แต่ยังถูกกว่ากรุงเพทค่ะ ฮาๆ
และแล้วบันทึกการเดินทางก็มาถึงตอนจบทริปกอดคอกันกลม ทดสอบกำลังขาพากันขึ้นภูกระดึง พี่พี่ไหวป่าววววว
ป้าๆ ลุงๆ ก็ยังพอมีกำลังขาที่จะปีนขึ้นไปพิสูจน์ความแข็งแรงของร่างกาย
และพิสูจน์ด้วยสายตาแล้วว่า ธรรมชาติที่ภูกระดึงยังสวยและสดอยู่
ความรู้สึกแบบนี้ไม่ได้หาได้ที่เมืองกรุง แต่ต้องพาตัวเองเดินทางมาแสนไกล
ประเทศไทยของเรายังมีหลากหลายสถานที่สวยๆรอคุณอยู่
รอคุณไปสัมผัส
ขอบคุณทุกคนที่แวะมาอ่านและชมรูปภาพที่พวกเราสี่คนตั้งใจถ่ายและอยากจะแชร์ความรู้สึกของความประทับใจที่ภูกระดึง
พบกันใหม่ทริปหน้านะคะ
"ครั้งหนึ่งในชีวิต เราคือผู้พิชิตภูกระดึง"
ทริปกอดคอกันกลม ทดสอบกำลังขาพากันขึ้นภูกระดึง พี่พี่ไหวป่าววววว
และที่เพิ่มเติมกับทริปกอดคอกันกลม ทดสอบกำลังขาพากันขึ้นภูกระดึง พี่พี่ไหวป่าววววว ที่ขึ้นว่าโหดใช่ได้
จะโหดจริงและสวยสมคำร่ำลือมั๊ย ต้องไปพิชิตด้วยตัวเราเอง
และเช่นเคยทริปนี้เรามีสมาชิกด้วยกัน 4 คน
โดยมีผู้นำทางเป็นพี่อาทผู้ที่ขึ้นชื่อว่าพิชิตภูกระดึงกว่า 4 ครั้งและครั้งนี้เป็นครั้งที่ 5
และสมาชิกอีกหนึ่งท่านคือ พี่ม่วยผู้ที่เคยพิชิตภูกระดึงมาแล้ว 1 ครั้ง
และครั้งนี้ก็โดยลูกอ้อนของพาฝันและลูกตาลให้มาร่วมทริปด้วยกัน
ความสนุกและความเหนื่อยกำลังจะเกิดขึ้นแล้ววววววว
ยอมรับโดยดีค่ะว่าตื่นเต้นมาก ที่จะท้าทายความสามารถตัวเองพิชิตภูกระดึงสักครั้ง
เพราะโดยส่วนตัวเป็นคนออกกำลังกายเป็นประจำ คิดว่าร่างกายเราน่าจะไหว
พวกเราสี่คนเริ่มต้น 9 โมงเช้าที่อุทยานแห่งชาติภูกระดึง
ทำเรื่องฝากกระเป๋าให้ลูกหาบโดยคิดค่าบริการกิโลกรัมละ 30 บาท
โดยมีคนเตือนมาว่า ฝากให้หมดอย่าเอาอะไรติดตัวขึ้นไปเลย (ทำไมคำเตือนชั่งน่ากลัวขนาดนั้น)
ไปค่ะ..........ลุย !
