สวัสดีค่ะ เราเพิ่งไปสัมภาษณ์วีซ่า B1/B2 ที่สถานทูตอเมริกามา เลยอยากมาแบ่งปันประสบการณ์เผื่อคนที่กำลังจะไปว่าต้องเตรียมตัวยังไงนะคะ
ขอข้ามขั้นตอนการกรอกใบ DS-160 ไปเนอะ ทุกคนที่มาถึงขั้นนัดสัมภาษณ์แล้วคงผ่านการกรอกมาหมดละ
เราทำการนัดสัมภาษณ์วันที่ 11 เมษายน 2019 เวลา 7.10น. ใครมา BTS ให้ลงสถานีเพลินจิตแล้วออกทางออก 2 นะคะ เดินเข้าถ.วิทยุ มีพี่วินมอไซต์บริการอยู่ ไปสถานทูตคนละ 20 บาท แต่เราว่าเดินเอาก็ได้ค่ะ ไม่ได้ไกลมาก(ประหยัด อิอิ) เดินไปเรื่อยๆพอถึงนี่คือเรารู้ได้เองเลยค่ะ เพราะคนเยอะมาก เราไปถึง6.45 แถวคือยาวเลยสะพานลอยไปแล้ว ก็ต่อแถวเลยนะคะ ไม่มีการแซงหรือบอกว่านัดมาแล้วอะไรทั้งสิ้น เพราะเราเจอคนไปบอกพี่ยามว่านัดมาแล้ว จะเข้าไปเลย ทำแบบนั้นไม่ได้ค่ะ ไม่ว่าจะมาจากไหน บริษัททัวร์หรือยังไงต้องต่อแถวทุกคนค่ะ
ข้อควรระวังนะคะ ห้ามถ่ายรูปค่ะ ตั้งแต่การต่อแถวริมถนนเลย เพราะเราเห็นคนถ่าย พี่ยามเดินมาเลยค่ะ ให้ลบทันที เราว่าเค้าน่าจะมีกล้องมีคนคอยดูตลอด เพราะมีวอมาหาพี่ยามให้เดินไปขอดูมือถือค่ะ
- ด่านแรกต้องต่อแถวหน้าสถานทูตก่อน จะมีเจ้าหน้าที่เช็คคิวก่อนเข้าไปข้างในค่ะ ในขั้นตอนนี้ให้ยื่นแค่พาสปอร์ตเท่านั้น และแจ้งเวลาที่เรานัดไว้ เจ้าหน้าที่จะเอาคลิปที่แปะเวลานัด หนีบไว้ที่พาสปอร์ตเราพร้อมบัตรอ่อน 1 ใบ
- ต่อไปจะเป็นการสแกนตรวจร่างกายก่อนเข้าไปด้านในสถานทูตค่ะ ลักษณะเหมือนตรวจคนเข้าเมืองที่สนามบินค่ะ ในด่านนี้ใครที่นำอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น โทรศัพท์มือถือ เจ้าหน้าที่จะให้ฝากไว้ที่นี่นะคะ โดยใช้บัตรประชาชนในการฝากค่ะ
- เมื่อผ่านการสแกนแล้วเดินเข้าไปจะเจอเก้าอี้เยอะแยะเลยค่ะ ซึ่งคนนั่งกันเต็มแล้ว แต่จุดนี้ถ้าถึงเวลารอบของเราแล้วให้เดินไปที่ตู้เจ้าหน้าที่ได้เลยค่ะ ยื่นพาสปอร์ตเหมือนเดิม แล้วจุดนี้เราจะได้หมายเลข EMS แปะมาที่หน้าเล่มพาสปอร์ต สำหรับส่งพาสปอร์ตเราคืนถ้าเราได้วีซ่า ให้เราจดเก็บไว้นะคะ
- จากนั้นเดินเข้าไปในห้องด่านถัดไปเลยค่ะ ตอนแรกเราไม่รู้เลยไปนั่งรอหน้าห้อง ซึ่งจุดนั้นคือจุดขอวีซ่าถาวรนะคะ ให้เราเปิดประตูเข้าไปเลย
- เมื่อเข้ามาแล้วจะมีแถวต่อคิวอยู่แล้วค่ะ เราก็ไปต่อตามคิว จะเจอด่านที่เป็นเจ้าหน้าที่คนไทยก่อน จุดนี้ให้เรายื่นพาสปอร์ตเหมือนเดิมค่ะ เค้าอาจจะขอรูปถ่ายเราที่จุดนี้นะคะ จากนั้นเจ้าหน้าที่จะให้สแกนลายนิ้วมือมือซ้ายและขวาค่ะ โดยแสกน 4 นิ้ว , และนิ้วโป้งทั้ง 2 ข้างพร้อมกันค่ะ
