เราเป็นไบโพล่าร์ผู้ป่วยจิตเวชคนนึงที่แค่หาพื้นที่ระบาย

เราเป็นผู้ป่วยจิตเวช เราถูกวินิจฉัย ว่าเราเป็นไบโพล่าร์ ทำไมเราถึงรู้ตัวแล้วไปหาหมอ..? คือจิงๆเราไม่เคยรู้ตัวด้วยซ้ำ เราเปนคนอัธยาศัยดี เข้ากับคนง่าย คุยเก่ง และเปนคนชอบทำให้คนอื่นหัวเราะและมีความสุข เราชอบเห็นคนมีความสุข เราชอบเห็นคนยิ้ม เราชอบเห็นคนรักกัน เราเรียนจบนันทนาการท่องเที่ยวมา ซึ่งเราก็ได้ไปทำกิจกรรมนันทนาการให้กับหลายๆบริษัท ไปสร้างความสัมพันธ์ ไปสร้างกิจกรรมให้คนมีความสุข สนุกสนาน บวกสาระปนกันไป แต่เราไม่ใช่ตัววิทยากรนะ เราเปนสตาฟ แต่ในบางสถานะการสตาฟก็ประหนึ่งวิทยากรเพราะสตาฟต้องเปนผู้นำทำกิจกรรมต่างๆ ซึ่งสตาฟต้องเข้าถึงตัวบุคคล ทำให้คนที่น่าเบื่อๆ เซงๆ ลุกขึ้นมาแล้วยิ้มหัวเราะทำกิจกรรมกับเราได้ และเราก็รับงานสตาฟ ไกด์ ออกทัวร์ นำเที่ยว ทำพวกนี้เป็นฟรีเล้นท์ ซึ่งเวลาเราออกทัวร์เราจับไมค์ เราต้องอะเริด น่ายิ้ม และทำให้คนสนใจเรา ซึ่งสิ่งเหล่านี้มันคืองานบริการอย่างหนึ่ง ใครจะไปรู้ว่าคนบ้าๆบอๆขี้เล่นแบบเราจะเป็นไบโพล่าร์ เราทำงานประจำด้วย เราทำการตลาดในบริษัทสีผมแบรนด์หนึ่ง เราทำด้านMarcom Online เปนพนักงานฝ่ายสื่อสารการตลาดช่องทางออนไลน์ที่ไม่เคยได้นั่งติดโต๊ะ เพราะเราเปนเราแบบนี้แหละ เรากล้าคิด กล้าพูด กล้าทำ จะผิดก็ช่าง เอาใหม่ เรากล้าแสดงออก เรากล้าเผชิญสิ่งต่างๆ เจ้านายก็เลยให้เราออกอีเว้นกับพวกทีมแอคทิวิตี้อยู่บ่อยๆ หัวหมุนสิช่วงนั้น เพราะมันต้องออกมาข้างนอกแถมยังต้องทำงานที่จิงๆเราต้องนั่งในออฟฟิตด้วย เราต้องคิดคอนเท้นเพื่อลงสื่ออนไลน์ ไหนจะลงพื้นที่ก็ทำสื่อออนไลน์เหมือนกัน เปนแบบไลฟ์สดเพจช่องของบริษัท ใช้คุ้มว่างั้น ไหนจะต้องทำทดลองสินค้าของบริษัทอีก ต้องทำคลิปตัดต่ออีก เราทำงานทันทุกอย่างทำได้ทุกอย่าง เร็วบ้าง ช้าบ้าง แต่เรายิ้มและมีความสุขกับการทำงาน เราทำงานอย่างมีความสุขแบบวุ่นวายแบบนี้มาเปนปีไม่เคยมีใครทักอะไร ลืมบอกเรามีแฟน เรามีลูกน้อย ตอนนั้นลูกเราประมาน1ขวบนี้แหละ เราเหมือนมีปัญหากับชีวิตคู่ เราเหนื่อย แต่จิงๆมันก็มีปัญหามาตั้งแต่ท้องตั้งแต่มีแฟนแล้วแหละ แต่คือแยกแยะไงทำงานปกติ แต่อยู่มาวันนึงเราทำงานไม่เสด