หลังจากกินข้าวปลาทอดไป
รู้สึกว่าก้างปลาติดคอ มีอาการกลืนเจ็บตลอดแถวๆกลางลำคอ
ผ่านไป 1 วันอาการไม่ดีขึ้น
วันถัดไปจึงไปหาหมอ
อาการกลืนเจ็บยังคงอยู่แต่เลื่อนตำแหน่งลงมาด้านล่างๆ
ภาพเอกซเรย์หมอระบุว่ามีก้างปลาแถวๆคอส่วนล่าง
ซึ่งมันก็ตรงกับตำแหน่งที่เจ็บ
หลังจากนั้นหมอจึงสั่งงดน้ำและอาหาร
นัดส่องกล้อง 6 โมงเย็น
เลิกงาน 4 โมงเย็นเลยขอตัวกลับบ้านไปอาบน้ำสระผม
มองไปทางขนจักกะแร้ ก็คิดว่าไม่เกี่ยวอะไรเลยไม่ได้จัดการ
6 โมงเย็นก็มาถึง
เข้าห้องฉุกเฉินเพื่อเตรียมตัวก่อนเข้าห้องผ่าตัด
เปลี่ยนชุดเป็นชุดโรงพยาบาล
พยาบาลแจ้งให้ผูกเชือกเสื้อไว้ด้านหลัง
คิดในใจว่าคงเพราะถ้าไว้ด้านหน้าเดี๋ยวก้มๆเงยๆจะโป๊ได้
เจาะเลือด ให้น้ำเกลือ ขึ้นห้องพัก
ระหว่างที่รอเวลา พยาบาลคอยวัดความดัน
แล้วเอาปรอทวัดไข้ทางจักกะแร้ตลอด
ด้วยความที่ทำงานโรงพยาบาลนี้
ถึงจะคนละแผนก แต่ก็มีความเขินอายที่ขนจักกะแร้ยาว
และก็วัดไข้อยู่นั่นทุก ครึ่ง ชม.ได้มั้ง
2 ทุ่มก็มาถึง
พนักงานเวรเปลมารับไปส่งห้องผ่าตัด
บรรยากาศในห้องมันจะเย็นแปลกๆ
ลมเย็นๆจะพัดมาจากรอบทิศทาง
ด้วยความที่เจ้าหน้าที่แจ้งให้ถอดทุกอย่าง
เสื้อใน สร้อยคอ ต่างหู แว่นตา รวมทั้งคอนเทคเลนส์
บรรยากาศในห้องจึงเบลอไปหมด
เจ้าหน้าที่ พยาบาลสอบถามอาการ
ตอบไปลอยๆ เพราะไม่รู้ว่าคนไหนถาม
มองเห็นว่าเป็นคน แต่ไม่รู้ว่าคนไหนขยับปาก
สักพักเค้าก็จะเข็บไปรอหมอ
นอนทบทวนตัวเองจนง่วง
ความตื่นเต้นที่มีคือก่อนจะขึ้นเตียงเข็นมา
พอมานอนรอรู้สึกง่วง บรรยากาศน่านอนดีแท้
สักพักเตียงก็ถูเข็นเข้าห้องผ่าตัด
และเลื่อนตัวมาอีกเตียง
ภาพเบลอๆกับสายตาสั้น 500 ที่มองเห็นคือ
ไฟดวงใหญ่ๆ กลมๆ สองดวงกำลังมองมาทางนี้
ซ้ายมือมีจอ ประมาน 2 จอ ปลายเท้าอีก 1 จอ
และมีรถเข็นเครื่องมือรอบๆเตียง
พยาบาลให้ถอดแขนเสื้อข้างขวาออก
นี่คงเป็นสาเหตุให้มัดเชือกเสื้อไว้ด้านหลัง
เปิดหลังให้แขนขวาออกมาจากเสื้อ
ถอนหายใจเบาๆ เพราะขนรักแร้จะออกมาโชว์ตัวอีกแล้ว
พยาบาลสอนแขนเข้าเครื่องวัดความดัน
ภาวนาในใจให้เค้าไม่สนใจอะไร
