ทริปนี้เป็นการตัดสินใจไม่นานครับเพราะส่วนตัวชอบภูเขา น้ำตก อยู่เป็นทุนเดิม พอเห็นรูปภาพวิวของบาหลี และทิวทัศน์ของภูเขาไฟโบรโม่แล้ว รู้ตัวอีกทีนิ้วมันก็ลั่นกดจองตั๋วเครื่องบินไปสะแล้ว พอเช้ามาก็ทำเรื่องจองลาพักร้อนต่อ หลังจากผ่านปีใหม่มาก็อยากพาร่างกายไปปะทะกับธรรมชาติ แต่ใจก็ไม่อยากไปเจอคนเยอะ ๆ เลยคิดทริปที่มีช่วงเวลาก่อนไฮซีซัน (High - Season) ผลสรุปที่ได้คือ บาหลี - โบรโม่ - บุโรพุทโธ ตอนสิ้นเดือนมีนาคมขึ้นต้นเมษายนเป็นเวลากำลังดี พอถึงเวลาก็เก็บกระเป๋าและไปเที่ยวโล้ด
เนื่องด้วยเป็นการเขียนกระทู้แนวนี้เป็นครั้งแรก ขาดตกบกพร่องอะไรไปจึงขอให้ไปโทษอาจารย์ภาษาไทย เอ้ย! ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ (-/\-)
เริ่มแรกเลยคือ "อัญมณีแห่งชวาตะวันออก" หรือที่รู้จักกันในชื่อ "ภูเขาไฟโบรโม่" นั่นเองครับ
หลังจากเที่ยวในบาหลีแล้ววันที่ 1 มีนาคม 2562 เวลา 21.45 ผมได้นั่งเครื่องจากสนามบินเดนปาซาร์ หรือท่าอากาศยานนานาชาติงูระห์ไร (Ngurah Rai International Airport) ไปลงที่สนามบินสุราบายา หรือ ท่าอากาศยานนานาชาติจูอันดา (Juanda International Airport) ตอนเวลาประมาณ 21.50
เป็นการนั่งเครื่องบินย้อนเวลาครับแหะ ๆ เนื่องจากเวลาที่บาหลีจะเร็วกว่าที่สุราบายา 1 ชั่วโมง พอนั่งเครื่องย้อนไทม์โซนมาเลยได้เวลาคืนมา 1 ชั่วโมงไปนั่นเอง
พอมาถึงสนามบินสุราบายา คนขับรถที่จองไว้ก็มารับที่สนามบินและพาเตรียมขึ้นเขาไปชมพระอาทิตย์ขึ้น โดยระยะทางจากสนามบินไปถึงทางขึ้นภูเขาใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง และต้องนั่งรถจี๊บต่อไปอีกเกือบ 1 ชม.ครับ สถานที่ไปคือ "ภูเขาพานันจากัน" (Mount Penanjakan) ภูเขาที่มียอดสูงประมาณ 2,700 เมตรได้
พอไปถึงลงจากรถไกด์ที่ไปด้วยเอาผ้าห่มมาหุ้มตัวไว้กันหนาว ตอนเราเห็นก็ยังรู้สึกว่ามันหนาวขนาดนั้นเลยหรอ? ลงจากรถมาร่างกายเริ่มปรับอุนหภูมิกับสภาพแวดล้อมได้เท่านั้นล่ะ เสื้อกันหนาวที่เอาไปด้วยนี่กันแทบไม่อยู่ครับ มีอาการสั่นบ้างเล็กน้อย แต่ใครชอบอากาศเย็นผมแนะนำเลยครับ เดินผ่านร้านด่าง ๆ ก่อนถึงจุดชมวิวก็แวะหาอะไรร้อน ๆ ทานก่อน เริ่มหายงัวเงีย ตาสว่างเต็มที่ก็ไปรอยังจุดชมวิว
รอไปสักพัก ประมาณชั่วโมงได้ครับ -.,- แสงแรกเริ่มสาดเข้ามาให้เห็นแล้ว เคยฟังคำสอนหนึ่งที่เขาบอกว่าคนเรามี 3 วันในชีวิตเท่านั้นไหมครับ? คือเมื่อวานนี้ วันนี้ และก็พรุ่งนี้ สำหรับพรุ่งนี้เนี่ยเราไม่รู้ว่าจะมีกันหรือเปล่า ดังนั้นการได้ยืนรอจนเห็นแสงแรกของวันมันจึงมีความหมายสำหรับผมขึ้นมาเหมือนกับเราได้โอกาสอีกครั้ง โอกาสใช้ชีวิตอีก 1 วัน