เราต้องเอางานกลับไปทำที่บ้าน แล้วเราก็เริ่มรู้สึกว่าเราทำงานไม่ได้เหมือนเมื่อก่อน คล้ายๆไฟหมด ก็พยายามเติมไฟให้ตัวเองนะ แต่มันน่าจะหนักอาจจะไปทั้งสีน่าและน้ำเสียงหรือกิริยาทุกอย่าง จนมีคนทัก เปนรุ่นพี่ที่ทำงานนั้นแหละ ทักคนแรก “แกรู้ตัวไหม แกไม่เหมือนแกคนน่ารักที่พี่รู้จักเมื่อก่อนเลยคนน่ารักคนนั้นหายไปไหน”อีเรานี้ก็งง แต่ก็ไม่ได้สนใจไรมาก จนพี่เขาพูดว่า “แกเปนอะไรรึป่าว ป่วยรึป่าว มีเรื่องเครียดหรอ” งงไปอีกทีนี้ ถามกลับเรยทำไมว่ะพี่นู๋เปลี่ยนไปหรอ พี่เขาบอกใช่ แกดูซึมเศร้าตลอดเวลาคือปกติแกเปนคนพูดมากอ่ะแต่ระยะหลังมานี้แกเงียบผิดปกติ อีเราก็ตอบรุ่นพี่งานเยอะพี่ก็ต้องเร่งทำมัวแต่เล่นเด๋วไม่เสด พี่เขาก็พูดอีกเมื่อก่อนก็ยุ่งวุ่นวายแบบนี้ยังเล่นยังพูดมากกว่านี้อีก แล้วพี่เขาก็พูดว่าเปนไบโพล่าร์ป่ะเนี้ยะได้ยินครั้งแรกขำเรยจ้า นี้เราตอบกลับไปคนบ้าแบบนู๋เนี้ยะนะสงสัยจะเปนมั่งพี่ พูดไปขำไป ยังไม่รู้ตัวเอง จนพี่คนที่2ทัก ทักเหมือนกันเป๊ะ..! นี้ก็บอกว่ามีคนทักแบบพี่มาคนนึงล่ะ นู๋มันคนบ้าพี่จะมาเปนอะไรไบโพล่าร์ ต่อมาคนที่3เปนรุ่นพี่ที่สนิทมาก ทักอีกเหมือนกันเป๊ะ..! แต่คนนี้ทักแรงสุด บอกให้ไปหาหมอ กูว่าเปนไบโพล่าร์ แล้วยังไงล่ะ 3 คนทักแบบนี้ อีนี้ก็เริ่มจะหรือกูควรไปหาหมอว่ะ พอดีวันนั้นป่วยไม่สบายไปโรงพยาบาล ก็เลยลองถามหมอว่าประกันสังคมครอบคลุมถึงแผนกจิตเวชไหมค่ะ หมอมองน่าแล้วบอกว่าเด๋วหมอนัดให้นะ ครั้งแรกที่พบหมอจิตเวช พูดอะไรไม่ออก ไม่รู้จะพูดยังไง จนหมอถามว่าอยากถามอะไรหมอ อยากคุยอะไรกับหมอไหม นี้ก็เลยพูดไปว่ามีรุ่นพี่ทักนู๋ว่านู๋เปนไบโพล่าร์ค่ะ หมอก็เริ่มตั้งคำถามให้เราตอบ มีคำถามหนึ่งที่หมอถามคือเคยนั่งโง่ๆแบบไม่ทำอะไรไหม นี้ก็บอกหมอว่าเคยค่ะ หมอถามว่านั่งที่ไหน นี้ก็ตอบในห้องน้ำค่ะ หมอถามเล่นโทรศัพท์ดูหนังรึป่าว นี้ตอบป่าวค่ะ ไม่เอาโทรศัพท์เข้าไปค่ะ นั่งโง่ๆจิงๆค่ะ นั่งล่องลอยคิดอะไรไม่รู้เรื่อยเปื่อยเยอะแยะจนหาใจความไม่ได้ หมอถามต่อเวลานานเท่าไหร่ นี้ก็ตอบรู้ตัวอีกทีก็เช้าแล้วค่ะ นั่งตั้งแต่ประมาน4หรือ5ทุ่ม เพราะนอนไม่หลับออกมาเข้าห้องน้ำแล้วก็นั่งโง่ๆไปเลย หมอพูดว่า อืม นี้ถามหมอ อืมคือไรค่ะ หมอบอกก็เขาขั้นนะเราอ่ะ เริ่มใจไม่ดี หมอถามหลายคำถามมากจำไม่ได้ล่ะ จนสุดท้ายหมอบอกว่า หมอจะให้ยากลับไปกินนะ ต้องกินยานะ ห้ามดื้อนะ นี้ก็ถามหมออีกสรุปคือ หมอบอกว่า90%ที่เปนไบโพล่าร์ ในใจคือแบบ หมอค่ะจะเหลือไว้ทำไมอีก10% ออกมาจากห้องหมอเท่านั้นแหละ ร้องไห้จ้าาาา บอกใครก็ไม่มีใครเชื่อว่าเราเป็นไบโพล่าร์ ด้วยนิสัยเราเปนคนยิ้มแย้มแจ่มใสเป็นคนสนุกอ่ะ หลังจากรับยารับใบนัดครั้งต่อไป และรับใบรับรองแพทย์ ในใบก็เขียนวินิจฉัยว่าเป็นไบโพล่าร์ ย้ำกูไปอีก กลับบ้านกินยาตามหมอสั่งทำอยู่ได้ระยะนึง ดื้อไง กินบ้าง ไม่กินบ้าง หาวิธีบำบัดตัวเองโดยการไม่กินยา และสุดท้ายไม่ไปตามที่หมอนัด ที่ดื้อไม่กินยาเพราะกลัวจะติดยาพวกนี้ หนี้การพบแพทย์มา1ปี 1ปีที่ผ่านมา มันสุดแสนจะทรมาน เรามีภาวะเหมือนคนเป็นโรคซึมเศร้าที่ต้องการจะฆ่าตัวตาย มันไม่ใช่แค่คิดจะฆ่าเฉยๆ แต่มันหาวิธีด้วย แต่สิ่งที่ทำให้เราไม่ทำไม่ฆ่าตัวเราเองคือลูกเรา ทุกครั้งที่เรามีความคิดเราจะมากอดลูกเรา และเราก็นอนไม่หลับ อยากนอนมาก แต่นอนไม่หลับ คนเราแค่2-3วันร่างกายก็แย่แล้วป่ะ ของเรา3อาทิตย์ คือเราอ่ะจะตายให้ได้ งานก็ต้องทำ โรคที่เปนก็อะไรไม่รู้จนเราไม่ไหวเราไปหาซื้อยานอนหลับโซแลมมากินปกติ1เม็ดไม่เกิน10นาทีก็หลับ นี้ล่อไป4-5เม็ดกว่าจะหลับ แต่ก็ตื่นไปทำงานแบบไม่งัวเงียนะ สุดท้ายไม่ไหวโทรหาหมอขอนัดจ้า เจอหมอ หมอแทบจะตี หมอบอกว่าทำไมถึงไม่มาตามนัด ก็อธิบายเหตุผลไป แล้วหมอก็ถามอาการเปนยังไงถึงกลับมาหาหมอ เราก็เล่าแหละ สุดท้ายหมอเพิ่มยาแล้วก็เปลี่ยนยา แล้วก็ย้ำว่าห้ามดื้ออีก ห้ามไม่มาหาหมออีก ห้ามลองผิดลองถูกด้วยตัวเองอีก หมอบอกว่าใจเทอสู้สารเคมีในสมองที่มันแปรปรวนไม่ได้หรอก ถึงใจเทอสู้ แต่สารเคมีในสมองมันสั่งการแปรปรวนเทอก็จะเปนแบบที่เทอมาหาหมอในวันนี้ หมอเป็นห่วง มาตามนัดนะ หมอพูด หลังจากนั้นเราก็กินยาบ้างไม่กินบ้าง แต่ไปหาหมอตามปกติที่เวลานัด สิ่งที่เล่ามาทั้งหมดเราเพียงจะบอกว่าไบโพล่าร์ไม่ใช่เรื่องสนุก หรือเรื่องตลกที่ชอบขำเล่นกัน ใครไม่เป็นไม่เข้าใจ ใครไม่เป็นจะไม่รู้ถึงความทรมาน มันทรมานนะสู้กับสมองตัวเองอ่ะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่