เราจะขึ้นไปถึงยอดภูกระดึงที่ต้องเดินเท้า(เท่านั้น)เป็นระยะทางกว่า 9 กิโลเมตร
คือขึ้นเขา 5 กิโลเมตรและทางราบอีกประมาณ 3-4 กิโลเมตร
และซำแรกที่เราต้องพิชิตคือ ซำแฮก ไม่ต้องอธิบายที่มาของชื่อกันเลย
ถ้าคุณมีโอกาสมีปีนภูกระดึง คุณจะแฮกจริงๆๆ
แต่ก็ยังไม่ท้อใจนะคะ กำลังขายังไหวแม้ว่าจะรู้สึกเหนื่อยนิดๆก็ตาม
พักจิบน้ำเบาๆและเติมปากให้แดงตามคอนเซ็ปต์ “ถ้าปากไม่แดงไม่มีแรงขึ้นภูกระดึง” ฮาาาา
หันไปมองพี่ๆลูกหาบแต่ละคน พ่อคุณเอ่ยแม่คุณเอ่ย
ทำไมแข็งแรงกันขนาดนี้ ทุกย่างก้าวของแต่ละคนชั่งหนักแน่นและมั่นคง
ต้องยอมรับในพลกำลังมหาศาลของแต่ละคนจริงๆ กิโลกรัมละ 30 บาทยังว่าถูกเกินไป
มีโอกาสได้คุยกับเจ้าหน้าที่อุทยานเลยถามว่า ทำไมถึงคิดอัตราค่าบริการลูกหาบแค่ 30บาทเอง
ในเมื่อแต่ละคนเหนื่อยมากและร่างกายที่ทรุดเลยจากการแบกหามของหนัก
ก็ได้คำตอบว่า ราคานี้เป็นราคาที่ชาวบ้านพอใจและไม่แพงมากไปสำหรับนักท่องเที่ยว
ถ้าขึ้นอัตราค่าบริการเพิ่มขึ้นก็เกรงว่าจะทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวลดลง ก็ถือว่าเป็นคำตอบที่เข้าใจได้ค่ะ
ระหว่างขึ้นภูจะมีร้านขายของกินและมีวิวให้พักถ่ายรูปชวนให้ลืมความเหนื่อยได้นิดหน่อย
(ที่กล่าวเช่นนั้นเพราะมันเหนื่อยจริงๆค่ะ)
ในที่สุดก็ถึงหลังแป โอ๊ยเกือบตาย พักเหนื่อยกันแปปเดี๋ยวเดินต่อไปจุดกางเต็นท์
ซึ่งมีระยะทางประมาณ 3-4 กิโลเมตร
โอ๊ย...ถึงแล้ววววววววว ในที่สุดก็ถึงที่ทำจุดกางเต็นท์ ใช้เวลาประมาณ 2.5 ชั่วโมง
สำหรับครั้งแรกถือว่าค่อนข้างพอใจและไม่คิดซ่อมค่ะ ฮา
เช่าเต้นท์และหาที่จับจองกันดีกว่า
คืนแรกพวกเราขอจัดหมูกระทะเลยจ้า โดยมีร้านบริการเยอะมาก
หมูกระทะชุดละ 500 บาท (ทุกร้าน)
ฟินไปอีก อร่อยมาก
สวัสดีเช้าวันใหม่ด้วยการตื่นแต่เช้าไปดูพระอาทิตย์ ขึ้นที่ผานกแอ่น
ไม่บรรยายมากให้ดูภาพประกอบดีกว่า ภาพน่าจะบรรยายความสวยและบรรยากาศ ณ.โมเมนต์นั้นได้ดีที่สุด
กลับมาที่เต็นท์อาบน้ำเปลี่ยนชุดหาข้าวเช้าทาน
และพวกเรายังเลือกฝากร้านเดิมคือร้านนัดพบ (เจ้แปลง) ด้วยรสชาติอาหารที่อร่อย บริการเป็นกันเอง
แถมให้ยืมไฟฉายอีก โอ๊ยดีไปหมดเลยค่ะ
สำหรับใครที่กังวลเรื่องแบตโทรศัพท์ แบตกล้อง ที่ร้านค้าจะมีบริการรับชาตแบต
ถ้าเป็นลูกค้าประจำอย่างพวกเราก็จะได้โปรโมชั่นชาตแบตฟรีค่ะ
อิ่มแล้ว มีแรงแล้ว ออกเดินทางกันเลย
และสถานที่พวกเราจะไป น้ำตกธารสวรรค์ น้ำตกเพ็ญพบใหม่ สระอโนดาต ผาเหยียบเมฆ
และไฮไลท์ของภูกระดึงคือผาหล่มสัก
ความงดงามของธรรมชาติทำให้พวกเราลืมความเหนื่อยไปเลยค่ะ
และอีกหนึ่งภารกิจของทริปภูกระดึงคือ ตามล่าใบเมเปิ้ลสีแดง
ช่วงที่เรามาคือช่วงเดือนตุลาคม เป็นช่วงเปิดอุทยานใหม่ดังนั้นใบเมเปิ้ลจะยังไม่เปลี่ยนสี
แต่ถ้าเดินทางไปท่องเที่ยวช่วงธันวาคมก็จะพบความสวยงามของภูกระดึงที่เต็มไปด้วยใบเมเปิ้ลสีแดงราวกลับบินไปเที่ยวญี่ปุ่นเลยค่ะ
การเดินทางยังคงดำเนินต่อไป พวกเราเลือกซื้อข้าวจี่กับหมูปิ้งไว้กินระหว่างทาง
และแวะกินแตงโมที่ผาเหยียบเมฆ หวาน เย็น ชื่นใจ
สถานีต่อไปหล่มสักค่ะ เดินต่อซิคะ รออะไร
จากผาเหยียบเมฆห่างจากผาหล่มสัก 4 กม.