ทำไมการเข้าห้องผ่าตัดนั้นจะต้องมาคิดคำนึงถึงแต่เรื่องขนจักกะแร้
พยาบาลแปะ 3 จุด หน้าอกซ้าย-ขวา ใต้ซี่โครงด้านซ้าย
หนีบปลายนิ้ววัดชีพจร
พอหมอมา วิสัญญี ก็เอาที่ครอบจมูกมาใกล้ๆ
บอกให้สูดหายใจเข้าลึกๆ จะเริ่มรู้สึกง่วง
สูดครั้งที่ 1 สูดครั้งที่ 2 สูดครั้งที่ 3 นึกในใจว่าเมื่อไหร่จะง่วง
ได้ยินเสียงหมอคนที่ส่องกล้องบอกว่า
'ฝากบอกคนไข้ด้วย ไม่เจอก้าง มีแต่รอยถลอก'
และรู้สึกถึงน้ำตาที่ไหลเอ่อล้นมาข้างขอบตาทั้งสองข้าง
สักพักก็ไอ สำลักน้ำลายตัวเอง
พร้อมกับนึกในใจว่าเสร็จแล้วหรอ
มันไม่ง่วงน่ะตอนนั้น มันหลับไปเลย
พยาบาลแจ้งว่าจะมีอาการเจ็บคอหลังจากนี้
เป็นเรื่องปกติ เพราะใส่เครื่องช่วยหายใจลงไปด้วย
ระหว่างที่ให้ยาสลบ
ภาพเบลอๆ บวกกับอาการง่วงนอนเบลอๆ
ส่งกลับไปยังห้องพัก
เสื้อผ้าที่ตอนต้นถูกปลดแขนข้างขวาออกตอนนี้มันถูกใส่ในสภาพเรียบร้อย
ขนรักแร้คงโผล่ออกไปสวัสดีคุณน้าคุณป้าตอนที่แม่มันหลับไหล
เค้าคงใส่เสื้อยกแขน ทักทายเด็กๆกลับเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
นึกได้ตอนนั้นก็ไม่ทันการเสียแล้ว
หลังจากเข้าห้องพักฟื้น
ซึ่งไม่น่าจะได้พักฟื้นดี
ทุกครึ่ง ชม. วัดไข้ วัดความดัน
ดึกดื่นแค่ไหน พอถึงเวลาไฟจะเปิดพรึ่บ
วัดไข้ความดัน
ยันเช้า..
ตื่นให้เค้าวัดด้วยความเข้าใจ
เพราะหากความดัน หรือไข้ขึ้นสูง
จะได้รายงานหมอ แก้ไขทันการณ์
เช้ามา เอกซเรย์อีกรอบ ไม่เจอก้างปลาแล้ว
หมอให้กลับบ้านได้
ลงไปเซ็นต์เอกสารเบิกประกัน
ค่าเสียหาย 29,000+
คิดว่าแค่ก้างปลา ใครจะคิดว่าเรื่องใหญ่ขนาดนี้
หมอให้ยาแก้อักเสบ ยาละลายเสมหะ ยาแก้ปวด
หลังจากออกจากโรงพยาบาล
อาการเจ็บคอไม่ทุเลาเลย
เจ็บไปทั่วมั่วๆ
ถามหมอ หมอก็บอกว่าคงเป็นเพราะเครื่องมือ
ที่ใส่ไปตอนที่เราหลับ
เข้าวันที่ 3 มองเห็นแผลที่ลิ้นไก่
มีเลือดออกซึมๆ
จะเจ็บมากหน่อยตอนกินอาหารรสเผ็ด
เจ็บยาวๆไปจนครบสัปดา
ยาแก้อักเสบหมดจะรู้สึกดีขึ้น
ประสบกาณ์ครั้งนึงในชีวิต
จะเป็นบทเรียนให้ครั้งต่อๆไปเคี้ยวอาหารให้ละเอียด
อย่ามองข้ามเรื่องเล็กๆไป