พอเริ่มสว่างทิวทัศน์รอบข้างเริ่มชัดตามากขึ้น ถึงขั้นร้องโอ้โหออกมาครับตอนแรกที่ฟ้ายังไม่มืดเราเห็นแสงไฟจากหมู่บ้านข้างล่างก็คิดในใจว่าคงอดชมทะเลหมอกสะล่ะมั้งแต่ผิดคาดครับ ทันทีที่ฟ้าสว่างทะเลหมอกที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าอีกทั้งภูเขาไฟทั้งสามที่คล้ำตระหง่านพุ่งผ่านหมอกเบื้องล่างขึ้นมา สมชื่อเขาเลย "อัญมณีแห่งชวาตะวันออก"
วิวไฮไลท์ก็คือการที่เราเห็นภูเขาไฟสามลูกเรียงติดกันโดยหน้าสุดคือภูเขาไฟบาต๊อก (Mount Batok) ความสูงจากระดับน้ำทะเลอยู่ที่ 2,440 เมตร ขยับไปด้านหลังที่ควันกำลังกรุ่นออกมาคือภูเขาไฟโบรโม่ (Mount Bromo) ความสูงจากระดับน้ำทะเลอยู่ที่ 2,392 เมตร และลำดำสุดท้ายที่เห็นไกล ๆ สูงสุดนั่นคือภูเขาไฟเซมารู (Mount Semaru) ความสูงจากระดับน้ำทะเลอยู่ที่ 3,676 เมตร จะบอกว่าที่ภูเขาเซมารูมีเดินขึ้นเขาแบบหลาย ๆ วันที่เรียกว่า "เทรคกิ้ง" (trekking) ด้วยแหละ อันนี้เป็น wishlist ในใจของผมเองที่ต้องไปโดนให้ได้สักวันครับ
ความเชื่อของชาวพื้นเมืองที่น่าสนใจเกี่ยวกับภูเขาไฟโบรโม่ก็คือการที่เรานำดอกไม้โยนลงปากปล่องภูเขาไฟเพื่ออธิฐานขอพรให้ความรักสมหวัง ใครสนใจก็ลองมาทำตามดูนะครับผม มีพ่อค้าแม่ค้าเตรียมดอกไม้ไว้ให้บริเวณนั้นด้วยครับ แต่ต้องระวังตอนเดินเอาหน่อยเนื่องจากดินและทรายบริเวณปากปล่องค่อนข้างลื่นมาก
ส่วนอีกความเชื่อของชาวฮินดูในท้องถิ่นที่น่าสนใจคือ เดือนธันวาคมจะมีพิธี ยัดน์ยา คาซาดา (Yadnya Kasada) เป็นการบวงสรวงเทพเจ้าของชาวพื้นเมือง บ้างว่าทำพิธีในเวลาเที่ยงคืนของวันที่ 14 ธันวาคมของทุกปี บ้างว่าทำตอนวันพระจันทร์เต็มดวงในเดือนธันวาคมของทุกปี โดยพิธีจะมีการนำอาหาร ดอกไม้ ตลอดจนสัตว์บูชายัญไปโยนลงปากปล่องภูเขาไฟโบรโม่และก็ตั้งจิตอธิฐานขอพรต่อเทพเจ้า ซึ่ง "โบรโม่" ตามภาษาชวาจะตรงกับคำว่า "พรหม" เป็นชื่อของเทพเจ้าในศาสนาฮินดู พออ่านมาถึงตรงนี้ก็จะเข้าใจถึงที่มาของชื่อภูเขาได้มากขึ้น
ส่วนเรื่องที่มาของการสักการะบูชาที่เกิดขึ้นรวมไปถึงการขอพรความรักนั้นมาจากไหน ผมลองหาข้อมูลมาให้อ่านเพลิน ๆ ดูครับ โดยความเชื่อนี้มาจากนิทานพื้นบ้านของชาวพื้นเมือง เรื่องมีอยู่ว่ามีกษัตริย์พระนามว่า โยคโก เซเกร์ (Joko Seger) ปกครองอาณาจักรมัชปาหิต (ภาษาชวา Karaton Majapahit, ภาษาอินโดนีเซีย Kerajaan Majapahit) ท่านไม่มีผู้สืบเชื้อสายของตน
ความนี้ทำให้ตัวท่านเป็นที่ไม่สบายพระทัยเป็นอันมากจึงแสวงหาหนทางที่ทำให้ตนมีพระโอรสหรือพระธิดาให้ได้ ต่อมาปุโรหิตที่รับใช้พระองค์ก็ได้แนะนำถึงการขอพรต่อเทพเจ้าพรหมแห่งภูเขาไฟ(ต่อมาก็คือภูเขาไฟโบรโม่) แต่พรที่ได้รับนั้นไม่ได้จะได้กันโดยไม่มีเงื่อนไขต่อรองอะไร ต้องมีการแลกเปลี่ยนกัน โดยสิ่งที่ต้องทำการแลกเปลี่ยนนั้นคือบุตรคนสุดท้ายของพระองค์ พอทราบดังนั้นท่านก็จัดแจงเสด็จไปยังปากปล่องภูเขาไฟและทำการสวดอ้อนวอนต่อเทพเจ้าเพื่อขอบุตรธิดา