แต่เป็น 4 กม. ที่แสนไกล คนละอารมณ์กับวิ่งมินิมาราธอนนะคะ
อารมณ์คือเดินเท่าไรก็ไม่ถึงสักที
ในที่สุดก็ถึงผาหล่มสัก เล่นเอาหมดแรงไปเลยค่ะ
ถามว่าสวยมั๊ย????
สวยค่ะ และเหนื่อยมาก
ฮา ฮา ฮา
พวกเราใช้เวลาอยู่บริเวณผาหล่มสักประมาณ 1 ชั่วโมงก่อนเดินทางกลับ
ไม่ทันรอดูพระอาทิตย์ตกดินดีเท่าไร เนื่องจากระยะทางกลับจุดกางเต้นท์ 9 กม.
ประกอบกับกำลังขาที่อ่อนแอเหลือเกิน (วิถีป้าและลุง)
กลับมาถึงเต้นท์ก็แยกย้ายกันไปอาบน้ำล้างตัว
ตกเย็นอากาศก็เย็นลง
ที่บริเวณร้านค้าจะมีร้านขายของฝาก และที่ classic อีกหนึ่งอย่างคือการส่ง postcard ไปให้คนที่คุณคิดถึงและส่งให้ตัวเอง
เราส่งให้พ่อแม่ และเพื่อนสนิทที่ไม่ได้มาด้วยกัน
Good moment
ดีดกีตาร์ ส่ง postcard เสร็จก็ไปหาอะไรกินดีกว่า เหมือนท้องจะเริ่มร้องแล้ว
และคืนสุดท้ายที่ภูกระดึง พวกเราเลือกที่จะกินชาบูราคา 500 บาทที่ร้านเดิมเพิ่มเติมคือโปรโมชั่นพิเศษชาตแบตมือถือฟรีค่ะ
หลายคนอาจจะมองว่าทำไมอาหารบนภูกระดึงแพงจัง
เอาจริงๆนะคะ ไม่แพงเลย เมื่อเทียบกับการหาบของขึ้นมาขาย
บางร้านมีลูกจ้างหาบเอง บางร้านต้องจ้างลูกหาบ
อย่างน้ำแข็งตอนอยู่ข้างล่าง 10 กก. ขึ้นมาถึงภูกระดึงเหลือ 5 กก.
ดังนั้นสินค้าจึงมีราคาสูงกว่าข้างล่าง แต่ยังถูกกว่ากรุงเพทค่ะ ฮาๆ
และแล้วบันทึกการเดินทางก็มาถึงตอนจบทริปกอดคอกันกลม ทดสอบกำลังขาพากันขึ้นภูกระดึง พี่พี่ไหวป่าววววว
ป้าๆ ลุงๆ ก็ยังพอมีกำลังขาที่จะปีนขึ้นไปพิสูจน์ความแข็งแรงของร่างกาย
และพิสูจน์ด้วยสายตาแล้วว่า ธรรมชาติที่ภูกระดึงยังสวยและสดอยู่
ความรู้สึกแบบนี้ไม่ได้หาได้ที่เมืองกรุง แต่ต้องพาตัวเองเดินทางมาแสนไกล
ประเทศไทยของเรายังมีหลากหลายสถานที่สวยๆรอคุณอยู่
รอคุณไปสัมผัส
ขอบคุณทุกคนที่แวะมาอ่านและชมรูปภาพที่พวกเราสี่คนตั้งใจถ่ายและอยากจะแชร์ความรู้สึกของความประทับใจที่ภูกระดึง
พบกันใหม่ทริปหน้านะคะ
"ครั้งหนึ่งในชีวิต เราคือผู้พิชิตภูกระดึง"