ประสบการณ์ก้างปลาติดคอ
รู้สึกว่าก้างปลาติดคอ มีอาการกลืนเจ็บตลอดแถวๆกลางลำคอ
ผ่านไป 1 วันอาการไม่ดีขึ้น
วันถัดไปจึงไปหาหมอ
อาการกลืนเจ็บยังคงอยู่แต่เลื่อนตำแหน่งลงมาด้านล่างๆ
ภาพเอกซเรย์หมอระบุว่ามีก้างปลาแถวๆคอส่วนล่าง
ซึ่งมันก็ตรงกับตำแหน่งที่เจ็บ
หลังจากนั้นหมอจึงสั่งงดน้ำและอาหาร
นัดส่องกล้อง 6 โมงเย็น
เลิกงาน 4 โมงเย็นเลยขอตัวกลับบ้านไปอาบน้ำสระผม
มองไปทางขนจักกะแร้ ก็คิดว่าไม่เกี่ยวอะไรเลยไม่ได้จัดการ
6 โมงเย็นก็มาถึง
เข้าห้องฉุกเฉินเพื่อเตรียมตัวก่อนเข้าห้องผ่าตัด
เปลี่ยนชุดเป็นชุดโรงพยาบาล
พยาบาลแจ้งให้ผูกเชือกเสื้อไว้ด้านหลัง
คิดในใจว่าคงเพราะถ้าไว้ด้านหน้าเดี๋ยวก้มๆเงยๆจะโป๊ได้
เจาะเลือด ให้น้ำเกลือ ขึ้นห้องพัก
ระหว่างที่รอเวลา พยาบาลคอยวัดความดัน
แล้วเอาปรอทวัดไข้ทางจักกะแร้ตลอด
ด้วยความที่ทำงานโรงพยาบาลนี้
ถึงจะคนละแผนก แต่ก็มีความเขินอายที่ขนจักกะแร้ยาว
และก็วัดไข้อยู่นั่นทุก ครึ่ง ชม.ได้มั้ง
2 ทุ่มก็มาถึง
พนักงานเวรเปลมารับไปส่งห้องผ่าตัด
บรรยากาศในห้องมันจะเย็นแปลกๆ
ลมเย็นๆจะพัดมาจากรอบทิศทาง
ด้วยความที่เจ้าหน้าที่แจ้งให้ถอดทุกอย่าง
เสื้อใน สร้อยคอ ต่างหู แว่นตา รวมทั้งคอนเทคเลนส์
บรรยากาศในห้องจึงเบลอไปหมด
เจ้าหน้าที่ พยาบาลสอบถามอาการ
ตอบไปลอยๆ เพราะไม่รู้ว่าคนไหนถาม
มองเห็นว่าเป็นคน แต่ไม่รู้ว่าคนไหนขยับปาก
สักพักเค้าก็จะเข็บไปรอหมอ
นอนทบทวนตัวเองจนง่วง
ความตื่นเต้นที่มีคือก่อนจะขึ้นเตียงเข็นมา
พอมานอนรอรู้สึกง่วง บรรยากาศน่านอนดีแท้
สักพักเตียงก็ถูเข็นเข้าห้องผ่าตัด
และเลื่อนตัวมาอีกเตียง
ภาพเบลอๆกับสายตาสั้น 500 ที่มองเห็นคือ
ไฟดวงใหญ่ๆ กลมๆ สองดวงกำลังมองมาทางนี้
ซ้ายมือมีจอ ประมาน 2 จอ ปลายเท้าอีก 1 จอ
และมีรถเข็นเครื่องมือรอบๆเตียง
พยาบาลให้ถอดแขนเสื้อข้างขวาออก
นี่คงเป็นสาเหตุให้มัดเชือกเสื้อไว้ด้านหลัง
เปิดหลังให้แขนขวาออกมาจากเสื้อ
ถอนหายใจเบาๆ เพราะขนรักแร้จะออกมาโชว์ตัวอีกแล้ว
พยาบาลสอนแขนเข้าเครื่องวัดความดัน
ภาวนาในใจให้เค้าไม่สนใจอะไร