คำอ้อนวอนนั้นได้ผลเป็นอัศจรรย์ ปรากฏว่าท่านมีบุตรธิดารวมกันถึง 20 กว่าพระองค์ ตอนประสูติพระโอรสและพระธิดาก็เฉลิมฉลองใหญ่โต แต่ในพระทัยของท่านก็ไม่สู้ดีนักเนื่องจากจำคำสัญญาที่ให้ไว้ต่อเทพเจ้าได้อย่างดี ทุกครั้งที่ประสูติพระโอรสหรือพระธิดา พระทัยที่เกรงกลัวว่าจะมีการมาช่วงชิงเอาดวงหฤทัยของท่านไปก็บังเกิดทุกขณะ เพราะแม้แต่ตัวท่านเองก็ไม่ทราบได้ว่าบุตรธิดาที่เกิดคนล่าสุดนั้นจะเป็นคนสุดท้ายหรือไม่ ท่านจึงนำตัวพระโอรสหรือพระธิดาไปซ่อนไว้ทำเช่นนี้สืบมา
พอมาถึงพระโอรสพระนามว่า Kesuma (แปลเป็นไทยว่า ดอกไม้ ผมว่าถ้าอยู่ไทยท่านต้องชื่อ เกศสุมา แน่นอน) ตัวกษัตริย์เองก็ไม่มีบุตรธิดาอีกเลยสัญญาในใจที่ให้ไว้ก็รัดรึงพระทัยท่านเข้าทุกเมื่อเชื่อวัน ทุกครั้งที่มองพระโอรสเติบใหญ่พระทัยก็มีความสุขแต่ก็ไม่พ้นความทุกข์จากคำสัญญาที่ให้ไว้ผสมปนเปกัน และด้วยเหตุผลอะไรไม่ทราบได้ ตัวท่านเองก็ทรงรักและเมตตาต่อพระโอรสองค์นี้เป็นอันมาก ท่านก็ทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะไม่ต้องเสียดวงหฤทัยของท่านไป เช่นเคยท่านนำพระโอรสไปซ่อนไว้เพื่อไม่ให้เทพเจ้าทราบถึงการมีอยู่ของพระโอรส
ต่อมามีการปะทุของภูเขาไฟที่ท่านไปบวงสรวงไว้อย่างหนัก เสียงดังกึกก้องไปทั่วแผ่นดินเถ้าถ่านและก๊าซพุ่งสูงขึ้นไต่ระดับความรุนแรงจาก การประทุธรรมดาจนกระทั่งมาถึงการประทุวัลเคเนียน (Vulcanian Eruption) เนื่องจากลักษณะของภูเขาไฟโบรโม่มีรูปร่างลักษณะเหมือนกรวยสูงที่คว่ำอยู่แต่มีฐานแผ่นใหญ่และมีความลาดจากปากปล่องมาที่ฐาน (Composite Cone Volcano หรือ Stratovolcano) จัดอยู่ในหมวดของภูเขาไฟฟูจิที่ญี่ปุ่นดังนั้นแล้วความแรงของการปะทุก็ย่อมแรงกว่าภูเขาไฟรูปโล่ (Shield Volcano) หมายถึงภูเขาไฟที่มีขนาดใหญ่เกิดจากลาวาชนิดบาซอลท์ที่ไหลด้วยความหนืดต่ำ ลาวาที่ไหลมาจากปล่องกลาง และไม่กองสูงชัน เหมือนภูเขาไฟชนิดกรวยสลับชั้น ภูเขาไฟชนิดนี้มักจะเป็นภูเขาไฟที่ใหญ่ เช่น ภูเขาไฟ Mauna Loa ที่ฮาวาย
การยกระดับของภัยพิบัติยังความเดือดร้อนให้แกไพร่ฟ้าและชาวเมืองมัชปาหิตเป็นอันมาก เพราะเถ้าฝุ่นและก๊าซที่ออกมาจากปล่องภูเขาไฟนั้นเริ่มทำอันตรายต่อผู้คนและไร่นา ผู้คนต่างพูดถึงสาเหตุภัยพิบัติ อาเพศ ไปต่าง ๆ นานา โดยที่ตัวกษัตริย์นั้นทราบดีว่ามาจากเหตุผลกลใด ความนี้ได้ถึงแก่พระโอรส Kesuma และท่านก็ทราบเรื่องข้อสัญญาของพระบิดาและเทพเจ้าพรหมแห่งภูเขาไฟ ท่านได้ทัดทานการห้ามปรามของพระบิดาและประสงค์ที่จะเสียสละตนเพื่อไพร่ฟ้าประชนในอาณาจักรมัชปาหิต เมื่อท่านเสด็จถึงปากปล่องภูเขาไฟท่านก็ได้กระโดดลงไปเพื่อทำตามคำสัญญาที่ให้ไว้ของพระบิดาตนเองต่อเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ในตอนที่กระโดดลงไปนั้นท่านได้เปล่งวาจาว่า "ขอให้ความสงบสุขบังเกิดแก่ทุกคนและขอให้มีชีวิตที่เจริญรุ่งเรือง อย่าลืมที่จะให้การพึ่งพาอาศัยกันและกัน และจงทำการบูชาสักการะต่อเทพเจ้าสืบต่อไป" ความอัศจรรย์ที่ตามมาก็คือภูเขาไฟกลับมาสงบลง
ทั้งหมดนี้จึงเป็นที่มาของการสักการะเทพเจ้าโบรโม่โดยการโยนดอกไม้ไปที่ปากปล่องภูเขาไฟนั่นเอง
เป็นนิทานสไตล์ผมเองครับ เอาความรู้ไปผสมตรงนั้นนิดตรงนี้หน่อย ขอขอบคุณแหล่งที่มาของข้อมูลในลิงค์ข้างล่างครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้1)
https://fzeron.wordpress.com/2016/09/15/%E0%B8%A0%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B9%84%E0%B8%9F%E0%B9%82%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B9%82%E0%B8%A1%E0%B9%88-bromo-%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B9%80/
2)
https://www.volcanodiscovery.com/bromo.html
3)
https://suriluk.wordpress.com/2013/02/15/%E0%B8%A0%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B9%84%E0%B8%9F%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%86/
4) ความคิดเห็นที่ 3
https://ppantip.com/topic/37325383
อ่านจากอินเตอร์เน็ตเจอที่ไหนสักแห่งบอกว่า "ไม่มีภาพใดสวยเท่าภาพที่ตาเราเห็น" ณ ตรงนั้น ประโยคนี้ผุดขึ้นในใจผมทันที และก็ "ไม่มีกล้องตัวไหนบันทึกสิ่งต่าง ๆ ที่ตาเราเห็นได้ดีเท่าใจของเราเอง" ก็ตามเข้ามาในใจติด ๆ
จากนั้นผมใช้เวลาต่ออีกประมาณชั่วโมงเก็บบรรยากาศประทับใจ และจึงเดินลงมาที่จอดรถเพื่อไปสถานที่ถัดไปต่อ โดยทิวทัศน์ระหว่างทางที่เห็นก็ต้องบอกได้แค่ว่ามันจับใจจริง ๆ ครับ แบบถ้ามีโอกาสขอมาอีกรอบได้ไหม
ในความโชคดีที่ได้เห็นทะเลหมอกก็มีความโชคร้ายเกิดขึ้นครับเนื่องจากข่าวของทางช่อง 7 (ประเทศไทย)
https://news.ch7.com/detail/332388 ได้รายงานว่า
"ภูเขาไฟโบรโมที่ขึ้นชื่อเรื่องความสวยงามและตั้งอยู่บนเกาะชวาตะวันออกของอินโดนีเซีย เริ่มปะทุหนักตั้งแต่ช่วงเช้าวันจันทร์ที่ผ่านมา พ่นเถ้าถ่านสีเทาหนาทึบ และเถ้าถ่านขึ้นไปใน อากาศสูงถึง 3,700 เมตร
ภูเขาไฟโบรโมที่ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติโบรโม เทงเกอร์เซมารู ปะทุอย่างหนัก เจ้าหน้าที่สั่งห้ามนักท่องเที่ยวเข้าใกล้รัศมีราว1 กิโลเมตร และขอให้ประชาชน หาผ้าปิดปาก และจมูก เพื่อไม่ให้สูดดมควันและเถ้าถ่านเข้าไป พร้อมเตือนว่า ภูเขาไฟอาจปะทุหนักขึ้น และพ่นเถ้าถ่านสูงกว่านี้"