- จากนั้นเค้าจะให้เดินไปช่อง 10 จะเจอเจ้าหน้าที่ต่างชาติ เค้าจะสแกนบาร์โค้ดที่แปะหมายเลข EMS หน้าพาสปอร์ต และสแกนลายนิ้วมือซ้ายอีกครั้ง
- คราวนี้ก็มาถึงด่านความตื่นเต้นแล้วค่ะ ช่องสัมภาษณ์ตอนเราไปเปิด 4 ช่อง เป็นเจ้าหน้าที่ผู้ชาย 3 คน ผู้หญิง 1 คน ระหว่างต่อคิวเข้าสัมภาษณ์เราก็จะเห็นตลอดว่าใครผ่านไม่ผ่าน ช่องสัมภาษณ์จะเหมือนช่องซื้อตั๋วดูหนังค่ะ เป็นช่องๆ ช่องไหนว่างถึงคิวเราก็เข้าไปเลยค่ะ ระหว่างนั้นเราเห็นเจ้าหน้าที่ที่ดูไม่ค่อยมีอายุคืนพาสปอร์ตทุกคนที่เข้าช่องเค้า โอ้ยใจหายแวปตลอดๆ ตั้งแต่ยืนมาไม่เห็นใครโดนเอาพาสปอร์ตไปซักคน เราก็ได้แต่ภาวนาอยากได้เจ้าหน้าที่ที่มีอายุหน่อย เพราะแกดูใจดี
และแล้วก็มาถึงคิวเราค่ะ เราได้เจ้าหน้าที่ที่เราเล็งไว้จริงๆ อิอิ ดีใจมาก ลืมบอกไป เราไปสัมภาษณ์กับแฟนนะคะ บทสัมภาษณ์ก็ประมาณนี้ค่ะ
เรา : ยกมือไหว้ สวัสดีค่ะ
จนท : Good morning คุณเป็นสามีภรรยากันหรือครับ
เรา : ใช่ค่ะ
จนท : แต่งงานมากี่ปีแล้วครับ
เรา : 2 ปีค่ะ
จนท : Wondeful! คุณทำงานที่บริษัท...หรอครับ
เรา : ค่ะ
จนท : เป็นบริษัทญี่ปุ่นใช่ไหมครับ
เรา : ใช่ค่ะ
จนท : บริษัททำเกี่ยวกับอะไรครับ
เรา : สายไฟรถยนต์ค่ะ
จนท : อ่อครับ เคยไปเที่ยวตปท. ที่ไหนมาบ้างครับ
เรา : Japan Maldive Turkey
จนท : Turkey ทำไมคนไทยชอบไปตุรกี (หัวเราะ) ไปตุรกีกี่วัน
เรา : 7 วันค่ะ
จนท : ไปเมืองไหนบ้าง
เรา : Pamukkale Cappadocia Istanbul ค่ะ
จนท : มีไปแถวชายแดนมั้ย
เรา : ไม่มีค่ะ
จนท : ไม่ได้ไปร่วมกับผู้ก่อการร้ายใช่มั้ย (ยิ้ม)
เรา : ไม่ค่ะ (หัวเราะ)
จทน : OK , your Visas apprrove!!
เรา : ขอบคุณค่ะ
เราเดินยิ้มออกมาเลยค่ะ เพราะเห็นคนได้พาสปอร์ตคืนเยอะมาก ใจเสียตั้งแต่ต่อแถว แต่ตอนนี้คือดีใจสุดโลกมากค่ะ 555 ไม่เสียตังค์ฟรีแล้วโว้ย
มาแอบคิดเหมือนกันว่าจะมีใครเจอคำถามแบบเรามั้ยน้า เพราะตั้งแต่ก่อนสมัครวีซ่าเราอ่านกระทู้มาเยอะมาก ยังไม่เคยเจอคำถามผู้ก่อการร้ายแบบนี้ 555
สรุปหลักฐานที่เตรียมไปทั้งหมดไม่โดนขอดูซักอย่างเลยค่ะ ถามปากเปล่าอย่างเดียว
ตามความเห็นเรานะคะ เค้าจะสังเกตพฤติกรรมเราด้วยนะคะ แล้วคำถามจิตวิทยาต่างๆเพื่อดูอาการเราว่าเราโกหกหรือไม่ หรือมีพิรุธอะไรมั้ย ถ้าเราหลักฐานพร้อม ไม่มีอะไรที่สุ่มเสี่ยงหรือดูไม่น่าไว้ใจ เราว่าน่าจะผ่านหมดนะคะ แต่อย่างว่ามันก็ดวงด้วยเล็กน้อยนะคะ
ยังไงเป็นกำลังใจให้ทุกคนที่กำลังจะไปสัมภาษณ์นะคะ ขอให้ผ่านทุกคนค่า
มีคำถามอะไรถ้าเราตอบได้หลังไมค์ได้นะคะ
ขอบคุณที่อ่านมาจนจบ หวังว่าจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยสำหรับทุกคนค่ะ