ทำไมการเข้าห้องผ่าตัดนั้นจะต้องมาคิดคำนึงถึงแต่เรื่องขนจักกะแร้
พยาบาลแปะ 3 จุด หน้าอกซ้าย-ขวา ใต้ซี่โครงด้านซ้าย
หนีบปลายนิ้ววัดชีพจร
พอหมอมา วิสัญญี ก็เอาที่ครอบจมูกมาใกล้ๆ
บอกให้สูดหายใจเข้าลึกๆ จะเริ่มรู้สึกง่วง
สูดครั้งที่ 1 สูดครั้งที่ 2 สูดครั้งที่ 3 นึกในใจว่าเมื่อไหร่จะง่วง
ได้ยินเสียงหมอคนที่ส่องกล้องบอกว่า
'ฝากบอกคนไข้ด้วย ไม่เจอก้าง มีแต่รอยถลอก'
และรู้สึกถึงน้ำตาที่ไหลเอ่อล้นมาข้างขอบตาทั้งสองข้าง
สักพักก็ไอ สำลักน้ำลายตัวเอง
พร้อมกับนึกในใจว่าเสร็จแล้วหรอ
มันไม่ง่วงน่ะตอนนั้น มันหลับไปเลย
พยาบาลแจ้งว่าจะมีอาการเจ็บคอหลังจากนี้
เป็นเรื่องปกติ เพราะใส่เครื่องช่วยหายใจลงไปด้วย
ระหว่างที่ให้ยาสลบ
ภาพเบลอๆ บวกกับอาการง่วงนอนเบลอๆ
ส่งกลับไปยังห้องพัก
เสื้อผ้าที่ตอนต้นถูกปลดแขนข้างขวาออกตอนนี้มันถูกใส่ในสภาพเรียบร้อย
ขนรักแร้คงโผล่ออกไปสวัสดีคุณน้าคุณป้าตอนที่แม่มันหลับไหล
เค้าคงใส่เสื้อยกแขน ทักทายเด็กๆกลับเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
นึกได้ตอนนั้นก็ไม่ทันการเสียแล้ว
หลังจากเข้าห้องพักฟื้น
ซึ่งไม่น่าจะได้พักฟื้นดี
ทุกครึ่ง ชม. วัดไข้ วัดความดัน
ดึกดื่นแค่ไหน พอถึงเวลาไฟจะเปิดพรึ่บ
วัดไข้ความดัน
ยันเช้า..
ตื่นให้เค้าวัดด้วยความเข้าใจ
เพราะหากความดัน หรือไข้ขึ้นสูง
จะได้รายงานหมอ แก้ไขทันการณ์
เช้ามา เอกซเรย์อีกรอบ ไม่เจอก้างปลาแล้ว
หมอให้กลับบ้านได้
ลงไปเซ็นต์เอกสารเบิกประกัน
ค่าเสียหาย 29,000+
คิดว่าแค่ก้างปลา ใครจะคิดว่าเรื่องใหญ่ขนาดนี้
หมอให้ยาแก้อักเสบ ยาละลายเสมหะ ยาแก้ปวด
หลังจากออกจากโรงพยาบาล
อาการเจ็บคอไม่ทุเลาเลย
เจ็บไปทั่วมั่วๆ
ถามหมอ หมอก็บอกว่าคงเป็นเพราะเครื่องมือ
ที่ใส่ไปตอนที่เราหลับ
เข้าวันที่ 3 มองเห็นแผลที่ลิ้นไก่
มีเลือดออกซึมๆ
จะเจ็บมากหน่อยตอนกินอาหารรสเผ็ด
เจ็บยาวๆไปจนครบสัปดา
ยาแก้อักเสบหมดจะรู้สึกดีขึ้น
ประสบกาณ์ครั้งนึงในชีวิต
จะเป็นบทเรียนให้ครั้งต่อๆไปเคี้ยวอาหารให้ละเอียด
อย่ามองข้ามเรื่องเล็กๆไป