ข่าวรายงานวันที่ 19 มีนาคม 2562 นั่นก็หมายความว่าภูเขาไฟโบรโม่ปะทุไปเมื่อวันที่ 15 มีนาคม2562 แต่มันก็ผ่านมาตั้งครึ่งเดือนแล้วนะไม่น่ามีปัญหามั้ง เพราะวันที่ผมอยู่โบรโม่คือวันที่ 2 - 3 เมษายน 2562 ไกด์ที่ไปด้วยบอกว่า "เนื่องจากมีการปะทุของภูเขาไฟโบรโม่ จึงทำให้การปีนไปยังปากปล่องภูเขาไฟทำไม่ได้" พอฟังแบบนั้นก็นึกอดเสียดายไม่ได้ไว้คราวหน้าล่ะกัน
[CR] ทริปตามหาอัญมณีแห่งชวาตะวันออก ไปส่องภูเขาไฟโบรโม่ปะทุ
เนื่องด้วยเป็นการเขียนกระทู้แนวนี้เป็นครั้งแรก ขาดตกบกพร่องอะไรไปจึงขอให้ไปโทษอาจารย์ภาษาไทย เอ้ย! ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ (-/\-)
เริ่มแรกเลยคือ "อัญมณีแห่งชวาตะวันออก" หรือที่รู้จักกันในชื่อ "ภูเขาไฟโบรโม่" นั่นเองครับ
หลังจากเที่ยวในบาหลีแล้ววันที่ 1 มีนาคม 2562 เวลา 21.45 ผมได้นั่งเครื่องจากสนามบินเดนปาซาร์ หรือท่าอากาศยานนานาชาติงูระห์ไร (Ngurah Rai International Airport) ไปลงที่สนามบินสุราบายา หรือ ท่าอากาศยานนานาชาติจูอันดา (Juanda International Airport) ตอนเวลาประมาณ 21.50
เป็นการนั่งเครื่องบินย้อนเวลาครับแหะ ๆ เนื่องจากเวลาที่บาหลีจะเร็วกว่าที่สุราบายา 1 ชั่วโมง พอนั่งเครื่องย้อนไทม์โซนมาเลยได้เวลาคืนมา 1 ชั่วโมงไปนั่นเอง
พอมาถึงสนามบินสุราบายา คนขับรถที่จองไว้ก็มารับที่สนามบินและพาเตรียมขึ้นเขาไปชมพระอาทิตย์ขึ้น โดยระยะทางจากสนามบินไปถึงทางขึ้นภูเขาใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง และต้องนั่งรถจี๊บต่อไปอีกเกือบ 1 ชม.ครับ สถานที่ไปคือ "ภูเขาพานันจากัน" (Mount Penanjakan) ภูเขาที่มียอดสูงประมาณ 2,700 เมตรได้
พอไปถึงลงจากรถไกด์ที่ไปด้วยเอาผ้าห่มมาหุ้มตัวไว้กันหนาว ตอนเราเห็นก็ยังรู้สึกว่ามันหนาวขนาดนั้นเลยหรอ? ลงจากรถมาร่างกายเริ่มปรับอุนหภูมิกับสภาพแวดล้อมได้เท่านั้นล่ะ เสื้อกันหนาวที่เอาไปด้วยนี่กันแทบไม่อยู่ครับ มีอาการสั่นบ้างเล็กน้อย แต่ใครชอบอากาศเย็นผมแนะนำเลยครับ เดินผ่านร้านด่าง ๆ ก่อนถึงจุดชมวิวก็แวะหาอะไรร้อน ๆ ทานก่อน เริ่มหายงัวเงีย ตาสว่างเต็มที่ก็ไปรอยังจุดชมวิว
รอไปสักพัก ประมาณชั่วโมงได้ครับ -.,- แสงแรกเริ่มสาดเข้ามาให้เห็นแล้ว เคยฟังคำสอนหนึ่งที่เขาบอกว่าคนเรามี 3 วันในชีวิตเท่านั้นไหมครับ? คือเมื่อวานนี้ วันนี้ และก็พรุ่งนี้ สำหรับพรุ่งนี้เนี่ยเราไม่รู้ว่าจะมีกันหรือเปล่า ดังนั้นการได้ยืนรอจนเห็นแสงแรกของวันมันจึงมีความหมายสำหรับผมขึ้นมาเหมือนกับเราได้โอกาสอีกครั้ง โอกาสใช้ชีวิตอีก 1 วัน