แบ่งปันประสบการณ์ ขอวีซ่าอเมริกา สดๆร้อนๆ
ขอข้ามขั้นตอนการกรอกใบ DS-160 ไปเนอะ ทุกคนที่มาถึงขั้นนัดสัมภาษณ์แล้วคงผ่านการกรอกมาหมดละ
เราทำการนัดสัมภาษณ์วันที่ 11 เมษายน 2019 เวลา 7.10น. ใครมา BTS ให้ลงสถานีเพลินจิตแล้วออกทางออก 2 นะคะ เดินเข้าถ.วิทยุ มีพี่วินมอไซต์บริการอยู่ ไปสถานทูตคนละ 20 บาท แต่เราว่าเดินเอาก็ได้ค่ะ ไม่ได้ไกลมาก(ประหยัด อิอิ) เดินไปเรื่อยๆพอถึงนี่คือเรารู้ได้เองเลยค่ะ เพราะคนเยอะมาก เราไปถึง6.45 แถวคือยาวเลยสะพานลอยไปแล้ว ก็ต่อแถวเลยนะคะ ไม่มีการแซงหรือบอกว่านัดมาแล้วอะไรทั้งสิ้น เพราะเราเจอคนไปบอกพี่ยามว่านัดมาแล้ว จะเข้าไปเลย ทำแบบนั้นไม่ได้ค่ะ ไม่ว่าจะมาจากไหน บริษัททัวร์หรือยังไงต้องต่อแถวทุกคนค่ะ
ข้อควรระวังนะคะ ห้ามถ่ายรูปค่ะ ตั้งแต่การต่อแถวริมถนนเลย เพราะเราเห็นคนถ่าย พี่ยามเดินมาเลยค่ะ ให้ลบทันที เราว่าเค้าน่าจะมีกล้องมีคนคอยดูตลอด เพราะมีวอมาหาพี่ยามให้เดินไปขอดูมือถือค่ะ
- ด่านแรกต้องต่อแถวหน้าสถานทูตก่อน จะมีเจ้าหน้าที่เช็คคิวก่อนเข้าไปข้างในค่ะ ในขั้นตอนนี้ให้ยื่นแค่พาสปอร์ตเท่านั้น และแจ้งเวลาที่เรานัดไว้ เจ้าหน้าที่จะเอาคลิปที่แปะเวลานัด หนีบไว้ที่พาสปอร์ตเราพร้อมบัตรอ่อน 1 ใบ
- ต่อไปจะเป็นการสแกนตรวจร่างกายก่อนเข้าไปด้านในสถานทูตค่ะ ลักษณะเหมือนตรวจคนเข้าเมืองที่สนามบินค่ะ ในด่านนี้ใครที่นำอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น โทรศัพท์มือถือ เจ้าหน้าที่จะให้ฝากไว้ที่นี่นะคะ โดยใช้บัตรประชาชนในการฝากค่ะ
- เมื่อผ่านการสแกนแล้วเดินเข้าไปจะเจอเก้าอี้เยอะแยะเลยค่ะ ซึ่งคนนั่งกันเต็มแล้ว แต่จุดนี้ถ้าถึงเวลารอบของเราแล้วให้เดินไปที่ตู้เจ้าหน้าที่ได้เลยค่ะ ยื่นพาสปอร์ตเหมือนเดิม แล้วจุดนี้เราจะได้หมายเลข EMS แปะมาที่หน้าเล่มพาสปอร์ต สำหรับส่งพาสปอร์ตเราคืนถ้าเราได้วีซ่า ให้เราจดเก็บไว้นะคะ
- จากนั้นเดินเข้าไปในห้องด่านถัดไปเลยค่ะ ตอนแรกเราไม่รู้เลยไปนั่งรอหน้าห้อง ซึ่งจุดนั้นคือจุดขอวีซ่าถาวรนะคะ ให้เราเปิดประตูเข้าไปเลย
- เมื่อเข้ามาแล้วจะมีแถวต่อคิวอยู่แล้วค่ะ เราก็ไปต่อตามคิว จะเจอด่านที่เป็นเจ้าหน้าที่คนไทยก่อน จุดนี้ให้เรายื่นพาสปอร์ตเหมือนเดิมค่ะ เค้าอาจจะขอรูปถ่ายเราที่จุดนี้นะคะ จากนั้นเจ้าหน้าที่จะให้สแกนลายนิ้วมือมือซ้ายและขวาค่ะ โดยแสกน 4 นิ้ว , และนิ้วโป้งทั้ง 2 ข้างพร้อมกันค่ะ
- จากนั้นเค้าจะให้เดินไปช่อง 10 จะเจอเจ้าหน้าที่ต่างชาติ เค้าจะสแกนบาร์โค้ดที่แปะหมายเลข EMS หน้าพาสปอร์ต และสแกนลายนิ้วมือซ้ายอีกครั้ง
- คราวนี้ก็มาถึงด่านความตื่นเต้นแล้วค่ะ ช่องสัมภาษณ์ตอนเราไปเปิด 4 ช่อง เป็นเจ้าหน้าที่ผู้ชาย 3 คน ผู้หญิง 1 คน ระหว่างต่อคิวเข้าสัมภาษณ์เราก็จะเห็นตลอดว่าใครผ่านไม่ผ่าน ช่องสัมภาษณ์จะเหมือนช่องซื้อตั๋วดูหนังค่ะ เป็นช่องๆ ช่องไหนว่างถึงคิวเราก็เข้าไปเลยค่ะ ระหว่างนั้นเราเห็นเจ้าหน้าที่ที่ดูไม่ค่อยมีอายุคืนพาสปอร์ตทุกคนที่เข้าช่องเค้า โอ้ยใจหายแวปตลอดๆ ตั้งแต่ยืนมาไม่เห็นใครโดนเอาพาสปอร์ตไปซักคน เราก็ได้แต่ภาวนาอยากได้เจ้าหน้าที่ที่มีอายุหน่อย เพราะแกดูใจดี
และแล้วก็มาถึงคิวเราค่ะ เราได้เจ้าหน้าที่ที่เราเล็งไว้จริงๆ อิอิ ดีใจมาก ลืมบอกไป เราไปสัมภาษณ์กับแฟนนะคะ บทสัมภาษณ์ก็ประมาณนี้ค่ะ
เรา : ยกมือไหว้ สวัสดีค่ะ
จนท : Good morning คุณเป็นสามีภรรยากันหรือครับ
เรา : ใช่ค่ะ
จนท : แต่งงานมากี่ปีแล้วครับ
เรา : 2 ปีค่ะ
จนท : Wondeful! คุณทำงานที่บริษัท...หรอครับ
เรา : ค่ะ
จนท : เป็นบริษัทญี่ปุ่นใช่ไหมครับ
เรา : ใช่ค่ะ
จนท : บริษัททำเกี่ยวกับอะไรครับ
เรา : สายไฟรถยนต์ค่ะ
จนท : อ่อครับ เคยไปเที่ยวตปท. ที่ไหนมาบ้างครับ
เรา : Japan Maldive Turkey
จนท : Turkey ทำไมคนไทยชอบไปตุรกี (หัวเราะ) ไปตุรกีกี่วัน
เรา : 7 วันค่ะ
จนท : ไปเมืองไหนบ้าง
เรา : Pamukkale Cappadocia Istanbul ค่ะ
จนท : มีไปแถวชายแดนมั้ย
เรา : ไม่มีค่ะ
จนท : ไม่ได้ไปร่วมกับผู้ก่อการร้ายใช่มั้ย (ยิ้ม)
เรา : ไม่ค่ะ (หัวเราะ)
จทน : OK , your Visas apprrove!!
เรา : ขอบคุณค่ะ
เราเดินยิ้มออกมาเลยค่ะ เพราะเห็นคนได้พาสปอร์ตคืนเยอะมาก ใจเสียตั้งแต่ต่อแถว แต่ตอนนี้คือดีใจสุดโลกมากค่ะ 555 ไม่เสียตังค์ฟรีแล้วโว้ย
มาแอบคิดเหมือนกันว่าจะมีใครเจอคำถามแบบเรามั้ยน้า เพราะตั้งแต่ก่อนสมัครวีซ่าเราอ่านกระทู้มาเยอะมาก ยังไม่เคยเจอคำถามผู้ก่อการร้ายแบบนี้ 555
สรุปหลักฐานที่เตรียมไปทั้งหมดไม่โดนขอดูซักอย่างเลยค่ะ ถามปากเปล่าอย่างเดียว
ตามความเห็นเรานะคะ เค้าจะสังเกตพฤติกรรมเราด้วยนะคะ แล้วคำถามจิตวิทยาต่างๆเพื่อดูอาการเราว่าเราโกหกหรือไม่ หรือมีพิรุธอะไรมั้ย ถ้าเราหลักฐานพร้อม ไม่มีอะไรที่สุ่มเสี่ยงหรือดูไม่น่าไว้ใจ เราว่าน่าจะผ่านหมดนะคะ แต่อย่างว่ามันก็ดวงด้วยเล็กน้อยนะคะ
ยังไงเป็นกำลังใจให้ทุกคนที่กำลังจะไปสัมภาษณ์นะคะ ขอให้ผ่านทุกคนค่า
มีคำถามอะไรถ้าเราตอบได้หลังไมค์ได้นะคะ
ขอบคุณที่อ่านมาจนจบ หวังว่าจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยสำหรับทุกคนค่ะ