พอเริ่มสว่างทิวทัศน์รอบข้างเริ่มชัดตามากขึ้น ถึงขั้นร้องโอ้โหออกมาครับตอนแรกที่ฟ้ายังไม่มืดเราเห็นแสงไฟจากหมู่บ้านข้างล่างก็คิดในใจว่าคงอดชมทะเลหมอกสะล่ะมั้งแต่ผิดคาดครับ ทันทีที่ฟ้าสว่างทะเลหมอกที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าอีกทั้งภูเขาไฟทั้งสามที่คล้ำตระหง่านพุ่งผ่านหมอกเบื้องล่างขึ้นมา สมชื่อเขาเลย "อัญมณีแห่งชวาตะวันออก"
วิวไฮไลท์ก็คือการที่เราเห็นภูเขาไฟสามลูกเรียงติดกันโดยหน้าสุดคือภูเขาไฟบาต๊อก (Mount Batok) ความสูงจากระดับน้ำทะเลอยู่ที่ 2,440 เมตร ขยับไปด้านหลังที่ควันกำลังกรุ่นออกมาคือภูเขาไฟโบรโม่ (Mount Bromo) ความสูงจากระดับน้ำทะเลอยู่ที่ 2,392 เมตร และลำดำสุดท้ายที่เห็นไกล ๆ สูงสุดนั่นคือภูเขาไฟเซมารู (Mount Semaru) ความสูงจากระดับน้ำทะเลอยู่ที่ 3,676 เมตร จะบอกว่าที่ภูเขาเซมารูมีเดินขึ้นเขาแบบหลาย ๆ วันที่เรียกว่า "เทรคกิ้ง" (trekking) ด้วยแหละ อันนี้เป็น wishlist ในใจของผมเองที่ต้องไปโดนให้ได้สักวันครับ
ความเชื่อของชาวพื้นเมืองที่น่าสนใจเกี่ยวกับภูเขาไฟโบรโม่ก็คือการที่เรานำดอกไม้โยนลงปากปล่องภูเขาไฟเพื่ออธิฐานขอพรให้ความรักสมหวัง ใครสนใจก็ลองมาทำตามดูนะครับผม มีพ่อค้าแม่ค้าเตรียมดอกไม้ไว้ให้บริเวณนั้นด้วยครับ แต่ต้องระวังตอนเดินเอาหน่อยเนื่องจากดินและทรายบริเวณปากปล่องค่อนข้างลื่นมาก
ส่วนอีกความเชื่อของชาวฮินดูในท้องถิ่นที่น่าสนใจคือ เดือนธันวาคมจะมีพิธี ยัดน์ยา คาซาดา (Yadnya Kasada) เป็นการบวงสรวงเทพเจ้าของชาวพื้นเมือง บ้างว่าทำพิธีในเวลาเที่ยงคืนของวันที่ 14 ธันวาคมของทุกปี บ้างว่าทำตอนวันพระจันทร์เต็มดวงในเดือนธันวาคมของทุกปี โดยพิธีจะมีการนำอาหาร ดอกไม้ ตลอดจนสัตว์บูชายัญไปโยนลงปากปล่องภูเขาไฟโบรโม่และก็ตั้งจิตอธิฐานขอพรต่อเทพเจ้า ซึ่ง "โบรโม่" ตามภาษาชวาจะตรงกับคำว่า "พรหม" เป็นชื่อของเทพเจ้าในศาสนาฮินดู พออ่านมาถึงตรงนี้ก็จะเข้าใจถึงที่มาของชื่อภูเขาได้มากขึ้น
ส่วนเรื่องที่มาของการสักการะบูชาที่เกิดขึ้นรวมไปถึงการขอพรความรักนั้นมาจากไหน ผมลองหาข้อมูลมาให้อ่านเพลิน ๆ ดูครับ โดยความเชื่อนี้มาจากนิทานพื้นบ้านของชาวพื้นเมือง เรื่องมีอยู่ว่ามีกษัตริย์พระนามว่า โยคโก เซเกร์ (Joko Seger) ปกครองอาณาจักรมัชปาหิต (ภาษาชวา Karaton Majapahit, ภาษาอินโดนีเซีย Kerajaan Majapahit) ท่านไม่มีผู้สืบเชื้อสายของตน
ความนี้ทำให้ตัวท่านเป็นที่ไม่สบายพระทัยเป็นอันมากจึงแสวงหาหนทางที่ทำให้ตนมีพระโอรสหรือพระธิดาให้ได้ ต่อมาปุโรหิตที่รับใช้พระองค์ก็ได้แนะนำถึงการขอพรต่อเทพเจ้าพรหมแห่งภูเขาไฟ(ต่อมาก็คือภูเขาไฟโบรโม่) แต่พรที่ได้รับนั้นไม่ได้จะได้กันโดยไม่มีเงื่อนไขต่อรองอะไร ต้องมีการแลกเปลี่ยนกัน โดยสิ่งที่ต้องทำการแลกเปลี่ยนนั้นคือบุตรคนสุดท้ายของพระองค์ พอทราบดังนั้นท่านก็จัดแจงเสด็จไปยังปากปล่องภูเขาไฟและทำการสวดอ้อนวอนต่อเทพเจ้าเพื่อขอบุตรธิดา
คำอ้อนวอนนั้นได้ผลเป็นอัศจรรย์ ปรากฏว่าท่านมีบุตรธิดารวมกันถึง 20 กว่าพระองค์ ตอนประสูติพระโอรสและพระธิดาก็เฉลิมฉลองใหญ่โต แต่ในพระทัยของท่านก็ไม่สู้ดีนักเนื่องจากจำคำสัญญาที่ให้ไว้ต่อเทพเจ้าได้อย่างดี ทุกครั้งที่ประสูติพระโอรสหรือพระธิดา พระทัยที่เกรงกลัวว่าจะมีการมาช่วงชิงเอาดวงหฤทัยของท่านไปก็บังเกิดทุกขณะ เพราะแม้แต่ตัวท่านเองก็ไม่ทราบได้ว่าบุตรธิดาที่เกิดคนล่าสุดนั้นจะเป็นคนสุดท้ายหรือไม่ ท่านจึงนำตัวพระโอรสหรือพระธิดาไปซ่อนไว้ทำเช่นนี้สืบมา
พอมาถึงพระโอรสพระนามว่า Kesuma (แปลเป็นไทยว่า ดอกไม้ ผมว่าถ้าอยู่ไทยท่านต้องชื่อ เกศสุมา แน่นอน) ตัวกษัตริย์เองก็ไม่มีบุตรธิดาอีกเลยสัญญาในใจที่ให้ไว้ก็รัดรึงพระทัยท่านเข้าทุกเมื่อเชื่อวัน ทุกครั้งที่มองพระโอรสเติบใหญ่พระทัยก็มีความสุขแต่ก็ไม่พ้นความทุกข์จากคำสัญญาที่ให้ไว้ผสมปนเปกัน และด้วยเหตุผลอะไรไม่ทราบได้ ตัวท่านเองก็ทรงรักและเมตตาต่อพระโอรสองค์นี้เป็นอันมาก ท่านก็ทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะไม่ต้องเสียดวงหฤทัยของท่านไป เช่นเคยท่านนำพระโอรสไปซ่อนไว้เพื่อไม่ให้เทพเจ้าทราบถึงการมีอยู่ของพระโอรส
ต่อมามีการปะทุของภูเขาไฟที่ท่านไปบวงสรวงไว้อย่างหนัก เสียงดังกึกก้องไปทั่วแผ่นดินเถ้าถ่านและก๊าซพุ่งสูงขึ้นไต่ระดับความรุนแรงจาก การประทุธรรมดาจนกระทั่งมาถึงการประทุวัลเคเนียน (Vulcanian Eruption) เนื่องจากลักษณะของภูเขาไฟโบรโม่มีรูปร่างลักษณะเหมือนกรวยสูงที่คว่ำอยู่แต่มีฐานแผ่นใหญ่และมีความลาดจากปากปล่องมาที่ฐาน (Composite Cone Volcano หรือ Stratovolcano) จัดอยู่ในหมวดของภูเขาไฟฟูจิที่ญี่ปุ่นดังนั้นแล้วความแรงของการปะทุก็ย่อมแรงกว่าภูเขาไฟรูปโล่ (Shield Volcano) หมายถึงภูเขาไฟที่มีขนาดใหญ่เกิดจากลาวาชนิดบาซอลท์ที่ไหลด้วยความหนืดต่ำ ลาวาที่ไหลมาจากปล่องกลาง และไม่กองสูงชัน เหมือนภูเขาไฟชนิดกรวยสลับชั้น ภูเขาไฟชนิดนี้มักจะเป็นภูเขาไฟที่ใหญ่ เช่น ภูเขาไฟ Mauna Loa ที่ฮาวาย
การยกระดับของภัยพิบัติยังความเดือดร้อนให้แกไพร่ฟ้าและชาวเมืองมัชปาหิตเป็นอันมาก เพราะเถ้าฝุ่นและก๊าซที่ออกมาจากปล่องภูเขาไฟนั้นเริ่มทำอันตรายต่อผู้คนและไร่นา ผู้คนต่างพูดถึงสาเหตุภัยพิบัติ อาเพศ ไปต่าง ๆ นานา โดยที่ตัวกษัตริย์นั้นทราบดีว่ามาจากเหตุผลกลใด ความนี้ได้ถึงแก่พระโอรส Kesuma และท่านก็ทราบเรื่องข้อสัญญาของพระบิดาและเทพเจ้าพรหมแห่งภูเขาไฟ ท่านได้ทัดทานการห้ามปรามของพระบิดาและประสงค์ที่จะเสียสละตนเพื่อไพร่ฟ้าประชนในอาณาจักรมัชปาหิต เมื่อท่านเสด็จถึงปากปล่องภูเขาไฟท่านก็ได้กระโดดลงไปเพื่อทำตามคำสัญญาที่ให้ไว้ของพระบิดาตนเองต่อเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ในตอนที่กระโดดลงไปนั้นท่านได้เปล่งวาจาว่า "ขอให้ความสงบสุขบังเกิดแก่ทุกคนและขอให้มีชีวิตที่เจริญรุ่งเรือง อย่าลืมที่จะให้การพึ่งพาอาศัยกันและกัน และจงทำการบูชาสักการะต่อเทพเจ้าสืบต่อไป" ความอัศจรรย์ที่ตามมาก็คือภูเขาไฟกลับมาสงบลง
ทั้งหมดนี้จึงเป็นที่มาของการสักการะเทพเจ้าโบรโม่โดยการโยนดอกไม้ไปที่ปากปล่องภูเขาไฟนั่นเอง
เป็นนิทานสไตล์ผมเองครับ เอาความรู้ไปผสมตรงนั้นนิดตรงนี้หน่อย ขอขอบคุณแหล่งที่มาของข้อมูลในลิงค์ข้างล่างครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
อ่านจากอินเตอร์เน็ตเจอที่ไหนสักแห่งบอกว่า "ไม่มีภาพใดสวยเท่าภาพที่ตาเราเห็น" ณ ตรงนั้น ประโยคนี้ผุดขึ้นในใจผมทันที และก็ "ไม่มีกล้องตัวไหนบันทึกสิ่งต่าง ๆ ที่ตาเราเห็นได้ดีเท่าใจของเราเอง" ก็ตามเข้ามาในใจติด ๆ
จากนั้นผมใช้เวลาต่ออีกประมาณชั่วโมงเก็บบรรยากาศประทับใจ และจึงเดินลงมาที่จอดรถเพื่อไปสถานที่ถัดไปต่อ โดยทิวทัศน์ระหว่างทางที่เห็นก็ต้องบอกได้แค่ว่ามันจับใจจริง ๆ ครับ แบบถ้ามีโอกาสขอมาอีกรอบได้ไหม
ในความโชคดีที่ได้เห็นทะเลหมอกก็มีความโชคร้ายเกิดขึ้นครับเนื่องจากข่าวของทางช่อง 7 (ประเทศไทย) https://news.ch7.com/detail/332388 ได้รายงานว่า
"ภูเขาไฟโบรโมที่ขึ้นชื่อเรื่องความสวยงามและตั้งอยู่บนเกาะชวาตะวันออกของอินโดนีเซีย เริ่มปะทุหนักตั้งแต่ช่วงเช้าวันจันทร์ที่ผ่านมา พ่นเถ้าถ่านสีเทาหนาทึบ และเถ้าถ่านขึ้นไปใน อากาศสูงถึง 3,700 เมตร
ภูเขาไฟโบรโมที่ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติโบรโม เทงเกอร์เซมารู ปะทุอย่างหนัก เจ้าหน้าที่สั่งห้ามนักท่องเที่ยวเข้าใกล้รัศมีราว1 กิโลเมตร และขอให้ประชาชน หาผ้าปิดปาก และจมูก เพื่อไม่ให้สูดดมควันและเถ้าถ่านเข้าไป พร้อมเตือนว่า ภูเขาไฟอาจปะทุหนักขึ้น และพ่นเถ้าถ่านสูงกว่านี้"
ข่าวรายงานวันที่ 19 มีนาคม 2562 นั่นก็หมายความว่าภูเขาไฟโบรโม่ปะทุไปเมื่อวันที่ 15 มีนาคม2562 แต่มันก็ผ่านมาตั้งครึ่งเดือนแล้วนะไม่น่ามีปัญหามั้ง เพราะวันที่ผมอยู่โบรโม่คือวันที่ 2 - 3 เมษายน 2562 ไกด์ที่ไปด้วยบอกว่า "เนื่องจากมีการปะทุของภูเขาไฟโบรโม่ จึงทำให้การปีนไปยังปากปล่องภูเขาไฟทำไม่ได้" พอฟังแบบนั้นก็นึกอดเสียดายไม่ได้ไว้คราวหน้าล่ะกัน
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้